Flat2112 ชวนเหล่าลูกคุณมาส่งท้ายปีแบบน่ารักซุกซนไปกับ FLAT2112 and Hello Kitty Collection คอลเล็กชั่นสุด Exclusive ที่พร้อมจะขโมยหัวใจทุกคนตั้งแต่แรกเห็น!

รัสรินทร์ ธนะชัยวัฒนะโภคิน CEO เจ้าของแบรนด์ดัง FLAT2112 ( แฟลตทู วัน วัน ทู)  แบรนด์แฟชั่นที่มีดีไซน์  เป็นเอกลักษณ์ น่ารัก และสีสันสดใส นำเสนอผลงานคอลลาบอเรชั่นสุดพิเศษ ร่วมกับแบรนด์ Sanrio ร่วมกันรังสรรค์ผลงาน Limited Edition ออกมาเป็น FLAT2112 and Hello Kitty Collection ใจละลายไปกับคิตตี้ตัวแทนเด็ก ผู้หญิงทั่วโลก ที่มาพร้อมความน่ารักสดใส ซึ่งตรงกับแนวความคิดของแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนของหญิง สาวที่มี ความสดใส ร่าเริง เทรนดี้ มองโลกในแง่ดี คิดบวก สนุกกับการแต่งตัว เพื่อให้ตัวเองสวย ดูดีในทุกๆโอกาส 

โดยคอลเลกชันนี้ประกอบไปด้วย Total look ทั้งหมด 9 looks ได้แก่ Hi Gorgeous Maxi Dress / Hello Sweet Heart Dress / Oversized Dress / Kitty Romper / Qipao dress / NihaoBlouse / Cropped Top & Maxi Skirt Set / Baby Bride Dress / Raspberry Jam Crop & Skirt Set / shoes / bag

ความพิเศษและโดดเด่นจากคอลเล็กชั่นนี้คือการออกแบบที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ระหว่าง Flat2112 และ Hello Kitty โดยนำคาแร็คเตอร์ Kitty มาผสมผสานกับลาย Polka Dot และลาย Gingham (ลายตาราง) ซึ่งเป็นลายซิกเนอเจอร์ของแบรนด์ รวมไปถึงการตกแต่งระบายลูกไม้ปัก อย่างประณีตด้วยโลโก้ Flat2112 ตลอดจน Accessories กระเป๋า และ รองเท้าที่ล้วนสะท้อนความ Feminine และ Identity ในแบบฉบับของแบรนด์ Flat2112 ได้เป็นอย่างดี

คอลเล็กชั่นนี้พร้อมแล้วที่จะพาทุกคนเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการที่ทั้งสนุกและน่ารักไปด้วยกันกับเหล่าแก๊งเพื่อนเพื่อสร้างเรื่องราวและโมเมนต์อันน่าประทับใจส่งท้ายปีแบบใจฟูไปด้วยกัน

มาเติมเต็มความสดใสจาก FLAT2112 and Hello Kitty Collection ได้แล้ววันนี้ที่เคาน์เตอร์ FLAT2112 ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขา เซ็นทรัลเวลิด์ / ลาดพร้าว / พระราม 9 / พระราม 2 / เวสวิล / และ เมกา บางนา หรือช่องทางอออนไลน์  >> Shopee / Lazada / Tiktok / Line my shop

Facebook/Flat2112

Tags: #Flat2112Hellokitty #Flat2112

เจโทร กรุงเทพฯ รุกตลาดสินค้าอาหารนำเข้าเต็มสูบ เปิดตัวแคมเปญ HOTATE Festival ส่งเสริมการบริโภคหอยเชลล์โฮตาเตะพรีเมียมในประเทศไทย

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กรุงเทพฯ ซึ่งมีหน้าที่ส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตร ป่าไม้ การประมง และอาหารจากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญใหญ่แห่งปี HOTATE Festival เทศกาลหอยโฮตาเตะส่งตรงจากญี่ปุ่น เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคในประเทศไทยรู้จักหอยเชลล์โฮตาเตะพรีเมียมจากญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น พร้อมกระตุ้นการบริโภคหอยเชลล์โฮตาเตะร่วมกับวัตถุดิบอื่นๆ ในอาหารหลากหลายประเภท และเพลิดเพลินไปกับการบริโภคหอยโฮตาเตะนำเข้าได้โดยที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงประเทศญี่ปุ่น โดยมุ่งส่งเสริมกิจกรรมร่วมกับผู้นำเข้าสินค้า ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและร้านค้าปลีกในประเทศไทย เพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าอาหารนำเข้าในตลาดกลุ่มใหม่ๆ ในประเทศไทยแบบเต็มสูบ ภายในงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายนะชิดะ คะสุยะ (H.E. Mr. NASHIDA Kazuya) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่น ประจำราชอาณาจักรไทย ร่วมเปิดงานอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยตัวแทนจากบริษัทที่เข้าร่วมแคมเปญฯ และเชฟอาร์ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย ร่วมพูดคุยและสร้างสีสัน ณ โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ

นายคุโรดะ จุน (Mr. Kuroda Jun) ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าวถึงโครงการและเชิญชวนคนไทยออกมาบริโภคหอยเชลล์โฮตาเตะญี่ปุ่นว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ประกอบการธุรกิจเข้าร่วมโครงการสนับสนุนวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นจำนวนมากขนาดนี้ อยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัสเสน่ห์ของหอยเชลล์โฮตาเตะพรีเมียมญี่ปุ่น ที่นำไปทำอาหารสัญชาติอื่นนอกเหนือจากอาหารญี่ปุ่น และในพื้นที่อื่นๆ นอกกรุงเทพมหานคร ผ่านโครงการ HOTATE Festival นี้ครับ” 

ฯพณฯ นายนะชิดะ คะสุยะ (H.E. Mr. NASHIDA Kazuya) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่น ประจำราชอาณาจักรไทย เล่าถึงที่มาของชื่อ HOTATE ในภาษาญี่ปุ่นว่า “หอยเชลล์โฮตาเตะ “HOTATE” ในภาษาญี่ปุ่น เล่าขานกันว่าเมื่อเปิดเปลือกหอยขึ้นจะมีรูปร่างเหมือนเรือที่กางใบเรือออก (คำพ้องเสียง HO=ใบเรือ TATE=กาง) และยังถือเป็นเครื่องรางนำโชคอีกด้วย” นอกจากนี้ยังกล่าวแสดงความมุ่งหวังต่อแคมเปญนี้ว่า “ในฤดูหนาวนี้ น่าจะมีคนไทยจำนวนมากที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นและได้ลิ้มรสหอยเชลล์โฮตาเตะที่หวานอร่อยตามฤดูกาล ผมหวังว่าหลังจากกลับมาประเทศไทยแล้ว เขาเหล่านั้นจะเป็นแฟนพันธุ์แท้หอยเชลล์โฮตาเตะญี่ปุ่นและบอกต่อคนอื่นๆ ด้วยครับ”

ทั้งนี้ประเทศญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะขยายการส่งออกสินค้าอาหารผ่านการกระตุ้นการบริโภคในตลาดกลุ่มใหม่ในประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา มีปริมาณการส่งออกหอยเชลล์โฮตาเตะมายังประเทศไทยเป็นมูลค่ากว่า 1,200 ล้านเยน (ประมาณ 288 ล้านบาท) ซึ่งจัดเป็นสินค้าอาหารที่มีมูลค่าการส่งออกมาประเทศไทยในอันดับที่ 9 โดยในครั้งนี้ เจโทร กรุงเทพฯ จัดแคมเปญ HOTATE Festival เทศกาลหอยโฮตาเตะส่งตรงจากญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อช่วยกระตุ้นตลาด สร้างสีสัน พร้อมรุกขยายตลาดการบริโภคแห่งใหม่ ตลอดจนเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายหอยเชลล์โฮตาเตะในประเทศไทยให้เติบโตมากยิ่งขึ้น โดยร่วมมือกับผู้นำเข้าสินค้า ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและร้านค้าปลีกชื่อดังมากมาย โดยวางแผนจัดกิจกรรมเพื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้

กิจกรรมที่ 1 ขยายตลาดจัดจำหน่ายหอยเชลล์โฮตาเตะพรีเมียมจากญี่ปุ่นไปยังพื้นที่อื่นนอกเหนือจากกรุงเทพฯ และส่งเสริมการนำไปใช้ในเมนูอาหารอื่นๆ นอกเหนือจากอาหารญี่ปุ่น เช่น อาหารไทย และอาหารอิตาเลียน โดยร่วมมือกับร้านอาหาร จำนวน 65 แบรนด์ 261 ร้าน และร้านค้าปลีกในประเทศไทย 5 แบรนด์ 29 ร้าน จัดแคมเปญฯ ประชาสัมพันธ์หอยเชลล์โฮตาเตะในร้าน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2566) และปัจจุบันยังมีผู้ประกอบการธุรกิจจำนวนมากยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะทำให้ HOTATE Festival เป็นโครงการสนับสนุนการส่งออกวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นที่จัดทำโดยเจโทรที่มีจำนวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักในครั้งนี้ ได้แก่ 1. เชนร้านอาหาร (รวมร้านอาหารญี่ปุ่น) หรือร้านค้าปลีกที่มีสาขาครอบคลุมนอกพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 2. เชนร้านอาหารอื่นๆ นอกเหนือจากร้านอาหารญี่ปุ่น เช่น อาหารไทย อาหารอิตาเลียน และอาหารจีน โดยเน้นนำเสนอคุณภาพและเสน่ห์ของหอยเชลล์โฮตาเตะจากประเทศญี่ปุ่นให้กับลูกค้า พร้อมขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ กิจกรรมประชาสัมพันธ์เมนูจากหอยเชลล์โฮตาเตะ, การประชาสัมพันธ์ทางออนไลน์บนโซเชียลมีเดีย เช่น เฟสบุ๊ค หรืออินฟลูเอนเซอร์ และอื่นๆ

กิจกรรมที่ 2 จัดงานอีเว้นท์ประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการบริโภคหอยเชลล์โฮตาเตะ โดยวางแผนจะจัดงานอีเว้นท์ในร้านค้าต่างๆ เช่น ร้านค้าปลีก ซึ่งนอกจากสร้างการรับรู้ให้แก่กลุ่มผู้บริโภคทั่วไปแล้ว ยังมีการเชิญผู้ที่มีส่วนสำคัญในการนำวัตถุดิบหรือสินค้าหอยเชลล์โฮตาเตะพรีเมียมจากญี่ปุ่นไปใช้ในเชิงพาณิชย์ในอนาคตเข้าร่วมด้วย อาทิ ผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ ทั้งร้านอาหาร และร้านค้าปลีก, เชฟ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการผลักดันให้เกิดการซื้อขายสินค้าในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีกำหนดการจัดงานอีเว้นท์รวมทั้งสิ้น 16 งาน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2566)

กิจกรรมที่ 3 นำหอยเชลล์โฮตาเตะญี่ปุ่นไปเป็นวัตถุดิบหลักของการแข่งขันทำอาหารในรายการ  เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย เพื่อประชาสัมพันธ์แคมเปญนี้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเจโทร กรุงเทพฯ ได้ร่วมสนับสนุนการแข่งขัน โดยนำหอยเชลล์โฮตาเตะพรีเมียมจากญี่ปุ่นไปเป็นวัตถุดิบหลักในการรังสรรค์เมนูอันหลากหลาย ทั้งอาหารญี่ปุ่น อาหารอิตาเลียน และอาหารไทย โดยเป็นการแข่งขันระหว่างเชฟอาร์ – ธีรภัทร เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย กับเชฟผู้ท้าชิง ซึ่งสามารถติดตามชมเทปการแข่งขันอันแสนลุ้นระทึกได้ในรายการเชฟกระทะเหล็กประเทศไทย ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7HD ในวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2566 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป หรือทางโซเชียลเน็ตเวิร์กของช่อง 7HD

สำหรับ โฮตาเตะ (HOTATE) เป็นหอยเชลล์สัญชาติญี่ปุ่นชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพดี มีขนาดใหญ่ และมีรสชาติหวานอร่อย จนได้รับฉายาว่าราชาแห่งหอย ถือเป็นอาหารทะเลที่อุดมไปด้วยสารอาหาร มีโปรตีนสูงและแคลอรีต่ำ พร้อมมีคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพมากเป็นอันดับต้นๆ โดยหอยเชลล์โฮตาเตะในประเทศญี่ปุ่นจะเป็นการเพาะเลี้ยงตามธรรมชาติที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ในบริเวณที่มีน้ำสะอาดและอุณหภูมิต่ำเท่านั้น รวมถึงใช้นวัตกรรมการแปรรูปและแช่แข็งอย่างรวดเร็วทันทีหลังจับหอยเชลล์โฮตาเตะ เพื่อเก็บกักความสดใหม่สูงสุดจากทะเลสู่ตลาดอย่างเต็มรูปแบบ คงไว้ซึ่งคุณภาพสูงสุดและความอร่อยที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยในปัจจุบันมีแหล่งเพาะเลี้ยงที่สำคัญ ได้แก่ ฮอกไกโด (Hokkaido), อาโอโมริ (Aomori), อิวาเตะ (Iwate) และมิยากิ (Miyagi) นอกจากนี้ยังมีการรีไซเคิลแปรรูปเปลือกหอยนำไปทำถนนยางมะตอย วัสดุก่อสร้าง ผงซักฟอก และปุ๋ย เป็นต้น เพื่อให้กระทบระบบนิเวศทางธรรมชาติน้อยที่สุด และนำทรัพยากรไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดของแคมเปญ HOTATE Festival เทศกาลหอยโฮตาเตะส่งตรงจากญี่ปุ่น เพิ่มเติมได้ทางอีเมลผู้ประสานงานโครงการ [email protected]

โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร ครบครันความสะดวกสบายในบรรยากาศอันเงียบสงบ แวดล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ พร้อมเผยโฉมการปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 16 ปี ทั้งในส่วนห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางบริเวณโถงล็อบบี้ รวมไปถึงเปิดตัวห้องประชุมใหม่ “เอราวัณ สกาย” (Erawan Sky) ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของโรงแรม พร้อมมอบประสบการณ์การเข้าพักแสนพิเศษ การจัดประชุมและงานเลี้ยงสังสรรค์ที่น่าจดจำ

ห้องพักจำนวน 314 ห้อง และห้องสวีทจำนวน 2 ห้อง ของโรงแรมฯ ได้รับการตกแต่งใหม่ทั้งหมด ภายใต้แนวคิด “สัมผัสแห่งธรรมชาติ” เพื่อให้แขกผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายอิริยาบถอย่างเต็มที่ พร้อมเดินทางสู่ประสบการณ์ใหม่ของทุกๆวัน เติมพลังกายพลังใจด้วยแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านภายในห้อง และเพลิดเพลินกับสไตล์การตกแต่งที่เรียบง่ายและมีระดับ ด้วยการเลือกสรรองค์ประกอบต่างๆของธรรมชาติ อาทิ ต้นไม้ ใบไม้ และก้อนหิน มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ การปรับโฉมดังกล่าวยังช่วยให้บรรยากาศภายในห้องพักเหมาะแก่การพักผ่อนอย่างเต็มที่ นอนหลับอย่างมีคุณภาพบนเตียงนอนขนาดใหญ่ เติมเต็มความสดชื่นด้วยห้องน้ำระบบเรนชาวเวอร์ ผ่อนคลายกับเครื่องดื่มแก้วโปรดที่สามารถเตรียมได้เองง่ายๆจากอุปกรณ์ทันสมัยที่จัดเตรียมไว้ให้ในห้องพัก และเชื่อมต่อกับทุกคนอย่างราบรื่นผ่านเทคโนโลยีต่างๆ อาทิเช่น อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง, โทรทัศน์แสดงผลแบบ LED, ปลั๊กยูนิเวอร์แซล และพอร์ต USB

สำหรับพื้นที่ส่วนกลางบริเวณโถงล็อบบี้ของโรงแรมฯ ตกแต่งใหม่โดยได้รับแรงบันดาลใจ จากแนวคิด “ดวงดาวนำทาง” สะท้อนถึงศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ซึ่งผสมผสานกันได้อย่างลงตัวกับสถาปัตยกรรมร่วมสมัยของโรงแรมฯ และนอกจากนี้สัญลักษณ์ดวงดาวยังถูกนำมาใช้ในการออกแบบชุดเครื่องแบบของพนักงาน ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของแสงที่นำทางไปสู่การบริการอันเป็นเลิศ พร้อมที่จะนำพานักเดินทาง หรือแขกผู้เข้าพักของเรา ร่วมเดินทางไปสู่ความความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

ทั้งนี้โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพฯ ยังถือโอกาสนี้เปิดตัวห้องประชุมใหม่ “เอราวัณ สกาย” (Erawan Sky) พื้นที่อเนกประสงค์ที่เหมาะสำหรับการจัดงานประชุมพิเศษ หรือการจัดกิจกรรมขนาดเล็ก พร้อมวิว 180 องศา ใจกลางเมือง ตัวห้องได้รับแสงธรรมชาติอันอบอุ่นตลอดทั้งวัน ช่วยเพิ่มพลังแก่ผู้เข้าร่วมการประชุม รองรับแขกได้มากถึง 50 ท่าน ครบครันด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมให้บริการตั้งแต่การจัดเลี้ยงอาหารค่ำแบบส่วนตัว พิธีหมั้น งานประชุมขนาดย่อม งานเลี้ยงรับรองของบริษัท ไปจนถึงการประชุมแบบไฮบริด (Hybrid) ที่ผนวกการจัดงานออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ด้วยพื้นที่อเนกประสงค์เพิ่มเติม ที่รวมบาร์ส่วนตัว พื้นที่เลานจ์ และโทรทัศน์แสดงผลแบบ LED ขนาดใหญ่ 98 นิ้ว คมชัดเหมาะสำหรับการแสดงผลระหว่างการนำเสนองาน ไปจนถึงระบบเสียงที่ทันสมัย โรงแรมฯ ยังได้ทำการปรับปรุง โดยการตกแต่งห้องประชุมเดิมที่มีอยู่แล้วใหม่ทั้งหมด ด้วยการปรับเปลี่ยนระบบภาพและเสียง ระบบแสงสว่าง รวมถึงการพัฒนาการควบคุมการประชุมผ่านแท็บเล็ต โดยปัจจุบันโรงแรมฯ พร้อมให้บริการ ห้องประชุมทั้งหมดจำนวน 6 ห้อง ประกอบด้วย ห้องประชุมเอราวัณ 1-5 ณ ชั้น M และห้องเอราวัณ สกาย ณ ชั้น 15

จากแนวคิดที่ยึดหลักธรรมชาติสู่ความสัมพันธ์ที่ยึดโยงกันอย่างยั่งยืน โรงแรม คอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพฯ มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีองค์กรชั้นนำสองสถาบันให้การรับรอง ได้แก่ THE PLEDGE™ on Food Waste มอบรางวัลระดับ All-Star ซึ่งเป็นระดับความสำเร็จสูงสุด ในการดำเนินงานเพื่อบริหารจัดการขยะที่เกิดจากอาหารของโรงแรมเป็นปีที่สองติดต่อกัน และกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ให้การรับรอง “โรงแรมสีเขียว” ระดับทอง (สูงสุด) ประจำปี 2566

โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพฯ ยังคงดำเนินการเพื่อยกระดับประสบการณ์การเข้าพักอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ทำการปรับเปลี่ยนรายการอาหารที่ห้องอาหารโมโม่ คาเฟ่ ซึ่งเป็นห้องอาหารหลักของโรงแรมฯ สู่ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าจดจำ ในสไตล์คาเฟ่สุดคลาสสิค กับบรรยากาศที่เป็นกันเองมากยิ่งขึ้น โดยการปรับเพิ่มรายการอาหารที่หลากหลาย และเมนูทางเลือก เพื่อครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภควีแกน (Vegan) และอื่นๆ

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเผยโฉมความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ ที่ไม่เพียงจะยกระดับมาตรฐานของสิ่งอำนวยความสะดวกและประสบการณ์การเข้าพัก แต่ยังคงตระหนักถึงธรรมชาติ ความยั่งยืน และออกแบบโดยให้ความสำคัญกับผู้เข้าพักเป็นหลัก พร้อมสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางสู่ประสบการณ์ใหม่ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการยกระดับความเป็นอยู่อันมีคุณภาพและคุ้มค่าของแขกผู้เข้าพัก ด้วยการบริการของพนักงานมืออาชีพของเรา” นายโจชัวร์ ลี ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรม กล่าว

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือการสำรองห้องพักที่โรงแรมคอร์ทยาร์ด โดย แมริออท กรุงเทพฯ กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://th.courtyardbangkok.com

กางแผนเดินหน้ารุกตลาดเฮลท์แคร์ต่อเนื่อง เผยโซลูชันและเทคโนโลยี AI ล้ำสมัยสำหรับส่องกล้องทางเดินอาหาร เพิ่มความแม่นยําในการวินิจฉัยทางการแพทย์

ฟูจิฟิล์ม กางแผนเดินหน้ารุกตลาดเฮลท์แคร์ต่อเนื่อง เผยโซลูชันและเทคโนโลยี AI ล้ำสมัยสำหรับส่องกล้องทางเดินอาหาร เพิ่มความแม่นยําในการวินิจฉัยทางการแพทย์เพื่อการตรวจหาความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โชว์ “CAD EYE” นวัตกรรม AI สำหรับการส่องกล้องทางเดินอาหาร ประกาศเดินหน้ากลยุทธ์เชิงรุก Total Healthcare Solution

ฟูจิฟิล์ม ผู้นำด้าน Total Healthcare Solution เดินหน้าเสริมศักยภาพวงการเฮลท์แคร์ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วย AI มุ่งมั่นช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ด้วยโซลูชันที่สามารถตรวจหาและวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที โดยภายในงาน Asia Pacific Digestive Week 2023 (APDW 2023) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ บริษัทได้นำเสนอไลน์อัปโซลูชันล้ำสมัยทางการแพทย์ ซึ่งรวมถึงโซลูชันการส่องกล้องทางเดินอาหารที่ใช้เทคโนโลยี AI ที่เรียกว่า “CAD EYE” ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่เข้ามายกระดับการวินิจฉัยโรค โดยเฉพาะการตรวจหามะเร็งระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ ฟูจิฟิล์ม ยังได้เผยแผนการเปิดตัวเทคโนโลยี AI ใหม่ล่าสุดในปี 2567 ที่จะช่วยตรวจหาความผิดปกติในกระเพาะอาหารและหลอดอาหารได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าลดการเจ็บป่วยและการสูญเสียที่ป้องกันได้ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ การเสริมทัพโซลูชันทางการแพทย์ให้ครอบคลุมมากขึ้นของฟูจิฟิล์มในครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กรในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนบนโลก

นายมาซาทากะ อากิยามะ ผู้อำนวยการ รองประธานกรรมการ และผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายธุรกิจทางการแพทย์ บริษัท ฟูจิฟิล์ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าถึงเส้นทางการพัฒนา Total Healthcare Solution ขององค์กรว่า “ปัจจุบัน ธุรกิจเฮลท์แคร์ได้กลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดขององค์กร ภายใต้การดำเนินการของฝ่ายธุรกิจผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยฟูจิฟิล์ม ได้นำเทคโนโลยีการประมวลผลภาพอันเป็นเอกสิทธิ์ มาผนวกกับเทคโนโลยี AI ล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญที่ครอบคลุมอีกหลากหลายด้าน มาต่อยอดเป็นนวัตกรรมใหม่ จนสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ที่ครบวงจร ครอบคลุมทั้งเครื่องเอกซ์เรย์ กล้องส่องตรวจทางเดินอาหาร เครื่องอัลตราซาวด์ การตรวจวินิจฉัยภายนอกร่างกาย (IVD) ตลอดจนโซลูชันไอทีทางการแพทย์อื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าซื้อธุรกิจที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยโรคด้วยภาพและก่อตั้งเป็น FUJIFILM Healthcare Corporation ในปี 2564 ก็ได้ทำให้ธุรกิจเฮลท์แคร์ของฟูจิฟิล์มแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะได้เทคโนโลยี MRI และ CT Scan มาเสริมทัพให้โซลูชันการวินิจฉัยทางการแพทย์ของฟูจิฟิล์มครบวงจรมากยิ่งขึ้น”

นายมาซาทากะ อากิยามะ เสริมว่าโซลูชันทางการแพทย์ที่หลากหลายและครอบคลุมของ Fujifilm Group ช่วยเสริมประสิทธิภาพการวินิจฉัยทางการแพทย์ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการใช้งานโซลูชันกล้องส่องทางเดินอาหารของฟูจิฟิล์ม ร่วมกับ ARIETTA850 เครื่องอัลตราซาวด์ของ FUJIFILM Healthcare Corporation เพื่อมอบการวินิจฉัยที่แม่นยำ บริษัทเร่งเดินหน้านำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลายมาพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง พร้อมสร้างเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งทั่วโลกเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง “กลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในฟูจิฟิล์ม กรุ๊ป ล้วนช่วยกันสรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาเสริมแกร่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ครบวงจรของเรา” นายมาซาทากะ อากิยามะ กล่าว

จากสถิติเมื่อปี 2564 พบว่า คนไทยที่อายุมากกว่า 50 ปีทั้งสิ้น 15 ล้านคนมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่* ข้อมูลที่น่าเป็นห่วงนี้ตอกย้ำความสำคัญของการนำเทคโนโลยีการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำมาใช้สามารถรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารได้อย่างทันท่วงที

ฟูจิฟิล์ม ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงได้นำเสนอโซลูชัน AI สำหรับการส่องกล้อง “CAD EYE” เพื่อเสริมศักยภาพของบุคลากรด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ช่วยเหลือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารในการตรวจหาและจำแนกลักษณะของรอยโรคที่ผิดปกติในระบบทางเดินอาหารตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยในปี 2567 ฟูจิฟิล์มมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “CAD EYE Upper GI” ในประเทศไทย ซึ่งเป็น CAD EYE เวอร์ชันใหม่สำหรับการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (Upper GI) เทคโนโลยีรุ่นใหม่นี้ออกแบบมาสำหรับการวินิจฉัยความผิดปกติในกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยระบบทางเดินอาหารส่วนบน พร้อมเสริมทัพผลิตภัณฑ์การส่องกล้องของฟูจิฟิล์มให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”

นายทัตสึฮิโกะ เซเอกิ ผู้จัดการทั่วไป แผนกกล้องส่องตรวจระบบทางเดินอาหาร บริษัท ฟูจิฟิล์ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงโซลูชัน CAD EYE ว่า “การเปิดตัวเทคโนโลยี AI อันล้ำสมัยของเราสำหรับการส่องกล้องทางเดินอาหารช่วยยกระดับประสิทธิภาพการวินิจฉัยทางการแพทย์ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เราเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการวินิจฉัย AI เพื่อการตรวจหาและจำแนกลักษณะของรอยโรคในลำไส้ใหญ่ ซึ่งนับเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญของเรา โดยซอฟต์แวร์จะช่วยระบุบริเวณที่มีโอกาสเป็นรอยโรคแบบเรียลไทม์ ทั้งเนื้องอกในกระเพาะอาหาร และมะเร็งหลอดอาหารชนิดสแควมัสเซล โดยระบบจะไฮไลต์พื้นที่ดังกล่าวบนหน้าจอ (กล่องตรวจจับ) และแจ้งเตือนให้ แพทย์สามารถตรวจดูรอยโรคได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ความก้าวหน้านี้นับเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการวินิจฉัยทางการแพทย์ในระหว่างขั้นตอนการส่องกล้อง นอกจากนี้เทคโนโลยีของเรายังเข้าถึงจุดบอดที่อาจถูกมองข้ามไปเพื่อการตรวจคัดกรองที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยระบบ Landmark Photo Checker จะช่วยให้แพทน์ผู้ปฏิบัติงานสามารถตรวจสอบจุดสังเกตในช่องท้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเทคโนโลยี AI ที่แสดงผลบนหน้าจอส่องกล้องที่มีข้อมูลครบครันนี้ นับเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการส่องกล้องทางเดินอาหาร ด้วย CAD EYE เรามุ่งมั่นที่จะสร้างโซลูชันที่เปี่ยมประสิทธิภาพสำหรับการส่องกล้องทางเดินอาหาร ขับเคลื่อนการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่น ๆ ให้แก่ผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มักพบโรคมะเร็งทางเดินอาหาร ฟูจิฟิล์มยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอโซลูชันและผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ต่อยอดจากเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อยกระดับบริการด้านการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง”

ฟูจิฟิล์ม ประกาศเดินหน้ายกระดับวงการแพทย์ในเอเชียและทั่วโลกภายใต้สโลแกน “Value from Innovation” หรือนวัตกรรมอันทรงคุณค่า เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและนำเสนอโซลูชันใหม่ ๆ ที่ช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก

*ข้อมูลอ้างอิง: (https://www.biospectrumasia.com/news/56/20374/thailand-invents-rapid-detection-test-for-gastrointestinal-cancer.html)

ระเบิดพลังซ่ารักษ์โลก จัดการคัดแยกขยะเต็มรูปแบบใน กับ 7 สาวเกิร์ลกรุ๊ป “4EVE” เปิดโหมดซ่าสุดจี๊ดชวนแฟนเพลงร่วมจอย “มันส์ ไม่ ทิ้ง”

7 สาวเกิร์ลกรุ๊ป “4EVE” เปิดโหมดซ่าสุดจี๊ด ชวนแฟนเพลงร่วมจอย “มันส์ ไม่ ทิ้ง” ระเบิดพลังซ่ารักษ์โลก จัดการคัดแยกขยะเต็มรูปแบบใน เป๊ปซี่ พรีเซนต์ บิ๊กเมาน์เทนมิวสิคเฟสติวัล ครั้งที่ 13

มายด์, โจริญ, ตาออม, แฮนน่า, ฝ้าย, พั้นช์ และอ๊ะอาย 7 สาวสวยสุดฮอตจากวงเกิร์ลกรุ๊ป “4EVE”  ชวนแฟนเพลงพบกับความสนุกสุดเหวี่ยงในเทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป๊ปซี่ พรีเซนต์บิ๊กเมาน์เท่นมิวสิคเฟสติวัล ครั้งที่ 13 ที่จะจัดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 9-10 ธันวาคม 2566 ณ ดิโอเชี่ยน เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา พร้อมเปิดโหมดซ่า รักษ์โลกกับแคมเปญ “มันส์ ไม่ ทิ้ง” สนุกอย่างรับผิดชอบ ทิ้งให้ถูกที่ แยกให้ถูกถัง เท่ากับช่วยเพิ่มการเก็บกลับเพื่อรีไซเคิล และลดปริมาณขยะอีกด้วย

ภายใต้แคมเปญ “มันส์ ไม่ ทิ้ง” ในงานบิ๊กเมาน์เท่นครั้งนี้ จะมีการจัดเตรียมจุดคัดแยกและทิ้งขยะทั้งสิ้น 50 จุด กระจายอยู่ทั่วบริเวณงาน โดยแต่ละจุดจะมีถังคัดแยกขยะ 4 ประเภท ได้แก่ ขวดพลาสติก PET กระป๋องอะลูมิเนียม ขยะอาหาร และขยะทั่วไป ซึ่งภายหลังจบงานขยะทั้งหมดจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่หรือนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละจุดจะมีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครช่วยแนะนำการคัดแยกและทิ้งขยะให้ถูกถังอีกด้วย  

7 สาว “4EVE”  ยังกระซิบบอกทริคทิ้งขยะแบบคูลๆ ภายในงาน เพียงแค่คุณมองหาเหล่าแก๊งน้องๆ อาสาสมัคร “มันส์ ไม่ ทิ้ง” ที่จะคอยแวะเวียนไปตามเวทีต่างๆ พร้อมสะพายเป้สีน้ำเงินสดใส มีโลโก้ “มันส์ ไม่ ทิ้ง” เห็นปุ๊ปก็สามารถส่งสัญญาณฝากน้องๆ ทิ้งขยะได้เลย ทำให้ช่วงเวลาแห่งความสนุกไหลลื่นไม่สะดุด แต่ย้ำว่าต้องเป็นขยะประเภทขวดพลาสติก PET และกระป๋องเท่านั้น ซึ่งจะถูกนำไปรีไซเคิล กลับมาใช้งานใหม่นับครั้งไม่ถ้วน แค่นี้แฟนเพลงก็ระเบิดพลังซ่ารักษ์โลกคูณสามได้แล้ว ทั้งช่วยลดปริมาณขยะที่เล็ดลอดสู่สิ่งแวดล้อม รวมถึงสามารถนำกลับไปรีไซเคิลส่งเสริมการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนไม่รู้จบ และที่สำคัญยังช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย 

การคัดแยกและการบริหารจัดการขยะใน เป๊ปซี่ พรีเซนต์บิ๊กเมาน์เท่นมิวสิคเฟสติวัลปีนี้ เป็นความร่วมมือของบริษัท เป๊ปซี่โค เซอร์วิสเซส เอเชีย จำกัด (เป๊ปซี่โค ประเทศไทย) บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จํากัด และ จีเอ็มเอ็ม โชว์ ภายใต้บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมความสนุกในมิวสิคเฟสติวัลไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่การเป็น “อีโค่-เฟรนด์ลี่ มิวสิคเฟสติวัล” สร้างปรากฎการณ์และยกระดับมาตรฐานของการชมมิวสิคเฟสติวัลในประเทศไทยที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

นาโอส ต่อยอดโปรเจ็คต์ NAOS CARE ผสาน “Product People Planet” เป็นหนึ่งเดียว เสริมสร้างระบบนิเวศผิวสู่สมดุลด้วย “ความรัก ความเข้าใจ และห่วงใย” สู่ความยั่งยืนของชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม

เภสัชกรหญิงวัลภา รัตนชัยพิพัฒน์ ผู้บริหาร บริษัท นาโอส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า นาโอสเป็นผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ปรนนิบัติผิวด้วยศาสตร์ ECOBIOLOGY เพื่อการดูแลผิวแบบองค์รวมจากประเทศฝรั่งเศส ได้ดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการ NAOS CARE เพื่อให้สอดคล้องต่อปณิธานของบริษัท คือดำเนินธุรกิจด้วย ความรัก ความเข้าใจ และความห่วงใย ทั้งต่อพนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ สังคมและโลกของเรา  

นาโอส จึงไม่ได้เพียงแค่คำนึงถึงการมีผลิตภัณฑ์ที่ดีเท่านั้น ยังพร้อมส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมดีขึ้นไปด้วย ตามหลัก 3P คือ Product, People, Planet  สำหรับโครงการ NAOS CARE ในประเทศไทย

ในปีนี้ ได้มอบทุนสมทบงานวิจัยเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมความรู้ที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังเพื่อสุขภาพผิวที่ดีและแข็งแรงอย่างยั่งยืน โดยการมอบทุนดังกล่าวสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เกี่ยวกับงานวิจัย  และ ปี 2566 โครงการ NAOS CARE ในประเทศไทยได้มอบทุนสมทบงานวิจัยเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมความรู้ที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังเพื่อสุขภาพผิวที่ดีและแข็งแรงอย่างยั่งยืนให้แก่โรงเรียนแพทย์ 3 สถาบัน ได้แก่ งานวิจัยด้านผื่นแพ้สัมผัส ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล, สาขาวิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และสาขาวิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งมอบทุนการศึกษาให้กับนิสิตเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 2 ทุน

หากพูดถึง “น้ำดื่ม” หลายคนยังคงคิดเพียงว่า การดื่มน้ำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต เพื่อให้เซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่รู้หรือไม่ว่า “น้ำดื่ม” ยังมีพลังความมหัศจรรย์และช่วยฮีลร่างกายได้มากกว่าที่คิด

โดย  คุณอรชุมา ดุรงค์เดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชทูโอ-ไฮโดร จำกัด ผู้นำเข้าน้ำแร่ธรรมชาติ “ไอซ์แลนด์ สปริง” (Iceland Spring) จากประเทศไอซ์แลนด์ ชวนปรับมุมคิด เปิดมุมต่าง เกี่ยวกับ “น้ำดื่ม” ที่เป็นมากกว่าน้ำ ในงาน “The Exclusive Dinner with Water Sommelier by Iceland Spring” ณ ร้านรอยัล โอชา ถนนวิทยุ

อรชุมา ดุรงค์เดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชทูโอ ไฮโดร จำกัด กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ว่า “ด้วยความที่ทำงานและคลุกคลีอยู่ในธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจของครอบครัว รวมถึงการเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย “ไอซ์แลนด์ สปริง” น้ำแร่ที่เป็นน้ำด่างธรรมชาติ 100% จากประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งมีค่าความเป็นด่างสูงถึง pH8.88 และมีค่าความบริสุทธิ์มากที่สุด ถือว่าเป็นน้ำแร่ที่มีคุณสมบัติเยอะมาก จากจุดนี้ทำให้สนใจอยากศึกษาเรื่อง “น้ำดื่ม” มากขึ้น เพื่อเพิ่มองค์ความรู้และต่อยอดด้านธุรกิจ เลยตัดสินใจไปศึกษาต่อด้าน “Water Sommelier” (วอเตอร์ ซอมเมอลิเย่ร์) หรือ “นักชิมน้ำ” เพื่อวิเคราะห์และแยกรสชาติของน้ำดื่มที่สถาบัน Doemens Academy ประเทศเยอรมนี ซึ่งทั่วโลกมี 500 คนที่เรียนจบด้านนี้ และเราเป็นหนึ่งในนั้น”

 “จากที่ไปเรียนทำให้เข้าใจว่า การเลือก “น้ำดื่ม” เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางครั้งในแต่ละช่วงเวลาก็ยังต้องการสารอาหารบางอย่างเพิ่มจากเดิม ซึ่งน้ำแร่แต่ละชนิดจะมีส่วนประกอบที่โดดเด่นไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำแร่ และแหล่งกำเนิด”

“นอกจากน้ำแร่จะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังช่วยเสริมให้รสชาติอาหารให้ดีขึ้น แต่ถ้าจับคู่อาหารกับน้ำดื่มผิดประเภทก็จะทำให้รสชาติของอาหารแย่ลงได้ อย่างการดื่มน้ำแร่ที่เป็นสปาร์กกิ้งกับอาหารรสเผ็ด จะทำให้อาหารมีรสเผ็ดมากขึ้น หรือการดื่มน้ำที่มีโซเดียมกับแคลเซียมสูงกับอาหารที่มีรสเค็มหรือขม ก็ยิ่งเพิ่มความเค็มหรือขม ในทางกลับกันถ้าอยากลดความขม ควรดื่มน้ำแร่ที่เป็นสปาร์กกิ้งเพื่อให้ลิ้นมีความชา รวมถึงการเลือกน้ำแร่ที่มีค่าความเป็นด่างสูงสำหรับไวน์ เทสติ้งจะช่วยปรับการรับรสของลิ้นให้เป็นกลาง แต่ยังคงเอกลักษณ์ทั้งรสชาติและกลิ่นของแก้วนั้นๆ หรือนำไปผสมเครื่องดื่มค็อกเทลต่างๆ จะยิ่งช่วยทำให้รสชาติของเครื่องดื่มแก้วนั้นๆ มีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ”

ด้าน เชฟวิชิต มุกุระ เชฟอาหารไทยและขนมหวานชื่อดังจากร้าน “รอยัล โอชา” กล่าวถึงการเลือกใช้น้ำแร่ไอซ์แลนด์ สปริง มาเป็นส่วนประกอบหลักในการรังสรรค์เมนูสุดพิเศษของค่ำคืนนี้ว่า “หัวใจสำคัญในการทำครัว คือการเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด โดยเฉพาะน้ำต้องสะอาดที่สุดเช่นกัน และที่เลือกน้ำแร่ไอซ์แลนด์ สปริง มาใช้ในการประกอบอาหาร เนื่องจากมีความปลอดภัย ไม่มีสารตกค้าง และ pH8.88 ช่วยเสริมให้รสชาติของอาหารและเครื่องดื่มดีขึ้นครับ”

“เริ่มจาก Welcome Drink ที่ใช้ชาดอกอัญชัญและดอกมะลิสดแช่ในน้ำแร่น้ำแร่ไอซ์แลนด์ สปริง ค้างคืนแบบ infuse เป็นเวลา 1 คืน จนได้เป็น Welcome Drink ที่ดื่มแล้วสดชื่น ตามด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย อย่างยำหอยเชลล์เครื่องกรอบกับส้มโอ โดยนำหอยเชลล์ไปแช่ในน้ำแร่ไอซ์แลนด์ สปริง เพื่อเจือความเค็ม แต่ยังสามารถรักษารสชาติแบบออริจินัลของตัวหอยเชลล์ไว้ได้อย่างดี จานถัดมา คือ ต้มหนวดปลาหมึกยักษ์กับส้มจี๊ดซุป ตามด้วยปลาเก๋าแดงทอดกับ Iceland Spring Saffron Sauce ล้างปากด้วยเมนูของหวาน เฉาก๊วยน้ำกับสาคูถั่วดำ ความพิเศษของเมนูนี้ คือ นำน้ำแร่ไอซ์แลนด์ สปริง ไปเซ็ตตัวเป็นรูปโดม ทานคู่กับเฉาก๊วยในรูปแบบน้ำ ถั่วบด และหยกมณีที่มีสาคูถั่วดำเป็นส่วนประกอบ เพิ่มกิมมิกก้อนเมฆสำหรับใครที่ชอบทานหวาน”

ภายในงานแขกผู้เกียรติทุกท่านได้ร่วมเปิดประสบการณ์การเป็น “นักชิมน้ำ” พร้อมร่วมดินเนอร์เมนูสุดเอ็กคลูซีฟจากเชฟวิชิต โดยงานนี้ได้รับเกียรติจากเซเลบริตี้ชื่อดัง อาทิ คุณทิพย์วิภา ศรีวิกรม์, คุณจริยดี – คุณเจย์  สเปนเซอร์, คุณภูวนาท คุนผลิน, คุณอลิสา พันธุศักดิ์ คุนผลิน, คุณชญาดา ลิ่วเฉลิมวงศ์ เศวตนันทน์, คุณศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา จีระแพทย์ และ คุณกานดา สายทุ้ม เป็นต้น

สมาคมสวนสนุกโลก (International Association of Amusement Parks and Attractions – IAAPA) มีมติแต่งตั้งนายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสยามพาร์ค ซิตี้ ผู้ประกอบกิจการสยามอะเมซิ่งพาร์ค (สวนสยาม) และนายกสมาคมสวนสนุกและสวนพักผ่อนหย่อนใจแห่งประเทศไทย ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานสมาคมสวนสนุกโลก (Chairman of the Board) วาระปี 2567 (1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567) ซึ่งเป็นคนไทยคนแรกและคนเอเชียคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสยามพาร์ค ซิตี้ รับตำแหน่งประธาน สมาคมสวนสนุกโลก

IAAPA เป็นเครือข่ายของผู้ประกอบวิชาชีพด้านแหล่งท่องเที่ยวทั่วโลกที่มีความหลากหลายและมีความสำคัญในฐานะสมาคมการค้าระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดด้านแหล่งท่องเที่ยวประเภทมีที่ตั้งถาวร ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2461 เป็นองค์กรที่รวบรวมสมาชิกจากแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำและผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้องจากกว่า 100 ประเทศ สมาชิกประกอบด้วยผู้ประกอบวิชาชีพจากสวนสนุก ธีมพาร์ค สถานที่ท่องเที่ยว สวนน้ำ รีสอร์ต ศูนย์นันทนาการสำหรับครอบครัว สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ศูนย์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ เรือสำราญ ผู้ผลิต รวมถึงผู้จัดจำหน่ายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง

การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานสมาคมสวนสนุกโลกของนายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ จะช่วยนำพาอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวของไทยและภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะภาคแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นให้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ รวมถึงเป็นการเปิดโอกาสให้มีการนำองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ การบริการ มาตรฐาน ความปลอดภัยระดับโลกมายกระดับแหล่งอุตสาหกรรมสวนสนุกและแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของไทยอีกด้วย

นายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ จะปฏิบัติภารกิจในฐานะประธานสมาคมสวนสนุกโลกตลอดปี พ.ศ. 2567 ก่อนที่
จะส่งมอบตำแหน่งต่อให้แก่ คุณเฟรดดี้มาซิมิลิอาโน่ ผู้ก่อตั้งวันเดอร์วู้ด แหล่งท่องเที่ยวในอิตาลี ในปี พ.ศ.
2568