5 พฤติกรรมทำร้าย สุขภาพ ของสาววัยทำงาน

สุดสัปดาห์เชื่อว่าไลฟ์สไตล์การออกไปใช้ชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน ในทุกๆ วันที่เราออกไปทำงาน ส่วนใหญ่เรามักจะติดทำพฤติกรรมเดิมวนซ้ำๆ ซึ่งบางอย่างอาจทำให้เราเสีย สุขภาพ กายและสุขภาพจิตแบบไม่รู้ตัว พฤติกรรมไหนที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงเกี่ยวกับสุขภาพบ้าง และควรแก้ไขอย่างไร ไปดูพร้อมๆ กันค่ะ

1 โหมงานหนักจนละเลยสุขภาพ

เนื่องจากวัยทำงานเป็นวัยที่กำลังสร้างตัว หลายคนมักมีเป้าหมายว่าจะต้องประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุดด้วยการโหมงานหนัก พฤติกรรมแบบนี้อาจทำให้เราเผลอละเลยการดูแล สุขภาพ และยิ่งนานวันอาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โรคออฟฟิศซินโดรมจากการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ในท่าที่ไม่เหมาะสม ทั้งการนั่งก้มมองจอ การนั่งไขว่ห้างนานๆ การนั่งใส่ส้นสูงนานๆ, โรคกรดไหลย้อนจากการกินอาหารที่เร่งรีบและไม่เป็นเวลา, โรคไมเกรนที่เกิดจากความเครียดสะสมจากการทำงาน, โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการนั่งทำงานเพลินจนกลั้นปัสสาวะนานๆ ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นโรคยอดฮิตในวัยทำงานมากที่สุด ใครที่กำลังมีพฤติกรรมเหล่านี้ต้องรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วนะคะ

2 ติด Social Media มากเกินไป

ทุกวันนี้ Social Media กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน แม้มันจะมีประโยชน์ในหลายแง่มุมรวมทั้งช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในแต่ละวันได้ทางหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรเอาเวลาทั้งหมดไปลงกับ Social Media เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็น โรค Computer Vision Syndrome คืออาการจากการจ้องหน้าจอสว่างในพื้นที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ใครที่ชอบปิดไฟทำงานหรือปิดไฟเล่นโทรศัพท์ต้องรีบปรับพฤติกรรมแล้วค่ะ หากปล่อยไว้อาจเกิดปัญหาการมองเห็นได้

โดยปกติแล้วหากคนเราใช้สายตาอยู่กับหน้าจอต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมง/วัน อาจส่งผลให้ตาเบลอ ตาแห้ง และแสบตาได้ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งออกมาว่าเรากำลังใช้สายตามากเกินไปแล้วนะ เราจึงควรหมั่นพักสายตาจากหน้าจอบ้างเป็นเวลา 5-10 นาที ด้วยมองไปพื้นที่สีเขียว มองระยะไกล หรือกระพริบตา 10-15 ครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการต่างๆ นอกจากนี้ หากเราใช้สายตามากเกินไปยังส่งผลถึงอาการทางกล้ามเนื้ออีกด้วย เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ หลายคนปวดมากจนเกิดอาการนอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาได้

3 ติดการดื่มสังสรรค์

คนวัยทำงานบางกลุ่มติดการดื่มสังสรรค์ ทั้งเพื่อพบปะพูดคุยและผ่อนคลายความเครียดที่สะสมจากการทำงาน บางคนนัดทุกสุดสัปดาห์ ขณะที่บางคนนัดถี่กว่านั้น ซึ่งการดื่มบ่อยๆ หรือดื่มทุกครั้งที่มีเรื่องเครียดอาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ

สำหรับในประเทศไทย การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอันดับ 2 ที่ก่อให้เกิดภาระโรคสูงถึงร้อยละ 10 ของภาวะโรคทั้งหมด เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ หลอดเลือดสอมอง ตับแข็ง มะเร็งตับ หรือบางรายดื่มบ่อยจนติดสุราเรื้อรัง ส่งผลเสียต่อหน้าที่การงานและครอบครัว ยังไม่นับกรณีที่เมาแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือเกิดการทะเลาะวิวาท

4 กินอาหารตามใจปาก

สาวๆ นักกินทั้งหลายต้องหมั่นระวังการกินแบบสุดโต่ง โดยเฉพาะการกินอาหารรสจัด หลายคนชอบกินอะไรเผ็ดๆ หลังจากเหนื่อยทำงานมาหนักเพื่อให้ร่างกายได้ตื่นตัว แต่หารู้ไม่ว่าการกินแบบนี้อาจส่งผลเสียต่อกระเพาะได้ หรือหลายคนติดกินของมันของทอด ชอบนัดเพื่อนไปกินปิ้งย่างหลังเลิกงาน พฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้เกิดโรคอ้วนหรือเพิ่มความเสี่ยงในเรื่องของคอเลสเตอรอลที่เพิ่มขึ้นได้ เมื่อไขมันในเลือดสูงจะส่งผลต่อสมองและหัวใจตามไปด้วย เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองได้ลำบากขึ้น และหากอาการกำเริบอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้เลยค่ะ นอกจากนี้การกินปิ้งย่างที่ไหม้จนเกินไปบ่อยๆ อาจเป็นหนึ่งสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งได้

5 ละเลยการตรวจสุขภาพหรือการไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ

การตรวจสุขภาพถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ควรทำทุกปี เพราะร่างกายของเราเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน เราอาจจะเผลอทำลายสุขภาพของตัวเองจากการใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงต้องตรวจสุขภาพเพื่อเช็กสุขภาวะทั้งด้านร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ หากมีสัญญาณของร่างกายส่งออกมาก็ไม่ควรละเลยหรืออดทนจนร่างกายทนไม่ไหว หากมีอาการผิดปกติควรหาเวลาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะการตรวจพบและรักษาเร็วจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีกว่าปล่อยให้โรคเข้าสู่ภาวะร้ายแรงแล้ว

สุดท้ายแล้ว หากสาวๆ ไม่อยากอยู่บนความเสี่ยงเหล่านี้ มาทำให้การดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นด้วยการปรับพฤติกรรม อย่างเช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลความสะอาดและสุขอนามัย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จัดเวลาพักผ่อนให้เป็นระบบ และหมั่นสั่งเกตอาการตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ ที่สำคัญควรตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเฝ้าระวังโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว …ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าแก้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก petcharavejhospital, mgronline, hfocus,