จากประสบการณ์ในการทำธุรกิจสปามากว่า 20 ปีของDivana จนต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ความงามหลากหลายรูปแบบ จนเมื่อสองปีที่ผ่านมาเราก็ได้เห็น Divana Thai Med เกิดขึ้น ทำให้ สุดสัปดาห์ อยากรู้ที่มาที่ไปว่าจากธุรกิจสปา บิวตี้โปรดักส์ พัฒนาไปบรรจบกับศาสตร์แพทย์แผนไทยได้อย่างไร
หลังจากได้พูดคุยกับ คุณโรส – อภิรดี หิรัญรามเดช ผู้บริหาร Divana Thai Med เพื่อหาคำตอบในประเด็นนี้ ทำให้เราได้เห็นแนวโน้มปัญหาสุขภาพของคนยุคนี้ ได้รู้ว่าแพทย์แผนไทยนั้นใกล้ตัวกว่าที่คิด และเมื่อนำมาปลั๊กอินกับธุรกิจเวลเนสแอนด์สปาจะกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงศาสตร์นี้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย
รู้จัก Divana Thai Med
“จริงๆ แล้วDivana มีประสบการณ์การทำสปามามากกว่า 22 ปี แต่ในช่วงโควิดเราพบว่าลูกค้ามีปัญหาออฟฟิศซินโดรมเยอะขึ้น อาจเป็นเพราะช่วง Work From Home ทำให้ชีวิตของบางคนเสียสมดุล ทำงานกันตั้งแต่ตื่นยันนอน บางคนเป็นไมเกรน บางคนนอนไม่หลับ เพราะทำงานลากยาวถึงกลางคืนแล้วมีความเครียดต่อเนื่องจนถึงดึก ซึ่งเรามองว่าอาการเหล่านี้ศาสตร์ของการแพทย์แผนไทยสามารถช่วยได้ เป็นการบำบัดแบบที่ไม่ได้กดภูมิแต่เป็นการช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสมดุล เพราะฉะนั้นการเปิดDivana Thai Medจึงเป็นการต่อยอดจากธุรกิจที่เรามีอยู่เดิมให้แข็งแรงและตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น
“จุดต่างของเราคือความรู้สึกที่ผ่อนคลายกว่า เพราะแม้ในปัจจุบันหลายโรงพยาบาลมีแผนกแพทย์แผนไทย แต่สำหรับบางคนการไปโรงพยาบาลหรือคลินิกจะรู้สึกเหมือนไปรักษา แต่ด้วยความที่เราทำธุรกิจสปามา 20 กว่าปีจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่รีแล็กซ์กว่าในขณะที่ก็ช่วยแก้ปัญหาเขาได้ด้วย เช่น หลังจากทำทรีตเมนต์สบายๆ จะมีช่วงให้พบแพทย์แผนไทยพื่อกดจุดแก้ปัญหากล้ามเนื้อคอบ่าไหล่ตึงประมาณ 30 นาที ซึ่งโรสมองว่ามันทำให้เกิดสุนทรียะเวลามาหาคุณหมอนะ ลูกค้าจะรู้สึกว่าฉันมาแล้วรู้สึกสบายตัวจังเลยเดี๋ยวอาทิตย์หน้าฉันมาใหม่นะ เหมือนมีแรงจูงใจที่ดีในการมาดูแลรักษาตัวเองอย่างต่อเนื่อง”
3 ปัญหาสุขภาพเรื้อรังของคนเมือง
จากการดูแลลูกค้าทำให้ทางดิวาน่าไทยเมดพบว่าปัจจุบันคนเมืองจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจากความเครียด ส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงและลามไปยังระบบย่อยอาหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านคอร์สยอดนิยมสามอันดับแรก
“คอบ่าไหล่ตึง เมื่อก่อนเราคิดว่าปัญหานี้น่าจะเกิดกับผู้ชายเยอะ แต่กลับพบว่าผู้หญิงก็เป็นเยอะค่ะ เพราะพฤติกรรมของผู้หญิงรุ่นใหม่เป็นผู้หญิงทำงาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจอคือนั่งทำงานนาน สะพายกระเป๋าหนัก ถือโน๊ตบุ๊ก นั่งไขว่ห้าง อาการเหล่านี้มันเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดการตึงตัวของกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้นก็ทำให้เกิดปัญหาปวดคอบ่าไหล่ตามมา
“อาหารไม่ย่อย คือการรับประทานอาหารเข้าไปแล้วรู้สึกมีลม ซึ่งศาสตร์แพทย์แผนไทยรักษาได้โดยการนวดกดจุดบริเวณช่องท้องและเผายาซึ่งให้ความอุ่นจากสมุนไพรมาช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของลมในท้อง อาการลมคั่งค้าง ท้องอืด อาหารไม่ย่อยก็จะดีขึ้น ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งคือช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ซึ่งก็สอดคล้องกับโปรแกรมยอดนิยมอันดับหนึ่งและสองของเราคือ Muscle Release & Colon Detox ซึ่งคนไข้ชอบมากเพราะเขามีความรู้สึกว่าสบายท้องแล้วก็ได้คลายกล้ามเนื้อที่คอบ่าไหล่ด้วย และโปรแกรม Deep Sleep ที่ช่วยเรื่องการนอนหลับซึ่งได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง
“ปัญหาผิวจากมลภาวะ ในช่วงหลังมานี้เรามีปัญหา PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง ในบางคนที่ผิวคอนข้างเซ้นซิทีฟก็จะเกิดการระคายเคืองได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ผื่นขึ้น หรือผิวแห้งกว่าปกติ ทางดีวานาไทยเมดก็เลยออกแบบโปรแกรมที่ให้คุณหมอนวดกดจุดให้ผิวหน้าขับของเสียออกมา รวมถึงใช้อุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีเข้ามาเสริมเพื่อช่วยขจัดไอฝุ่น PM 2.5 ที่มันเกาะผิวหน้าและทำให้เกิดการระคายเคือง แล้วตามด้วย Oxygen Dome เพราะว่าคนปัจจุบันมีปัญหาในเรื่องของการสูดออกซิเจนน้อย เพราะเวลาเครียดคนเรามักจะกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้หากเราได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ จะส่งผลให้ระบบเผาผลาญดี ผิวพรรณดี และลดการอักเสบที่ผิวด้วย”
จุดร่วมของศาสตร์ด้านสุขภาพของฝั่งตะวันตกและตะวันออก
ทุกประเทศต่างก็มีภูมิปัญญาของตัวเอง อย่างศาสตร์แพทย์แผนจีน ศาสตร์อายุรเวทของอินเดีย ศาสตร์แพทย์แผนไทย และเวชศาสตร์ชะลอวัยของฝั่งตะวันตก ซึ่งหลังจากศึกษาด้านนี้อย่างจริงจัง คุณโรสพบว่าเป้าหมายของศาสตร์ทั้งสองฝั่งคือสิ่งเดียวกัน นั่นคือการดูแลสมดุลของร่างกาย เพียงแต่ว่าวิธีการที่จะไปสู่เป้าหมายนั้นมีกระบวนการที่ต่างกัน
“ศาสตร์ของฝั่งตะวันตกเขาจะมีเรื่องของ Nutrition ขณะที่แพทย์แผนไทยจะเน้นศึกษาธาตุที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งธาตุหลักจะติดตัวเรามาตั้งแต่ปฏิสนธิ เช่น โรคจากพันธุกรรม ส่วนธาตุรองนั้นสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่เราเกิดว่าเป็นฤดูอะไร ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกับโรคที่เกิดจากสภาวะแวดล้อมตั้งแต่เราเกิด เขาสามารถคำนวณได้เทียบเคียงกับการตรวจยีนของทางฝรั่ง แต่แพทย์แผนไทยจะเป็นการเก็บสถิติ ฉะนั้นแพทย์แผนไทยจะพอคาดเดาได้ว่าโรคที่เป็นอยู่ในแต่ละบุคคลมีแนวโน้มเป็นอย่างไร แล้วก็ใช้วิธีการปรับสมดุลร่างกายเพื่อเลี่ยงการกระตุ้นรอยโรคเดิม ถือว่าเป็นการดูแลร่างกายแบบป้องกัน
“โรสมองว่าคนเราควรใส่ใจดูแลสุขภาพเพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล เป้าหมายสูงสุดของทางการแพทย์คือเรามีผู้ป่วยน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นเราต้องให้ผู้ป่วยฟังเสียงร่างกายตัวเองก่อน อย่างเช่นวันนี้เรานอนน้อย ตื่นขึ้นมาร่างกายส่งสัญญาณแล้วว่าปวดหัว แสดงว่าหนึ่งขาดออกซิเจน สองร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่คนเรามักจะให้ความสำคัญกับชีวิตที่เร่งรีบมากกว่าเลยเลือกที่จะทานยาแก้ปวดหัวแล้วก็ไปทำงานต่อทั้งวันแล้วก็นอนดึกเหมือนเดิม คือเลือกที่จะกดอาการปวดหัวแทนที่จะปรับพฤติกรรม ทั้งที่การฟังเสียงเล็กๆ จากร่างกายสามารถป้องกันการปวดไมเกรนในอนาคตได้
“จากเคสนี้เรามีวิธีอื่นที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้มากมาย เช่น คนอิตาเลี่ยนจะ quick nap 15 นาทีเพื่อช่วยบูสต์ให้ร่างกายเรามีเอเนอร์จี้กลับขึ้นมา ขณะที่การแพทย์แผนไทยจะให้ปรับสมดุลด้วยสมุนไพรบางตัวเพื่อเพิ่มเอเนอร์จี้ เช่น เวลาที่คนนอนน้อยร่างกายความร้อนในร่างกายจะเคลื่อนจากท้องขึ้นมาอยู่ที่แถวศีรษะ การดิ่มน้ำที่มีฤทธิ์เย็นต่างๆ เช่น น้ำใบบัวบก จะช่วยบรรเทาได้ แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ดีที่สุดคือการนอนหลับค่ะ อย่างในโปรแกรมของเราจะมีช่วง quick nap พร้อมให้ได้รับออกซิเจน แล้วก็กลับไปปรับเวลานอนให้เร็วขึ้นหน่อยเพื่อชดเชยกับเวลานอนก่อนหน้านั้น”
แนวโน้มแพทย์แผนไทยหลังจากช่วงโควิด
“โรสคิดว่าคนให้ความสนใจเยอะขึ้นมาก เพราะทุกคนไม่อยากเข้าโรงพยาบาลถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เลยให้ความสำคัญกับการป้องกัน ทุกคนพยายามรักษาสุขภาพ กินวิตามินเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันตัวเองไม่ให้ป่วย
“ฉะนั้นทุกโรงพยาบาลในปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับทุกๆ ศาสตร์แพทย์ทางเลือก บางโรงพยาบาลถึงกับมีแพทย์แผนไทยกับแพทย์แผนปัจจุบันทำงานร่วมกัน แพทย์แผนปัจจุบันรักษาก่อน แล้วแพทย์แผนไทยมาฟื้นฟูต่อเพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราฟังเสียงร่างกายอย่างที่โรสบอกไป อัตราการเข้าโรงพยาบาลของเราก็จะลดลง”
ทริคง่ายๆ จากแพทย์แผนไทยเพื่อป้องกันโรค
จากการพูดคุย เราสรุปทริคง่ายๆ ในการดูแลสุขภาพตามแนวทางแพทย์แผนไทยได้ว่า
- ฟังเสียงร่างกาย
- มีระเบียบวินัยในการจัดระเบียบชีวิต พอเราฟังเสียงแล้วเราต้องแอคชั่นกับเขาเพื่อไม่ให้ร่างกายเสียสมดุล
- เลี่ยงในสิ่งที่ร่างกายเราไม่ต้องการ เช่น ของหวาน มัน เค็ม นอนดึก
“แค่สามข้อนี้จบเลยค่ะ ยกตัวอย่างเพิ่มเติมจากตัวโรสเองนะคะ โรสจะฟังเสียงร่างกายตัวเองเสมอ ช่วงไหนที่รู้สึกว่ามีความร้อนในร่างกายสูง เช่น ตาแห้ง รู้สึกร่างกายร้อน กระหายน้ำตลอดเวลาจะกลับมาจัดระเบียบชีวิต โดยเบื้องต้นจะนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เยอะขึ้น ควบคู่กับการทานสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น เช่น ใบบัวบก ใบย่านาง เพื่อช่วยลดความร้อนของร่างกาย และอาจปรึกษาแพทย์แผนไทยเพื่อทำทรีตเมนต์ที่ช่วยขับความร้อนออกจากร่างกาย เช่น แช่น้ำสมุนไพรเบญจเกษร ที่สำคัญต้องปรับพฤติกรรมด้วย ไม่ใช่ว่ามาแช่น้ำสมุนไพรแล้วกลับบ้านไปทานของหวานอีก เนื่องจากของหวาน เค็ม มัน เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบซึ่งทำให้เกิดความร้อนในร่างกายตามมา” คุณโรสย้ำทิ้งท้าย
ขอบคุณ ดิวาน่า ไทย เมด
Text : Nicharee W.
Images: ดิวาน่า ไทย เมด
#Sudsapda #BeautTalk
ติดตามอ่านบทความด้านความงามและไลฟ์สไตล์อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
CELEBRATING CHANTECAILLE 25 YEAR
L’Oréal Professionnel จัดงานใหญ่เปิดตัวผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมสูตรใหม่ของ iNOA
KANEBO BRIGHT FUTURE BOX อายแชโดว์ใหม่ เปล่งประกายจับตา!
Dyson Airstrait เครื่องหนีบผมไร้แผ่นให้ความร้อน ล่าสุดจาก Dyson
ส่อง เทคนิคทำผมหน้าม้าซีทรู จาก Kim Sunwoo แฮร์สไตลิสต์ของเหล่าไอดอลเกาหลี
แนะนำ 3 ลิปบาล์มใช้ดีมาก ปากนุ่ม ไม่ลอก ไม่เป็นคราบ ราคาเอื้อมถึง