รีวิว Space Sweepers การกลับมาของหลัวจุงกิ ในหนังเกาหลีแนวอวกาศเรื่องแรก!

เกาหลีพีคไม่หยุด ล่าสุดคลอดภาพยนตร์แนวไซไฟอวกาศเรื่องแรกออกมาเรียบร้อย ไหนๆ ก็เป็นเรื่องแรกขนาดนี้ สุดฯ ก็เลยขอจัด รีวิว Space Sweepers มาฝากผู้อ่านกันหน่อย

รีวิว Space Sweepers หนังไซไฟอวกาศเรื่องแรกจากเกาหลี

ต้องขอออกตัวก่อนว่าสุดฯ ไม่ใช่สายหนังนะจ๊ะ ปกติเป็นสายละครมากกว่า แต่ด้วยความที่หนังเกาหลีทำดีและกำลังไปได้ดีในระดับโลก บวกกับได้ยินมาว่าเรื่อง Space Sweepers เป็นแนวอวกาศเรื่องแรกที่เกาหลีลองทำ ทางเราเลยค่อนข้างสนใจว่าเอ๊ะ! เกาหลีจะทำหนังอวกาศออกมาแบบไหน เพราะเราเคยเห็นหนังแนวๆ นี้จากฮอลลีวูดซะมากกว่า ฝีมือคนเอเชียจะเป็นยังไงนะ

ก่อนที่จะอ่านความรู้สึกหลังดูของสุดฯ ต้องขอเท้าความถึงเรื่องย่อกันก่อน Space Sweepers เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกอนาคตในปี 2092 ที่โลกกลายเป็นดาวเคราะห์ผุพังและจะมนุษย์จะอยู่อาศัยไม่ได้ในเวลาไม่ช้า กระนั้นพื้นที่พิเศษของการดำรงชีวิตได้ถูกสร้างขึ้นในอวกาศ ซึ่งเปิดสำหรับพลเมืองของ UTS เท่านั้น นอกจากนี้การเดินทางท่องอวกาศได้สร้างปัญหาใหญ่เนื่องจากขยะอวกาศมีปริมาณมหาศาล ซึ่งเป็นหน้าที่ของเหล่าภารโรงอวกาศที่ต้องคอยเก็บกวาด และนำมันไปขายเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีวิต และไม่แน่ขยะเหล่านี้อาจกลับกลายเป็นสิ่งมีค่าอย่างไม่น่าเชื่อ

ลูกเรือของยานอวกาศ Victory ก็มีหน้าที่เป็นภารโรงอวกาศเช่นกัน โดยปูมหลังของแต่ละคนล้วนไม่ใช่ธรรมดา ประกอบด้วย แทโฮ นักบินอวกาศอัจฉริยะ (รับบทโดย ซงจุงกิ), กัปตันจาง อดีตสลัดอวกาศผู้ลึกลับ (รับบทโดย คิมแทรี), วิศวกรยานอวกาศ ไทเกอร์พัค (รับบทโดย ชินซอนกยู) และหุ่นยนต์ทหารที่ลงโปรแกรมใหม่ Bubs (รับบทโดย ยูแฮจิน) พวกเขารวมทีมกันทำให้ยาน Victory เก่งกาจที่สุดในการตามกวาดล้างขยะอวกาศ

วันหนึ่งหลังจากประสบความสำเร็จในการแย่งชิงกระสวยอวกาศที่พังแล้วในการเก็บกวาดขยะอวกาศครั้งล่าสุด พวกเขาได้เจอกับเด็กหญิงวัย 7 ขวบ หุ่นยนต์ทำลายล้างที่ดูไม่ต่างจากมนุษย์ ซึ่งเป็นที่ต้องการของ UTS พวกเขาจึงเลือกที่จะเก็บเธอไว้เพื่อแลกกับค่าไถ่ราคางาม ขณะที่นึกถึงแต่เงินค่าไถ่ ก็กลายเป็นว่าลูกเรือยาน Victory อาจเป็นคนที่ช่วยโลกนี้ให้พ้นภัยโดยไม่รู้ตัว

เรียกว่านอกจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลแล้ว ยังเป็นเรื่องราวโลกอนาคตไปอีก ส่วนตัวพอดูแล้ว รู้สึกว่าช่วงแรกบทและเนื้อเรื่องไม่ค่อยสมูทเท่าไหร่ และมีช่วงเนือยๆ บ้าง แต่พอเรื่องดำเนินไปสักพักก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องราวสมูทขึ้นและสนุกมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังที่ลุ้นสุดๆ

นอกจากเรื่องเนื้อเรื่องที่รู้สึกว่าไม่ค่อยสมูทในช่วงแรก ส่วนตัวค่อนข้างติดกับเสียงและท่าทางของหุ่นยนต์ รู้สึกว่าแอบไม่ค่อยเข้ากัน เสียงดูลอย ให้ความรู้สึกเหมือนอัดแยกอีกทีแบบชัดเจน ซึ่งตรงนี้เลยทำให้เวลาตัวละครนี้มีบทสนทนาบางช่วงจะรู้สึกไม่ค่อยเข้าถึงอารมณ์บ้าง

ถึงกระนั้นการชมตลอด 2 ชั่วโมงกว่าๆ ค่อนข้างสนุกและดูเพลิน ต้องบอกว่าเกาหลีไปไกลแล้วจริง บรรดานักแสดงนำก็เล่นดีสมกับเป็นนักแสดงฝีมือดีและชื่อเสียงโด่งดัง ก่อนหน้านี้อาจจะพอเห็นบทที่คล้ายคลึงกันจากเรื่องอื่นๆ ของซงจุงกิอยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นภาพใหม่ๆ ของซงจุงกิ เป็นคาแร็กเตอร์ที่ไม่ได้มาขายความหวีดใดๆ แต่เป็นตัวละครที่ปมเบื้องหลัง (จริงๆ ต้องบอกว่าทุกตัวละครหลัก) ทำให้เขามีพฤติกรรมแบบนี้ ซงจุงกิสามารถแสดงให้รู้สึกว่าเราอยากรู้จักคนคนนี้ ค้นหาความรู้สึก ความคิดของเขา

ส่วนคิมแทรีก็คาแร็กเตอร์ต่างๆ จากเรื่องก่อนๆ มากๆ เป็นบทที่ความเท่ เท่แบบชอบมาก ซึ่งคิมแทรีก็เล่นได้สมบทบาท จนลืมบทบาทเรื่องก่อนๆ ไปเลย ในขณะที่ชินซอนกยูก็แสดงได้ดีจริงๆ เป็นบทที่เติมเต็มเรื่องได้ดี เช่นเดียวกับยูแฮจินที่ถึงจะไม่ได้เห็นหน้าเขา แต่เจ้าตัวก็ทำหน้าที่ของตัวเองและทุ่มเทกับการแสดงเรื่องนี้ ขอชื่นชมในเรื่องการเกลี่ยบทด้วย ตัวละครอื่นๆ ก็ต่างมีซีนของตัวเอง

ด้านนักแสดงสมทบในเรื่อง ก็มีทั้งนักแสดงเด็กและนักแสดงต่างชาติที่มาร่วมสร้างสีสัน บอกเลยว่ามีนักแสดงที่เซอร์ไพรส์คนดูในเรื่องด้วยเด้อ ซึ่งนักแสดงเด็กก็เล่นได้ดีและน่าเอ็นดู ส่วนนักแสดงต่างชาติถึงจะพูดคนละภาษา ก็ทำให้รู้สึกว่าเหมือนพูดภาษาเดียวกัน ซึ่งตรงนี้ต้องชื่นชมผู้กำกับและบุคคลเบื้องหลัง เช่น คนตัดต่อที่ทำออกมาให้ดูสมูทมากที่สุด พูดเลยว่าทางเราแอบตกหลุมรักนักแสดงสมทบด้วย อิอิ

ถ้าพูดถึงมู้ดแอนด์โทนของเรื่องนี้ ต้องบอกว่าเป็นแนวไซไฟจัดเต็มจริงๆ เพราะ CG ทั้งเรื่องจ้าาาา ก็ต้องขอชื่นชมว่าทำ CG ออกมาดีเลย ทั้งที่มีดีเทลแต่ละฉากเยอะ และเป็น CG ที่ไม่ค่อยเห็นในหนังเกาหลีเรื่องอื่นๆ เกาหลีสุดมาก นักแสดงก็เล่นกันได้เนียนเหมือนสิ่งนั้นเกิดขึ้นตรงหน้า นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการทำหนังแนวไซไฟอวกาศของเกาหลีเลย

นอกจากความไซไฟแล้ว ในเรื่องยังมีแอ๊กชั่น คอเมดี้หน่อยๆ และความดราม่าที่สอดแทรกเข้ามา เอาจริงตอนดูแอบน้ำตาคลอหลายฉากเลย ซึ่งนอกจากตัวเรื่องและการแสดงที่ทำให้อินแล้ว ต้องขอชื่นชม เพราะส่วนตัวชอบมาก กับเมสเสจในเรื่องที่ใส่เข้ามา เป็นเรื่องที่พบเจอในสังคมโลกจริงๆ และตัวเรื่องยังพยายามทำให้เห็นมุมที่เราสามารถเข้าใจกัน รวมถึงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ มีเมสเสจและข้อคิดอยู่หลายประเด็นที่น่าสนใจ เป็นประเด็นที่สะกิดใจและทำให้ได้ตระหนักรู้มากขึ้นจริงๆ

อีกหนึ่งองค์ประกอบที่อยากพูดถึง คืองานภาพและฉาก เป็นงานที่ท้าทายมาก อย่างที่บอกว่าด้วยความมี CG เยอะ แล้วมาเล่นกับเรื่องอวกาศ ไหนจะมีประเด็นที่อยากนำเสนอ ทำให้งานภาพต้องทำการบ้านกันอย่างละเอียดแน่นอน ซึ่งสุดฯ คิดว่าทำออกมาดีในระดับหนึ่งเลยค่ะ ขอชื่นชมว่าโปรดักชั่นเริ่ด ทำดีจริงๆ

ส่วนตัวสุดฯ มองว่าก้าวแรกมันก็มักจะไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าเกาหลีก็ทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่งสำหรับการลองก้าวข้ามออกจากแนวเดิมๆ มาทำอะไรที่ท้าทายแบบนี้ อยากรอดูแนวอวกาศเรื่องต่อๆ ไปของเกาหลีเลยว่าจะพัฒนาไปยังไงบ้าง

TEXT : ImJinah

PHOTO : Netflix