เมาท์มอยจัดเต็มกับ AR3NA ให้สมกับความคิดถึง กับเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังที่จะทำให้รู้จักพวกเธอมากขึ้น

Alternative Textaccount_circle
event

การกลับมาของ AR3NA ด้วยคัมแบ็กเพลง “Action” มาพร้อมกับการเจริญเติบโตที่ก้าวกระโดดมาก เรียกว่าเป็นการกลับมาแบบปังแบบสับกว่าเดิมอีกเท่าตัว จนน่าตกใจว่าลูกสาวโตขึ้นขนาดนี้แล้วเหรอแม่ แล้วไหนจะตอนเดบิวต์เมื่อปี 2021 ก็ว่าพาวเวอร์ฟูลสุดๆ แล้ว แต่ในคัมแบ็กล่าสุดความพาวเวอร์ฟูลเบอร์ล้านไปเลยจ้า

ถ้าไถไปตามโซเชียลจะเห็นเลยว่ามีคนรอคอยการคัมแบ็กของ AR3NA มาตลอด เพราะด้วยคอนเซ็ปต์วง แนวเพลง และเพอร์ฟอร์แมนซ์ของพวกเธอเป๊ะปังสะใจแฟนๆ สุดๆ ซึ่งพอสามคนกลับมาครั้งนี้ในเวอร์ชั่นที่โตขึ้นก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มันปังจนสะใจไม่ไหว

ไหนๆ สาว AR3NA ก็กลับมาในรอบ 2 ปีทั้งที สุดสัปดาห์เลยได้ชวนสาวๆ ทั้งสามคนมาพูดคุยกันสักหน่อย โดยได้คุยกันยาวมากๆ ทำให้ได้รู้เรื่องราวและรู้จักพวกเธอมากขึ้นไปอีก ใครที่คิดถึง AR3NA ต้องไม่พลาดบทสัมภาษณ์นี้จริงๆ นะ

ความสัมพันธ์ที่แสนแน่นแฟ้นของ AR3NA ที่ผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน

แนะนำตัวทีละคนพร้อมเสน่ห์หรือเอกลักษณ์ที่จะทำให้คนจดจำได้หน่อยค่ะ

พริม : สวัสดีค่ะ พริมนะคะ อายุ 18 ปี หลายคนบอกว่าเสน่ห์ของหนูคือหนูยิ้มเก่งค่ะ

เชอแตม : สวัสดีค่ะ เชอแตมนะคะ อายุ 20 ปี เสน่ห์ของหนูคือหลายคนบอกว่าหนูเป็นคนตรง พูดตรง คิดอะไรก็แสดงออกมาค่ะ

มินซอ : สวัสดีค่ะ มินซอค่ะ อายุ 17 ปี เป็นคนน่ารักค่ะ

แนะนำวง คอนเซ็ปต์ ตัวตนของวงว่าเป็นแบบไหนคะ

พริม : คอนเซ็ปต์ของวงเราที่ค่ายได้คิดคำนิยามมาคือคำว่า “IGNITION ON” คือการจุดประกายไฟในตัวของแต่ละคน เช่น การจุดแพสชั่น คล้ายๆ กับการจุดไฟในตัวคุณค่ะ ซึ่งส่วนตัวหนูคิดว่าวงเรามีความยูนีค มีความซ่า มีความ Energetic ความเป็นวัยรุ่นค่ะ

เชอแตม : สังเกตได้จากเพลงของพวกเราจะเป็นแนวพาวเวอร์ฟูล ซึ่งหนูว่าจุดนี้สามารถพรีเซนต์ความเป็นวงเราออกมาได้ชัดเจน

ที่มาของชื่อวงมาจากอะไรคะ

เชอแตม : AR3NA หมายถึงสมรภูมิค่ะ ซึ่งก็คือสมรภูมิแห่งความฝันที่พวกเราพร้อมจะเข้าไปในสมรภูมินี้เพื่อความฝัน

พริม : แล้วก็เปลี่ยนตัว E เป็นเลข 3 คือแทนพวกเราสามคนที่จะพร้อมเข้าสู่วงการ T-POP แล้วค่ะ

จุดเริ่มต้นของแต่ละคนที่มาออดิชั่นเป็นวง AR3NA ได้อย่างไรคะ

เชอแตม : หนูเคยไปเป็นเด็กฝึกหัดที่เกาหลี แล้วตอนนั้นหนูตัดสินใจจะกลับมาไทยเพื่อจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ แต่ปรากฏว่ามีคนรู้จักแนะนำมาให้ไปออดิชั่นที่ 411 Music ก็เลยเข้ามาออดิชั่น แล้วก็ผ่านเข้ามาฝึกในค่ายค่ะ

พริม : จริงๆ หนูเป็นคนที่ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว แต่ไม่มีพื้นฐานเรื่องการเต้นเลยค่ะ พอดีก็มีคนรู้จักเหมือนกันแนะนำ แล้วก็เลยบินไปออดิชั่นที่เกาหลี เราบินไปออดิชั่นด้วยกัน หนูกับพี่เชอแตม

เชอแตม : ตอนนั้นเขาเอาครูกับโปรดิวเซอร์ที่เกาหลีมาดูเราค่ะ แล้วก็มาตัดสินว่าเราออดิชั่นผ่านหรือไม่ผ่านค่ะ

มินซอ : มินซอไปออดิชั่นที่เกาหลีเหมือนกันค่ะ เป็นออดิชั่นใหญ่ มีหลายๆ ค่ายมาดู แล้วสุดท้ายก็ได้มาอยู่กับ 411 Music ค่ะ

แล้วยังจำความรู้สึกตอนไปออดิชั่นที่เกาหลีได้ไหม

เชอแตม : จำได้ว่าตอนนั้นหนูกับพริมบินไปด้วยกัน แล้วแทบไม่ได้นอนเลย เหนื่อยมาก พอถึงปุ๊บเขาให้ออดิชั่นเลย

พริม : บิน 6 ชั่วโมง แล้วบินไฟลท์กลางคืนไปถึงเกาหลีตอนเช้า แล้วไม่ได้นอนเลย พอลงเครื่องปุ๊บก็ให้เข้าคลาสเต้นเลย เต้นเสร็จก็ไปออดิชั่นเลย ซึ่งพูดตรงๆ ว่าตอนนั้นหนูคิดว่าหนูต้องออดิชั่นแค่ร้องเพลงอย่างเดียว คือไม่รู้ว่ามีเต้นด้วย แล้วอยู่ดีๆ เขาก็บอกให้เต้นด้วยนะ

เชอแตม : ตอนออดิชั่นรู้สึกตื่นเต้นมากจริงๆ ค่ะ

พริม : ของพริมที่ตื่นเต้นเพราะวันนั้นพริมแพ้นม ร่างกายจะไม่ค่อยย่อยนม แล้วดันซ่าเขาชวนกินชาไข่มุก ก็ไปกินกับเขา พอถึงตอนที่จะร้องเพลงจริงๆ รู้สึกหายใจไม่ออกค่ะ คือความตื่นเต้นบวกกับแน่น แล้วตอนนั้นคือออดิชั่นก็ร้องเพลงไปเกร็งมือไป แล้วบรรยากาศในห้องออดิชั่นตึงมาก

เชอแตม : เหมือนเราเจอทุกคนครั้งแรกค่ะ แล้วก็ต้องร้องเพลง เต้น และแร็ปให้เขาดู

พริม : ที่เกาหลีเขาจะไม่ค่อยมาเฮฮากัน เข้าไปออดิชั่นจะมีความเงียบ เวลาเขาดู เขาก็จะไม่ได้นั่งยิ้มและปรบมือตาม เขาจะนั่งกดหน้าแล้วมอง

มินซอ : ตอนหนูออดิชั่นรู้สึกไม่ค่อยตื่นเต้นค่ะ หนูก็เข้าห้องออดิชั่นแล้วโชว์ความสามารถ แล้วผลก็ออกมาผ่านค่ะ

กว่าจะมาเป็น AR3NA ผ่านการขับเคี่ยว ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มข้นอย่างไรบ้าง และเบื้องหลังการต้องไปฝึกที่เกาหลีเป็นยังไง

พริม : บอกเลยว่าหนักมากค่ะ ผ่านน้ำตา ผ่านอะไรหลายอย่าง เราสามคนเลยรู้สึกสนิทกันมากๆ ตอนนี้ถึงจะไม่ต้องคุยกันหรือไม่ต้องมานั่งเล่าให้กันฟัง เราก็พอจะรู้ว่าใครคิดอะไรอยู่ คือเราอยู่ด้วยกันในห้องเดียวกัน แล้วตั้งแต่เช้าตอน 9 โมงบางวันก็จะมีออกกำลังกาย ส่วนตารางซ้อมก็จะเริ่มตั้งแต่ 11 โมงยาวไปถึง 4 ทุ่มค่ะ พอ 4 ทุ่มก็กลับมาที่หอเหมือนเดิม แล้วด้วยความที่เราแชร์ห้องกันสามคน เราเลยต้องมีความสามัคคีกัน เราต้องแบ่งกันว่าวันนี้ใครจะอาบน้ำเมื่อไหร่ ใครจะเป็นคนจัดการห้องหรือจัดการโน่นนี่ยังไง มันเป็นอย่างนี้ทุกวัน 6 วันต่อสัปดาห์ มีพักหนึ่งวันคือวันอาทิตย์ค่ะ ซึ่งการที่เราเป็นเด็กฝึกแค่ 3 คนในการดูแลของค่าย ทำให้เราต้อง work together ด้วยกันเยอะมาก แล้วคิดอะไรเราก็ต้องคุยกัน อยู่ด้วยกันเป็นทีมจริงๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ได้รับเลยคือได้ฝึกตัวเองจริงๆ ได้อะไรจากประสบการณ์ฝึกเยอะมาก

เชอแตม : หนูเป็นคนที่สามารถอยู่คนเดียวได้ แต่ก็มีที่แอบคิดถึงพ่อแม่บ้าง บางทีเราฝึกแล้วก็รู้สึกเหนื่อย ก็รู้สึกอยากจะกลับไปหาพ่อแม่

พริม : พี่แตมเป็นคนเข้มแข็งค่ะ ส่วนของหนู ต้องบอกก่อนว่าตอนอยู่บ้านที่เมืองไทยหนูสบายมากเลย คือพ่อแม่และพี่เลี้ยงดูแลอย่างดี ไม่เคยต้องทำอะไรเองเลย แต่พอต้องไปอยู่ที่เกาหลี มันเหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ ดูแลห้องเอง กินข้าวเสร็จต้องเอาไปทิ้งและต้องล้างเอง ต้องทำความสะอาดห้อง ต้องดูแลทุกอย่างเอง นอกจากเรื่องนั้นแล้ว เวลาเหนื่อยจากการซ้อม เรารู้สึกว่าสภาพจิตใจหรืออารมณ์เราไม่ค่อยแข็งแรง มันก็จะยิ่งคิดถึงคนที่บ้าน คิดถึงอะไรเดิมๆ มันก็มีช่วงที่หนูกลับบ้านมา สรุปซ้อมเสร็จ 4 ทุ่ม กลับถึงบ้านตอน 5 ทุ่ม หนูก็จะนอนน้ำตาไหลบางที แล้วพี่แตมกับมินซอก็นั่งดูหนูร้องไห้ (หัวเราะ)

เชอแตม : หนูจำได้ว่าอยู่ในห้องน้ำแล้วได้ยินพริมเปิดเพลงคาราบาว เพลงสู้ชีวิต แล้วก็มีฟังในห้องน้ำด้วย แล้วก็เศร้า คุยกับพ่อ และก็ได้ยินพริมร้องไห้ หนูก็ปลอบว่าไม่เป็นไรนะลูก

มินซอ : ตอนที่ได้ยินพี่พริมฟังเพลงเศร้าๆ ก็รู้สึกว่าอยากจะปลอบโยนพี่เขาค่ะ ตัวหนูอยู่ที่เกาหลีซึ่งเป็นบ้านเกิดตัวเองอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้มีความรู้สึกอะไร เลยพยายามปลอบโยนพี่ค่ะ

เชอแตม : แต่มินซอก็ไม่ได้อยู่บ้านต้องมาอยู่กับพวกเรา

มินซอ : ใช่ค่ะ ถึงจะอยู่ที่เกาหลี แต่หนูก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันค่ะ ถึงกระนั้นพอได้อยู่กับพี่ๆ ในวงก็รู้สึกสนุกมากค่ะ

จริงๆ แล้วความฝันตอนเด็กของแต่ละคนคืออะไรคะ

พริม : จริงๆ ไม่ได้มีความฝันว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร หรือคิดว่าจะอยากจะเป็นนักร้องอะไรอย่างนี้เลยค่ะ แต่จริงๆ พริมชอบร้องเพลงอยู่แล้ว รู้สึกว่าร้องแล้วมีความสุข แล้วพอเรามีโอกาสพอดีก็เลยอยากลองมาทำ ซึ่งด้วยความที่ฝึกหนักมาก ถ้าสิ่งที่เราทำไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ เราก็คงล้มเลิกไปแล้วค่ะ แต่พอดีเป็นสิ่งที่เราชอบ เลยสามารถอดทนฝึกได้

เชอแตม : หนูก็ไม่มีภาพเหมือนกันว่าโตขึ้นอยากจะไปทำอะไร แค่อยากทำอะไรที่ถูกกฎหมาย และทำให้หนูมีรายได้เพื่อที่จะเลี้ยงตัวเองและเลี้ยงคนที่หนูรักแค่นั้นค่ะ ไม่ได้มีภาพอะไรที่อยากจะเป็น แต่พอหนูขึ้น ม.6 หนูไปเจอคลิปของ BTS แล้วหนูชอบพวกเขามากๆ หนูมีพวกเขาเป็นไอดอล หลังจากนั้นหนูก็เลยอยากเป็นเหมือนเขา เลยเริ่มมีความฝันอยากจะเป็นนักร้องค่ะ หนูว่านั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูอยากไปเรียนเต้นค่ะ

มินซอ : ตั้งแต่เด็กจะเป็นคนที่ชอบเวลาได้รับความสนใจ ตอนแรกเลยอยากจะเป็นนักแสดงค่ะ หลังจากนั้นก็ได้รู้จักการร้องเพลงและการเต้น เลยคิดว่าตัวเองน่าจะเหมาะกับการเป็นไอดอล เลยเริ่มต้นจากตรงนั้นค่ะ

ย้อนกลับไปตอนเจอกันครั้งแรกหน่อย มีภาพจำยังไงบ้าง

เชอแตม : เราไม่ได้เจอพริมพร้อมกัน หนูเจอพริมก่อน เจอตอนที่จะไปเกาหลีด้วยกัน ตอนเจอครั้งแรกคือที่สนามบิน จริงๆ น้องเป็นคนสวยมาก แต่วันนั้นถือกระเป๋าเหมือนจะไปปีนเขา ตอนเจอหนูก็ทักทายสวัสดีแล้วก็ถามว่ากระเป๋าคือจะไปไหน (หัวเราะ)

พริม : เป็นกระเป๋าเดินเขาค่ะ แล้วหนูเป็นคนที่แม้กระทั่งกับกระเป๋านักเรียนก็เป็น คือเวลาที่สะพายจะดึงสายให้ตึงแล้วกระเป๋าจะอยู่แน่นติดกับตัว

เชอแตม : เฟิร์สต์อิมเพรสชั่นคือเป็นคนสวย หน้าคมมาก แต่ซีนที่จำได้คือซีนสะพายกระเป๋าค่ะ

พริม : ตอนเด็กๆ ใครจะไปสนใจเรื่องการแต่งตัวใช่ไหมคะ ถ้าเลือกได้ตอนนี้ก็คงไม่สะพายกระเป๋าอย่างนั้นแล้ว (หัวเราะ)

เชอแตม : ชุดก็เหมือนจะไปขึ้นเขา จำได้ว่าใส่กางเกงที่ไม่เข้ากับรองเท้า แต่ตอนนี้การแต่งตัวคือดีขึ้นเยอะเลยค่ะ

พริม : ตอนเด็กๆ หนูทำตัวเหมือนเด็กผู้ชายมาก การแต่งตัวก็จะเหมือนผู้ชาย ส่วนครั้งแรกที่หนูเจอพี่เชอแตมก็ที่สนามบินเหมือนกัน แล้วเขาแต่งตัวดีมาก เขาใส่เสื้อคร็อปสีดำ แล้วก็ใส่กางเกงลายทหารเป็นกางเกงคาร์โก้ และใส่หมวก หนูเห็นแล้วก็คิดว่า Oh My God ขอให้คนนั้นไม่ใช่คนที่จะไปกับเรา (หัวเราะ) หนูมองตัวเองแล้วก็ Oh My God คนนั้นก็สวยดี แต่ขอให้เขาไม่ใช่คนที่จะไปกับหนู แล้วปรากฏว่าเดินขึ้นมาเจอกันก็ใช่ คนที่ไปด้วยกัน ครั้งแรกที่เห็นก็รู้สึกว่าคนนั้นแนวได้เลย คือเขาดูพร้อมเป็นไอดอลเลย

เชอแตม : แต่จริงๆ หนูไม่ใช่คนแต่งตัวอย่างนั้นหรอก วันนั้นเป็นวันแรกจะได้เจอทุกคน แล้วแม่ก็บอกว่าแต่งตัวดีๆ นะลูก หนูก็เลยโอเค

ตอนเจอมินซอครั้งแรกตอนนั้นน้องเด็กมาก แล้วตอนนั้นหนูจำได้ว่าบอกให้เขาเต้นให้ดู หนูอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไง เพราะได้ยินข่าวว่าเขาเก่งมาก ผ่านออดิชั่นเยอะมาก ก็เลยบอกอะ เต้นให้ดูหน่อย (หัวเราะ) แล้วมินซอก็เต้น

มินซอ : ครั้งแรกที่เจอพี่แตมคือที่หอค่ะ พี่แตมอาบน้ำแล้วออกมาจากห้องน้ำแบบมีผ้าโพกหัวอยู่ ก็เลยทักทายกันเบาๆ และวันต่อมาหนูก็ไปที่ห้องซ้อม ขณะที่กำลังฝึกเต้นอยู่ พี่แตมก็พูดว่าเต้นให้ดูหน่อย (หัวเราะ) หนูก็เลยตอบไปว่าเต้นไม่ค่อยได้ค่ะ แล้วพี่เชอแตมก็บอกว่าลองเต้นดูก่อน หนูก็เลยเต้นค่ะ

เชอแตม : แต่ว่าน้องเต้นได้ดีมากค่ะ หนูแค่อยากรู้เฉยๆ ว่าน้องเต้นเป็นยังไง

มินซอ : พอเต้นเสร็จ พี่เชอแตมก็บอกว่าตอนนั้นเธอเริ่มต้นเป็นเด็กฝึกหัดแล้ว ต้องฝึกเต้นเคป็อปด้วยนะ ซึ่งพอเรารู้จักกันมาถึงทุกวันนี้ ด้วยความที่หนูเป็นคนเกาหลี ปัจจุบันก็ยังพูดกับพี่ๆ เป็นคำสุภาพอยู่ค่ะ แล้วพี่เชอแตมบอกว่าให้พูดกันเองได้เลย แต่หนูรู้สึกว่าอยากจะพูดสุภาพมากกว่า

เชอแตม : จริงๆ เฟิร์สต์อิมเพรสชั่นมินซอน่ารักมาก เขามากับแม่ค่ะ เจอตั้งแต่น้องอายุ 13 ปี

พริม : หนูก็เจอมินซอตอนมีผ้าโพกหัวเหมือนกัน หนูเปิดประตูไปตอนแรกมินซอใส่ผ้าโพกหัวอยู่ คือเขาให้เราเซย์ไฮกันก่อน มินซอก็เปิดประตูออกมาแบบแทบจะเพิ่งออกมาจากห้องน้ำเลยค่ะ เพิ่งสระผมเสร็จ แล้วเขาก็บอกว่าเดี๋ยวให้นอนกับคนนี้นะ โอ้! เกาหลีแท้เลยนี่หน่า แล้วตอนนั้นพริมก็พูดภาษาเกาหลีไม่ได้เลย และตอนนั้นน้องก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สุดท้ายเราก็มาเป็นรูมเมตกัน เราใช้วิธีคุยกันด้วย Google Translate ค่ะ เช่น หนูพูดกับโทรศัพท์ว่าจะอาบน้ำกี่โมงแล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้มินซอ มินซอก็ตอบกลับมา ตอนแรกก็มีแบบไม่ค่อยได้คุยกัน แต่สุดท้ายก็ต้องคุยกันแล้วก็สนิทกันค่ะ

มินซอ : ตอนเจอพี่พริมครั้งแรกก็คือทักทายกันทุกภาษาที่สามารถพูดได้ ทั้งภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย แล้วหลังจากนั้นก็ได้เห็นพี่พริมทักทายคนอื่นที่ห้องอื่นแบบร่าเริง และเข้าไปจับมือ ก็เลยคิดว่าอ๋อ เป็นคนที่เข้ากับคนง่ายสินะ

ส่วนเฟิร์สต์อิมเพรสชั่นที่มีต่อพี่เชอแตมคืออย่างแรกเลยสวยค่ะ แล้วก็ได้ยินมาว่าพี่เขาเคยเป็นเด็กฝึกหัดมาก่อน เลยอยากรู้ว่าจะเก่งและสวยขนาดไหนนะ เพราะได้ยินมาว่าเก่งและสวย แล้วตอนไปฝึกที่ห้องซ้อมหนูก็ใส่ชุดซ้อมแบบชุดเทรนนิ่งแล้วคิดว่าทุกคนก็น่าจะแต่งกันแบบนี้ แต่พอไปถึงห้องซ้อมก็เห็นว่าพี่ๆ ใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงขายาวเหมือนที่ใส่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่เหมือนภาพที่คิดไว้ หลังจากนั้นหนูก็ใส่ชุดแบบเดียวกันค่ะ

แล้วจากที่เจอกันวันแรก มาจนถึงทุกวันนี้ที่รู้จักกันและสนิทกันจนถึงขั้นไม่ต้องพูดก็รู้ว่าอีกคนคิดอะไร มีความประทับใจอะไรต่อกันบ้างหรือเมาท์เผากันหน่อย

พริม : จริงๆ พออยู่ด้วยกันสามคนทำให้ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย อย่างพี่เชอแตมเป็นคนที่ตรงมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ เพราะเวลาเขามีอะไร เราก็จะไม่ต้องหาทางอ้อมค้อม พี่แตมจะเดินเข้ามาบอกว่า เฮ้ย! พริม พี่อยากให้ยูทำแบบนี้ แล้วมันจะดีขึ้นนะ หนูรู้สึกว่าการเป็นแบบนี้ทำให้อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น ซึ่งทำให้พริมเป็นคนพูดตรงกับคนอื่นด้วย แล้วพริมก็สบายใจขึ้นที่จะพูดกับเขา เหมือนมีอะไรมันกล้าเตือนกัน ซึ่งหนูรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีค่ะ

ส่วนมินซอเวลาอยู่ต่อหน้ากล้องหรือถ่ายรายการ เขาอาจจะดูเป็นคนเงียบๆ แต่ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่ตลกมาก แล้วเขาก็พูดเยอะเป็นบางครั้ง ส่วนตัวมินซอเป็นเพื่อนที่น่ารักมาก

เชอแตม : เขาเด็กสุด แต่จะคอยดูแลพี่ๆ แล้วเขาจะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ถ้าพูดถึงพาร์ตในการใช้ชีวิต มินซอจะเก่งที่สุด หมายถึงพวกเราอยู่ไทยแล้วอาจจะติดสบาย แต่มินซอพอเราไปเกาหลี เขาจะช่วยเหลือเรา แบบพี่อันนี้ต้องทำอย่างนี้นะ

พริม : เขาทำอะไรด้วยตัวเองได้ อย่างเรื่องอาหาร คือบางทีเราสองคนจะมีเรื่องการเดินทางจะไม่รู้ มินซอจะเป็นคนช่วยทุกอย่าง เป็นคนที่พาทุกคนรอดพ้นไปได้ค่ะ

เชอแตม : ส่วนพริม ตอนแรกเจอพริมก็ยังเรียบร้อยอยู่ แต่อยู่มาวันหนึ่งเรียกว่าเชอแตม พี่หายไป (หัวเราะ) หรือเรียกให้ไปหา แล้วหนูก็กำลังลุก แล้วนึกขึ้นได้ว่าทำไมต้องลุกไปนะ (หัวเราะ) เลยตอบไปว่าพริมสิ ต้องเดินมาหาพี่ แต่ของมินซอคือบอกไม่ต้องพูดสุภาพ แต่มินซอบอกว่าไม่ จะพูดสุภาพ แต่แอบเมาท์เวลาพูดอะเพราะ แต่การกระทำ (หัวเราะ) แซวมินซอ

การที่พวกเราสามคนได้มาอยู่ด้วยกัน หนูรู้สึกว่ามันดีที่ต่างคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเองในสถานการณ์ที่จำเป็น อย่างเช่น เวลาเราต้องการอะไร เราจะรู้หน้าที่ของตัวเอง หมายถึงหนูจะเป็นคนที่ตรง ก็จะเปิดให้ก่อน แล้วพริมก็จะเป็นคนคอยเก็บดีเทลให้

พริม : คือพี่แตมจะเป็นคนไม่มีฟิลเตอร์ สิ่งแรกที่เข้าไปในหัวเขา เขาจะพูดออกมาเลย แล้วเวลาเขาพูดๆ ไปเสร็จปุ๊บ

เชอแตม : หนูจะเป็นคนที่เปิดได้ดี

พริม : เพราะพี่แตมกล้าพูด แล้วหนูจะมาเก็บรายละเอียดว่าพี่เขาหมายถึงแบบนี้

เชอแตม : แล้วก็จะจบด้วยมินซอ คอยช่วยซัพพอร์ต

ความผูกพันกันมากมายขนาดไหนคะ

เชอแตม : หนูว่าความผูกพันก็มาตามธรรมชาติ เราซ้อมด้วยกัน เราอยู่ด้วยกัน เรานอนด้วยกัน คือ 24 ชั่วโมง เราเห็นหน้ากันตลอด หนูรู้สึกว่ามันเกินกว่าเพื่อน เหมือนเพื่อนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด ส่วนตัวหนูรู้สึกว่าเป็นพี่น้องมากกว่า

พริม : สำหรับหนู ถึงแม้ว่ากลับมาแล้วเราอาจจะไม่ได้คุยกันทุกวัน ไม่ได้คุยกันบ่อย แต่เราก็สนิทกันมาก หนูรู้สึกว่าสองคนนี้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เหมือนถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ทิ้งกันแน่ๆ รักกันค่ะ

มินซอ : ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราเหมือนเป็นแบบครอบครัวกันเลยค่ะ

จากตอนอยู่เกาหลีมินซอคอยดูแลพี่ๆ แล้วพอมาอยู่ไทย พี่ๆ ดูแลยังไงบ้าง

มินซอ : อย่างแรกเลยตอนอยู่ที่เกาหลี พี่พริมจะเหมือนเด็กน้อยค่ะ จะทำอาหารไม่เป็นหรือซักผ้าไม่เป็น แล้วหนูจะคอยเป็นคนแนะนำว่าให้ทำแบบไหน แต่พอหนูเดินทางมาอยู่ที่ประเทศไทย ก็ได้เห็นพี่พริมในเวอร์ชั่นที่เป็นพี่สาวค่ะ คอยดูแลหนูอย่างดี ส่วนพี่เชอแตมตอนที่อยู่เกาหลี จะไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ค่ะ เราจะไม่ได้คุยกันแบบจริงจัง ส่วนใหญ่จะถามไถ่กันทั่วไป แต่พอหนูมาอยู่เมืองไทย เราก็คุยกันเยอะมากขึ้น และก็สนิทกับพี่เชอแตมมากขึ้น พวกเราเหมือนครอบครัวเดียวกันค่ะ

เชอแตม : เราเทรนที่เกาหลีประมาณปีครึ่ง แล้วประมาณปีหนึ่งที่หนูอยู่คนเดียว มินซอกับพริมนอนด้วยกัน แล้วหนูนอนคนเดียว ซึ่ง 6 เดือนหลังจากนั้นก่อนที่จะถ่ายเอ็มวี เขาอยากให้เราสนิทกันจริงๆ ก็เลยเอาเราไปอยู่ห้องเดียวกัน ช่วงปีแรกซึ่งเกินครึ่งของเวลาที่อยู่ที่นั่น หนูอยู่คนเดียว มันก็เลยฟีลแบบมินซอกับพริมจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่พอหลังๆ ก็สนิทกันมากขึ้นค่ะ

แล้วการมาอยู่เมืองไทย ช่วงแรกเป็นอย่างไร และตอนนี้เป็นอย่างไร

มินซอ : ตอนมาไทยแรกๆ หนูยังพูดภาษาไทยไม่ได้ และยังกินอาหารไทยไม่ได้ แต่เพราะพี่ๆ คอยดูแลอย่างดีอยู่ข้างๆ หนูก็เลยอดทนใช้ชีวิตอยู่มาได้ค่ะ ส่วนตอนนี้ก็เป็นคนไทยแล้วค่ะ

ความรู้สึกหลังเดบิวต์ ในที่สุดก็ทำความฝันสำเร็จแล้ว

เชอแตม : มีความสุขมากๆ ค่ะ ที่ผ่านมา 2 ปี เรามองว่าเดบิวต์คือเป้าหมายของเรา แล้วสุดท้ายพอเราได้เดบิวต์ปุ๊บ เป็นอารมณ์เราทำได้ตามเป้าหมายแล้ว ทำความฝันสำเร็จทั้งที แล้วช่วงนั้นก็รู้สึกเอนจอยทุกครั้งที่ได้ไปทำงาน เพราะเราอยากทำจริงๆ

เล่าถึงเพลงล่าสุดหน่อย มีแฟนๆ รอการคัมแบ็กของ AR3NA เยอะมาก

พริม : รู้สึกว่าขอบคุณมากๆ เลยค่ะ จริงๆ หายไปนานขนาดนี้ ก็ขอบคุณทุกคนที่ยังรออยู่ คอยซัพพอร์ตและติดตาม สำหรับเพลงใหม่ของเราคือเพลง “Action” ค่ะ ตัวเพลงและคาแร็กเตอร์ก็จะมีการพัฒนาขึ้นจากเพลงเดบิวต์ คอนเซ็ปต์เพลงนี้จะพูดถึงการต่อสู้กับความกลัวหรือศัตรูในใจเรา ก็ในเอ็มวีนี้อาจจะได้เห็นหลายๆ มุมที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน อยากให้ทุกคนไปดูกันค่ะ

แล้วคิดว่าจากเพลงนี้ ทุกคนจะได้เห็น AR3NA เติบโตขึ้นยังไงบ้าง

เชอแตม : เอาจริงๆ อย่างแรกเลยจากเพลงเดบิวต์มาที่เพลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นลุค การแต่งตัว หรืออินเนอร์จะมีความโตขึ้น เพราะว่าก็ผ่านมาสักพัก ด้วยความเติบโตของเราและอินเนอร์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของเราก็จะดูโตขึ้น พริมก็จะดูเซ็กซี่ขึ้น มินซอก็จะดูโตหรือเฟียร์ซไปเลย อย่างที่สองหนูรู้สึกว่าด้วยแนวเพลงจะพาวเวอร์ฟูลมากขึ้นกว่าเดิม หนูรู้สึกว่าก็เลยอาจจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเราโตขึ้น เพราะว่าเพลง EDM จริงๆ หนูรู้สึกว่าแอบร้องยาก แล้วก็เพอร์ฟอร์มยาก พอเรามาซ้อมกันจริงๆ ก็ทำให้เราโตขึ้นว่าเราจะสามารถทำลายขีดจำกัดของตัวเอง และเราจะผลักดันความสามารถของพวกเราออกมาได้ยังไงให้เพอร์ฟอร์มไปถึงคนดูให้มากที่สุดค่ะ ก็คือพวกเราโตขึ้นด้วยวัย ด้วยนิสัย และด้วยสกิลค่ะ

แชร์เรื่องราวหรือโมเมนต์น่ารักๆ ของแฟนคลับหน่อยค่ะ

พริม : ตอนที่เราไปโชว์ครั้งแรกหลังคัมแบ็กที่พารากอน มีพี่ๆ แฟนคลับเอาสมุดมาให้ คือข้างในมีข้อความที่แฟนคลับหลายคนมากเขียนถึงพวกเรามาให้อ่าน อ่านแล้วก็รู้สึกว่ารู้สึกดีมากจริงๆ ค่ะ เพราะมีคนที่คอยซัพพอร์ตเราอยู่ ก็ซึ้งมากๆ ค่ะ

เชอแตม : แล้วก็พี่ๆ หลายคนที่เวลาเราไปงานไหน เราก็เจอทุกงาน เรารู้สึกขอบคุณมากๆ อาจจะไม่ใช่กลุ่มที่ใหญ่ แต่หนูก็รู้สึกดีที่อย่างน้อยยังมีคนที่เขาชอบเราและติดตามเรา แล้วเราก็อยากมอบความสุขกลับไปให้เขาค่ะ

มีมองเป้าหมายในอนาคตของวง หรือภาพที่มองไว้เกี่ยวกับวงอยากให้คนจดจำ AR3NA แบบไหนคะ

พริม : เราอาจจะไม่ได้คัมแบ็กถี่เท่าวงอื่นๆ เมื่อเทียบกับวงอื่นๆ แล้วอะค่ะ แต่หนูรู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่ตัวหนูเองภูมิใจตลอดเกี่ยวกับพวกเราทุกคน คือหนูรู้สึกว่าเรามีสแตนดาร์ด พวกเราก็เต็มที่และตั้งใจกับทุกๆ คัมแบ็ก ถ้าอยากให้คนจำ AR3NA แบบไหน อยากให้วงเป็นที่จดจำในเรื่องคุณภาพและเรื่องแนวเพลง สมมติว่าเห็นทำเพลงแบบนี้ เห็นเอ็มวีแบบนี้ จะนึกถึง AR3NA ค่ะ

เชอแตม : หนูรู้สึกว่าเป้าหมายของพวกเราคืออยากให้ AR3NA ค่อยๆ เติบโตไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ต้องมีชื่อเสียงที่สุดหรืออะไร แต่เราอยากจะค่อยๆ ให้วงหรือแฟนด้อมที่ชื่นชอบเราค่อยๆ เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ไปพร้อมกับเพลงใหม่ๆ ที่เราอยากจะนำเสนอ และหนูคิดว่าในคัมแบ็กหน้าๆ เราอาจจะโชว์อีกสไตล์หนึ่งหรือด้านใหม่ๆ ของพวกเราให้ได้เห็นค่ะ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายค่ะ

สุดท้ายนี้ ให้ฝากผลงานและฝากอะไรถึงแฟนๆ ที่ติดตามและสนับสนุน AR3NA หน่อยค่ะ

เชอแตม : ฝากพวกเรา AR3NA ด้วยนะคะ ตอนนี้พวกเราก็คัมแบ็กแล้วกับเพลง “Action” เป็นแนวฮิปฮ็อปและ EDM ที่เนื้อเพลงเอ็มพาวเวอร์ให้ทุกคนลุกขึ้นมาทำตามฝัน ใครยังไม่ได้ฟังก็ฝากไปฟังได้นะคะทุกสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม และสามารถรับชมเอ็มวีของพวกเราได้ทาง YouTube : @411ent แล้วสำหรับงานอื่นๆ สามารถติดตามได้ทางโซเชียลมีเดียของพวกเราได้ที่ @ AR3NA_official ค่ะ

และขอบคุณแฟนคลับทุกคนนะคะที่คอยซัพพอร์ตเรา และคอยให้กำลังใจเราในทุกๆ งานหรือทุกๆ อย่างที่เราทำ มันมีความหมายกับเรามากจริงๆ อยากจะขอบคุณและบอกว่ารักทุกคนมากๆ มีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอค่ะ

มินซอ : อยากจะขอบคุณแฟนๆ ที่รอคอยพวกเรามาตลอด 2 ปี และขอบคุณที่คอยเป็นกำลังใจให้กับเรามาเสมอค่ะ ฝากติดตามเพลงการโปรโมตเพลง “Action” ของพวกเรา และรอติดตามผลงานของพวกเราด้วยนะคะ

พริม : ขอบคุณแฟนคลับทุกคน

นะคะที่เอ็นดูและคอยติดตามพวกเรา ในอนาคตก็ขอให้ทุกคนคอยติดตามพวกเราด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

 

 

Text : ImJinah

PHOTO :

 

อัพเดตข่าวบันเทิงเอเชีย ซีรี่ย์เอเชีย ดาราเอเชีย ไอดอลเอเชียได้อีกเพียบที่สุดสัปดาห์ค่ะ

4 ศิลปินคลื่นลูกใหม่แห่งตึก GMM GRAMMY ที่ขนความดีงามมาเต็ม

ทำความรู้จัก VIIS เกิร์ลกรุ๊ปน้องใหม่จากค่าย G’NEST 5 สาว 5 สไตล์ แต่ลงตัวสุดๆ

KIN นักร้องเดี่ยวรูปหล่อดีกรีนักกีฬาฮอกกี้ทีมชาติไทย ที่ทั้งชีวิตมีแต่กีฬา แต่แอบซุกซ่อนความรักในการร้องเพลงไว้

ALALA เกิร์ลกรุ๊ปรุ่นใหม่แห่ง T-POP กับเรื่องราวกว่าจะมาเป็น ALALA

FIRZTER ดูโอน้องใหม่แห่งวงการ T-POP สองเพื่อนซี้ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก

Yes Indeed วงดนตรีคนรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นจากเล่นดนตรีเปิดหมวกที่สยามฯ จนเป็นไวรัล สู่ศิลปินเต็มตัว