สุดสัปดาห์จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพระเอกรุ่นใหม่ของช่อง 8 ที่ขอบอกเลยว่าแต่ละคนนั้นพกพาความดีงามมาเต็มมาก ทั้งหล่อ มีคาแร็กเตอร์ และมีแววทางการแสดงแบบสุดๆ โดยพวกเขาได้มารวมตัวกันในนาม “Snap Project” ที่ได้มาเปิดเผยตัวตนผ่านช่อง YouTube ซึ่งถือว่าทำให้เราได้เห็นพวกเขาในมุมที่แตกต่างจากผลงานละครไปเลยจ้า
แล้วจากการที่สุดสัปดาห์ได้ไปพูดคุยกับพวกเขาทั้ง 5 คนมา ก็สัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ แล้วแต่ละคนก็มีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกันคนละสไตล์ แต่เข้าขากันดีแบบสุดๆ เป็นการสัมภาษณ์ที่สนุกมากๆ มีช่วงเรียกเสียงหัวเราะมาตลอดการสัมภาษณ์เลย แล้วได้คุยกันแบบจัดเต็มมากเว่อร์
บทสัมภาษณ์พิเศษ รู้จัก 5 หนุ่มจาก Snap Project ให้มากขึ้น
ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนช่วยแนะนำโปรเจ็กต์ Snap หน่อยว่าโปรเจ็กต์นี้คือโปรเจ็กต์อะไร ได้ยินมาว่าเป็นการรวม 5 พระเอกรุ่นใหม่ใช่ไหมคะ
ตะวัน : Snap เป็นโปรเจ็กต์แนะนำพวกเราทั้ง 5 คน โดยจะเป็นการโชว์ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ซึ่งพวกเรา 5 คนก็จะมีไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ท่องเที่ยว กิจกรรมกีฬาเอ็กซ์ตรีม หรือแนะนำร้านอาหารครับ บางอีพีก็จะมีเล่นเกมต่างๆ สนุกสนานกันครับ มีเคยไปถ่ายทำที่ต่างประเทศกันด้วย ที่ประเทศเกาหลี มีคอนเทนต์หลากหลายเลยครับที่ปล่อยออกมาให้ได้ชมครับ ซึ่งพวกเราก็จะดึงตัวตนของตัวเองออกมาว่าพวกเราเป็นยังไงเวลาอยู่หลังกล้อง อันไหนออกได้ก็ออก อันไหนออกไม่ได้ก็เก็บไว้ก่อน
ภูมิ : บางทีตัวตนของเราก็เปิดเผยสุดๆ ออกไปไม่ได้ครับ (หัวเราะ)
นิยามความเป็นตัวเองของแต่ละคนหน่อย
อะตอม : ผมว่าผมเป็นคนเฟรนด์ลี่นะครับ ร่าเริงและชอบสร้างสีสัน เป็นตัวที่มักโดนแกล้งครับ
ไกด์ : เป็นตัวโดนของกลุ่มนะครับ โดยความที่น้องเป็นน้องเล็กด้วย
อะตอม : ชอบโดนแกล้งครับ
ไกด์ : เขาเรียกว่าพี่ๆ เอ็นดู
ตะวัน : ตะวันก็จะเป็นพี่ใหญ่ในทีมครับ ก็จะคอยนำน้องๆ ว่าไปในเวย์ไหน อะไรเล่นได้ อะไรเล่นไม่ได้ แต่ว่าบางทีผมก็เล่นเยอะ น้องเป็นคนเตือนก็มีครับ
ภูมิ : ภูมิรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนติดเล่นครับ ชอบความสนุกสนาน และก็เป็นคนอึด แบบแรงเยอะ เอนเนอร์จี้เยอะครับ ผมจะไม่มีเวลาแบตหมด แต่ถ้าผมอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อน ก็จะมีช่วงเวลาแบตหมดครับ
ไกด์ : คือพี่ภูมิกับอะตอมจะเป็นคนที่เอนเนอร์จี้เยอะ สามารถมีพลังได้ตลอดเวลาและตลอดทั้งวันเลยครับ ส่วนตัวไกด์ ไกด์รู้สึกว่าไกด์จะมีความเอ๋อๆ ต๊องๆ
ภูมิ : น่ารักครับ น้องน่ารัก
ไกด์ : ขอบคุณครับพี่ ถ้าพี่ว่าอย่างนั้น ผมก็เป็นคนน่ารักละกัน
โอห์ม : ผมจะเป็นคนพูดน้อย ก็มีความเรียบง่าย จะบอกว่าพูดน้อยต่อยหนักก็ได้ครับ ก็จะเป็นคนที่พูดน้อยที่สุดในกลุ่มครับ
ไกด์ : จะเป็นคนที่มีความสุขุม นิ่งๆ เขาเรียกว่าหล่อแบบนิ่งๆ
ถ้าพูดถึง 5 เสน่ห์ของตัวเอง คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์ตรงไหนบ้างที่จะทำให้ถ้าผู้ชมมาทำความรู้จักแล้วอาจจะกลายมาเป็นแฟนคลับได้
อะตอม : ด้วยความเป็นเด็ก กับรอยยิ้มครับ เสียงหัวเราะแล้วก็สกินเฮดของผมครับ แบบคนเห็นผมปุ๊บจำได้แน่นอน
ตะวัน : ด้วยความที่ตะวันเป็นนักกีฬามาก่อน ผมคิดว่าคนน่าจะจดจำได้ที่เราเป็นสายสปอร์ต ทำกิจกรรมที่ใช้ร่างกายอะไรประมาณนี้ครับ
ภูมิ : เสน่ห์ของภูมิก็คงอยู่ที่เป็นตัวของตัวเองครับ
อะตอม : พี่ภูมิจะเป็นคนที่ตรงไปตรงมาครับ เวลาที่เขาพูดหรือจะถามอะไรออกไป เขาจะมีความซื่อๆ ใสๆ นิดหนึ่ง น่ารักๆ
ไกด์ : ภูมิจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เวลาคิดหรือทำอะไรก็จะแสดงออกมาเลย ผมรู้สึกว่านี่คือเสน่ห์ของภูมิครับ ส่วนของไกด์ ผมรู้สึกว่าด้วยความเป็นตัวของตัวเองนี่แหละครับคือเสน่ห์ของผม มีความเอ๋อบ้าง ต๊องบ้าง ตามคนอื่นไม่ค่อยทันบ้าง และอีกหนึ่งเสน่ห์ของผมคือรอยยิ้มครับ เพราะรู้สึกว่าส่วนใหญ่เวลาคนชม เขาจะชอบบอกว่ายิ้มสวย ก็โฆษณายาสีฟันเข้าได้นะครับ (หัวเราะ)
โอห์ม : โอห์มคิดว่าเป็นความเรียบง่าย ความชิลล์ๆ สบายๆ เปลือกอาจจะดูเหมือนหยิ่ง แต่ถ้าได้รู้จักกันแล้ว ผมเป็นคนสนุกสนานครับ เวลาอยู่กับเพื่อนๆ จะบันเทิงตลอดครับ
ไกด์ : อีกเรื่องหนึ่ง ผมรู้สึกว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอเขา เขาเป็นคนที่บุคลิกดีมาก ท่าทาง การวางตัว เขาเป็นคนที่สุภาพครับ
อยากรู้เส้นทางการเข้ามาวงการบันเทิงของแต่ละคนเริ่มต้นมายังไง
อะตอม : ตอนแรกผมไม่ได้จะตั้งใจเข้าวงการบันเทิงครับ ผมตั้งใจจะเป็นพวกวิศวะ แต่ผมเป็นคนชอบลองครับ เขาชวนไปไหน ผมก็ไป ผมเริ่มจากเวทีประกวด Mister Universe ก่อน พอหลังจากประกวดเวทีนี้เสร็จ ก็เริ่มบูม มีคนรู้จักมากขึ้น ผมก็เลยได้ไปเริ่มทำงานถ่ายแบบ เดินแบบอะไรแบบนี้ครับ ก็ทำด้านนี้อยู่ 2 ปีครับ
ซึ่งมีช่วงหนึ่งก่อนที่จะได้เข้ามา RS ช่วงนั้นผมก็มาเป็นเอ็กซ์ตร้าอยู่ที่กรุงเทพฯ เดินทางมาปุ๊บ จองที่พักเรียบร้อย แต่เขายกกอง ก็เลยรู้สึกเสียดายสองวันนี้ ผมก็เลยส่งแคสต์งานในเฟซบุ๊กที่มีหานักแสดง หานายแบบ ส่งไปทุกงานเลยครับ แล้วก็มีงานหนึ่งหานักแสดงช่อง 8 อยู่ เราก็เลยส่งไป แล้วเขาก็ติดต่อมา ซึ่งผมก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย เพราะเป็นครั้งแรกครับ
ผมรู้สึกว่าตอนที่ผมเข้าไปออดิชั่น ผมก็คุยเล่น สนุกสนาน เฮฮา คุยกับพี่ทีมงาน ผมรู้สึกว่าตรงจุดนี้ที่เอาชนะใจกรรมการได้ ก็เลยได้เข้ามาเป็นนักแสดงช่อง 8 พอเข้ามาแล้วช่องก็ทำให้ผมได้เจออะไรมากมาย เช่น ได้เรียน ม.กรุงเทพ หรือได้มีงานแสดง ล่าสุดก็ได้เล่นซีรีส์ ก็ทำให้มาเจอพี่ๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่โชคดีในชีวิตของผมที่มีพี่ชายหล่อๆ แล้วก็ใจดีแบบนี้ทุกคนครับ
ตะวัน : ก่อนหน้านี้ผมเป็นนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย แล้วก็เปลี่ยนจากนักกีฬามาทำอาชีพนี้ เพราะด้วยสถานการณ์โควิด-19 ครับ ซึ่งช่วงโควิด-19 รายได้ของนักกีฬาจาก 100% ก็เหลือแค่ 10% จริงๆ มันอยู่ได้ไหม ก็อยู่ได้ครับ แต่เรารู้สึกว่าเราอยากจะทำสิ่งที่เป็นอีกหนึ่งความฝันของเรา และครอบครัวเราอยากให้เป็นด้วย ก็เลยมีโอกาสได้เปลี่ยนจากกีฬามาเป็นสายบันเทิงเต็มตัว คือก่อนหน้านี้ที่เป็นนักกีฬาก็มีรับถ่ายแบบบ้าง แต่ไม่รับละครหรือว่าซีรีส์ เพราะเราไม่มีเวลาไปทำงานตรงนั้นเลย เรามุ่งกับกีฬา 100% อย่างเดียว
แต่พอโควิด-19 มาปุ๊บ เราก็มีเวลาว่างแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากหาอะไรใหม่ๆ ที่มันท้าทายเราที่จะทำต่อไป เพราะว่าในสายกีฬา เรารู้สึกว่าเรา success มาหมดแล้ว เราได้รางวัลมา ได้ติดทีมชาติ ได้ไปแข่งต่างประเทศ เรารู้สึกว่ามีความอิ่มตัวกับมันในจุดหนึ่งแล้ว ซึ่งพอมีโควิด-19 ก็เลยคิดว่าเราอยากเปลี่ยนความฝันที่เราอยากเป็นนักแสดงแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็อยากให้เป็นด้วย เลยมีโอกาสได้เข้ามาช่อง 8 เพราะมีโครงการเปิดรับเจน 8 ผมก็เลยสมัครเข้ามาและมาแคสต์ครับ
ไกด์ : จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเข้าวงการบันเทิง จริงๆ ก็เป็นเพราะเรื่องครอบครัวด้วยครับ ตอนนั้นแม่ผมไม่มีเงิน บ้านผมล้มนิดหน่อย ผมก็เลยรู้สึกว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ปี 1 ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ ผมเลยก็ไปหางานพาร์ตไทม์ทำ ทั้ง ร้านชานมไข่มุก ร้านกาแฟ
จนกระทั่งวันหนึ่งผมมีโอกาสได้เจอกับโมเดลลิ่งที่เชียงใหม่ครับ เขาก็พาผมไปถ่ายแบบ เดินแบบ พาไปทำงาน แล้วผมก็รู้สึกว่าจุดจุดนี้ทำให้ผมสามารถสร้างรายได้ได้ แล้วหลังจากนั้นมีช่วงหนึ่งช่อง 8 ก็เปิดแคสต์พอดี ผมก็เลยมาแคสต์ แล้วโชคดีที่เขาติดต่อกลับมา เขาก็บอกว่าจะหาที่เรียนที่กรุงเทพฯ ให้นะ ผมก็เลยตัดสินใจย้ายมาแล้วก็ใช้ชีวิตใหม่ที่กรุงเทพฯ เลย
โอห์ม : จุดเริ่มต้นก็มาจากตอนเด็กๆ ผมเป็นเด็กที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกครับ ซึ่งที่บ้านก็อยากจะส่งเสริมให้เรามีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น จนเราก็หาทำอะไรมาเรื่อยๆ เช่น ไปถ่ายโฆษณา เดินแบบ ซึ่งผมรู้สึกว่าผมชอบการเป็นไม้แขวนเสื้อ เรารู้สึกไปทำงานแล้วมีความสุขที่ได้สวมเสื้อผ้า พรีเซนต์ชุดออกไป
จนมาเจอโครงการ Channel 8 Asia New Star Model Contest ของทางช่อง 8 ครับ ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วช่วงปี 2016 ผมก็ไปประกวดแล้วได้ที่ 1 มา เลยได้โอกาสไปประกวดที่เกาหลีต่อครับ หลังประกวดเสร็จก็กลับมาประเทศไทยแล้วก็เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงของช่อง 8 ครับ ซึ่งผมก็ได้ฝึกด้านต่างๆ มากมาย ทางช่องก็สนับสนุนทั้งด้านร้อง เต้น แสดง ให้เราได้ลองอะไรใหม่ๆ จากที่เราไม่เคยลองทำมาเลยครับ
ภูมิ : ของภูมิเรื่องก็จะคล้ายๆ กับทางไกด์ครับ จุดเริ่มต้นก็คือทางที่บ้านไม่ค่อยมีเงินครับ แล้วก็อยากจะหาอะไรทำครับ จริงๆ ภูมิก็ทำงานมาตั้งแต่เด็กเลยครับ ตอนแรกภูมิเป็นครูสอนว่ายน้ำ ซึ่งพอเข้ามหาวิทยาลัย น้าก็พาผมไปแคสต์ที่ช่อง 8 แล้วแคสต์ติดก็เลยได้เข้ามาเซ็นสัญญา แต่ว่าช่วงที่เซ็นแรกๆ ด้วยตัวภูมิ ตัวคาแร็กเตอร์ ลักษณะงานละครของช่องอาจจะยังไม่มีบทที่ตรงกับภูมิ ก็เลยว่างมาประมาณ 4 ปี ไม่มีงานเลย
หลังจากนั้นพอเรียนจบก็ได้เล่นละคร เริ่มจากได้เล่นซีรีส์ก่อนเรื่องหนึ่ง เล่นได้แปบนึงก็ปิดตัวไป หลังจากนั้นก็มีละครมาเรื่อยๆ ครับ
อะไรที่แต่ละคนหลงรักการแสดง อยากเป็นนักแสดง แล้วอยากเป็นพระเอก
ภูมิ : อย่างที่บอกไปว่าด้วยความที่เข้ามาเพราะอยากหาเงินให้ครอบครัว คิดอย่างเดียวเลยว่าอะไรก็ได้ให้ได้เงิน จะเล็กจะน้อยก็ได้ แค่โผล่มานิดหนึ่ง แต่ถ้าได้เงินก็เอา แล้วพอได้เล่นปุ๊บ ก็รู้สึกว่า เอ้ย! มันสนุกจัง ทำไมมีความสุข แล้วพอได้โอกาสในการเล่นละครไปเรื่อยๆ บทที่ได้รับก็เปลี่ยนไป ก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย! เราได้เป็นหลายคนจัง และพอเราได้รับรู้เรื่องราวของแต่ละคนตัวละคร ผมเลยรู้สึกว่านี่คือเสน่ห์ของการแสดงละคร ซึ่งทำให้เราได้เข้าใจมุมมองของหลายๆ คนมากขึ้น ก็เลยทำให้ชอบการแสดงไปเลยครับ
โอห์ม : ถ้าเท้าความไปถึงเรื่องการแสดง ย้อนกลับไปตอนช่วงม.4 ผมเริ่มทำงานพิเศษช่วยที่บ้าน เพราะที่บ้านทำงานเกี่ยวกับโปรดักชั่นที่ทำงานเบื้องหลังของละครกับซีรีส์ต่างๆ ครับ ตอนนั้นผมก็อยากจะช่วยคุณพ่อด้วยการรับงาน ช่วยการตัดอะไรแบบนี้ครับ เราก็ได้รายได้พิเศษด้วย แล้วจากการทำงานพิเศษอันนี้ก็ทำให้ผมได้ดูละครทุกๆ ซีน ทุกๆ วินาที ทำให้เรารู้สึกผูกพันไปกับละครมาตั้งแต่เด็ก และทำให้ผมรู้ว่ากว่าจะได้ละครเรื่องหนึ่งออกมา มันยากมาก ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าเราจะอยู่เบื้องหน้าด้วยซ้ำ เราคิดว่าเราชอบที่จะอยู่หลังคอมพ์ เราชอบที่จะทำอะไรแบบนี้มากกว่า
จนพอเราเริ่มโตมา เราก็ได้รู้ถึงโพสเซสต่างๆ เราก็เลยเลือกสายการเรียนด้านสื่อสารมวลชนเพื่อที่จะพัฒนาด้านนี้ต่อ จริงๆ เราก็มีความชอบอีกด้านหนึ่ง แต่คิดว่าสายนี้ที่เราเคยทำมา เราชอบ เราก็เลือกเรียนด้านนี้ จนเราได้มาทำเบื้องหลัง แล้วพอเราได้มาทำเบื้องหน้าด้วย มันก็เลยเหมือนเป็นการประสานจิ๊กซอว์ทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันว่าพอเรารู้โพสเซสว่ากว่าจะมาเป็นเรื่องหนึ่งต้องมีทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เราเป็นนักแสดง ณ ตอนนี้ แต่มันยังมีทีมงานเบื้องหลัง มีพี่ๆ พีอาร์ มีพี่ๆ สื่อมวลชนในการที่จะเอาสื่อนี้ออกไปให้คนดูได้ดู
ส่วนอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่เราต้องมีศรัทธาในทุกๆ อย่างที่เราทำ ทั้งในเรื่องของบท เรื่องของสคริปต์ต่างๆ เรื่องการไปออกรายการ และทุกๆ อย่างที่เราต้องไปทำ เราต้องทำด้วยใจจริงๆ เพราะงานเหมือนจะสบาย แต่จริงๆ ค่อนข้างหนัก แล้วเราก็หวังว่าในอนาคตมันจะพัฒนาต่อไป จะทำให้ทุกอย่างทำออกมาให้ดีที่สุดในแบบของเรา
ไกด์ : คล้ายๆ กับที่พี่สองคนนี้พูดครับ ผมรู้สึกว่าอาชีพนักแสดงเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบท หรือการที่เราไปทำงาน เราต้องทำงานกับคน เราต้องคอยเรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นพี่ที่อยู่เบื้องหลังหรือเบื้องหน้า รวมถึงเรื่องตัวบทด้วย การที่เราจะเล่นเป็นตัวร้าย ตัวดี อาชีพโน้นอาชีพนี้ เราต้องมีการศึกษาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสเดียวที่เราจะสามารถเป็นได้หลายคนหลายอาชีพหลายความรู้สึกหลายสถานการณ์ คือการเรียนรู้ครับ ก็เลยรู้สึกชอบอาชีพนี้ตรงนี้ครับ
ตะวัน : รู้สึกว่าอยากหาอะไรที่เรารู้สึกว่าเราอยากเป็นและเรารู้สึกท้าทายกับมัน ด้วยกีฬาท้าทายในมุมที่เราใช้ร่างกายอย่างเดียว แต่อาชีพนักแสดงต้องใช้ทั้งร่างกาย สีหน้า แววตา ทุกๆ อย่างที่บ่งบอกออกมาถึงความรู้สึก เลยอยากจะหาอะไรที่ท้าทายในมุมที่เราอยากจะเป็นบุคคลคนนั้น ให้เราไปถึงในจุดที่สุด เป็นฟีลแบบนั้นมากกว่าครับ รู้สึกว่าอาชีพนี้เป็นศาสตร์และเป็นศิลป์ที่มีความสวยงามในแบบของมัน ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่เคยเรียนรู้หรือไม่เคยแตะด้านนี้เลย แต่พอเราได้มาเรียนรู้และได้สัมผัส เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอและเป็นจุดที่ไม่มีจุดจบ เป็นศาสตร์ที่มีความแตกต่างไปเรื่อยๆ ในแต่ละยุคสมัยที่เปลี่ยนไปด้วยครับ
การเป็นนักแสดงเราต้องปล่อยความรู้สึกตามฟีลตามตัวละคร แต่พอเป็นกีฬา มันคือตัวเรา 100% มันปรับไม่ได้ เราแค่คอนโทรลอารมณ์และควบคุมตัวเองในสนามแค่นั้นเอง แต่พอเป็นนักแสดง เราจะควบคุมทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้ เราไม่ได้เล่นเป็นตัวเอง เราต้องเล่นเป็นคนอื่น เราต้องมีอารมณ์ร่วมกับบุคคลนั้นครับ
อะตอม : ตอนแรกที่ผมเข้ามาช่อง 8 ได้เล่นละครเรื่องแรก ตอนนั้นยืนเกร็งมากเลย จำบทมาอย่างดี แต่จำมาแค่บทของตัวเอง ไม่ได้ฟังคนอื่น ก็แบบรอเขาพูดเสร็จ แล้วเราก็พูดต่อ ตอนที่จะถึงคิวเราถ่าย ผมเครียดมากว่าจะเล่นได้ไหม ตื่นเต้นมาก แล้วก็ไปนั่งรอถ่ายนานมาก มีหลายอย่างที่เราไม่ชินครับ ปรับตัวไม่ได้จริงๆ รู้สึกว่าไม่ชอบเลยครับตอนนั้น
แต่พอเราได้เล่นมาเรื่อยๆ เราก็เริ่มหาจุดที่บาลานซ์แล้วก็หาความสุขของตัวเองให้เจอ แล้วตอนนี้ผมว่าผมก็เริ่มเจอขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ ผมว่าความสนุกของการแสดงคือบทของเรื่องครับ ที่มันจะมีแค่คำพูด แล้วเราสามารถตีความได้หลายอย่าง เช่น บีทนี้เราเล่นชอยส์นี้ได้นะ ความสนุกของการเป็นนักแสดงที่ดีคือการหาชอยส์ใหม่ๆ ให้ตัวเอง มันคือสิ่งที่ท้าทายครับ ผมสนุกกับจุดนี้มาก แล้วก็ผมชอบที่จะเจอบทที่ท้าทายครับ บทยิ่งยาวยิ่งดี ขอเยอะๆ เลยครับ มันยากแหละ แต่ถ้าเราทำได้ มันจะเป็นอะไรที่สนุกมากครับ
ตอนที่ได้รู้ว่าได้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Snap Project รู้สึกยังไงบ้าง
อะตอม : โห! เครียดเลยพี่ ล้อเล่นครับ รู้สึกตื่นเต้นครับ เพราะว่าพี่โอห์มอย่างนี้ เราไม่เคยเจอแล้วเขาก็เป็นรุ่นใหญ่ เป็นไอดอลของผม เฮ้ย! ดีใจที่เราจะได้เจอพี่โอห์ม แล้วก็มีความเครียดนิดหนึ่งว่าเราจะเข้ากับเขาได้ไหม แต่พอมาอยู่ด้วยกันจริงๆ รู้สึกว่าสนุกครับ เป็นสีสันของชีวิต และผมก็ได้เรียนรู้มาจากพี่ๆ ถ้าอะไรไม่ดี ก็คือผมเรียนรู้มาจากพี่ๆ นะครับ (หัวเราะ)
ไกด์ : เอาจริงๆ ก็รู้สึกมีความสุขนะครับ ด้วยความที่เรา 5 คน ถึงแม้ว่าอายุจะต่างกัน แต่ยังเป็นเจนเดียวกันอยู่ครับ ไม่ว่าจะการทำงาน หรือด้านต่างๆ เราเป็นกลุ่มที่สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง พอรู้ว่ามีโปรเจ็กต์นี้ มันเป็นความตื่นเต้น ความที่เราอยากจะทำงานร่วมกันมากกว่า และเราอยากจะมาแชร์อะไรร่วมกัน อยากจะมาสนุกไปด้วยกันมากกว่า
ภูมิ : รู้สึกตื่นเต้นมากครับ เพราะเวลาทำงานในกองถ่าย ก็จะเจอพี่ๆ ที่อายุหรือเจนจะค่อนข้างต่างกัน บางทีอาจจะด้วยความคนละวัย เลยไม่ได้คุยกันมาก แต่พอมารวมกับเพื่อนๆ ในโปรเจ็กต์ ด้วยความที่พวกเรารุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นแบบเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กันทั้งนั้น อย่างภูมิกับโอห์มเข้ามาพร้อมกัน แต่ไม่เคยทำงานด้วยกันเลย เพิ่งจะมาโปรเจ็กต์นี้ที่ได้ทำงานด้วยกันครั้งแรก แล้วก็รู้สึกว่าเราสามารถคุยกันได้หมดทุกคน มีความสนุกสนานมาก ด้วยความที่อายุเราใกล้เคียงกันครับ หลายๆ เรื่องเราสามารถแชร์กันได้เลยครับ
ตะวัน : รู้สึกว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่ไม่ได้คาดหวังเรื่องอายุมากกว่าครับ เพราะว่าพวกเราเป็นเจนเดียวกัน ใช้ชีวิตเหมือนกัน ไลฟ์สไตล์เหมือนกัน คุยเรื่องต่างๆ เหมือนกัน มีหลายอย่างที่รู้สึกว่าคล้ายกัน จะเป็นในเวย์เดียวกัน ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือเกร็งที่จะอยู่ในโปรเจ็กต์เดียวกัน พอเข้ามาก็เป็นกันเอง อาจจะด้วยความที่ตัวตะวันโตสุดด้วย และก็เป็นคนที่เข้ากับคนง่ายอยู่แล้ว เลยไม่ได้ติดปัญหาอะไร พอได้เข้ามาอยู่โปรเจ็กต์เดียวกัน 5 คน ก็รู้สึกว่าเข้ากันได้ดีครับ แต่ละคนเป็นตัวของตัวเอง ก็เลยคุยกันง่าย มันเลยเข้าใจกันง่ายครับ บางทีแค่มองตาก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว
โอห์ม : ผมคิดว่าแต่ละคนมีมุมที่แตกต่างกัน พอมารวมตัวกันเหมือนจิ๊กซอว์ที่มาประสานกัน ซึ่งช่องก็ดึงมาอยู่ด้วยกันเพื่อมาส่งเสริมกันในด้านเด่นๆ ของแต่ละคน ทำให้ได้ทำอะไรที่แปลกใหม่และได้สนุกสนานครับ เหมือนพาวเวอร์เรนเจอร์ครับ
5 คนในทีม Snap สนิทกันขนาดไหน มิตรภาพเป็นยังไง มีเรื่องอะไรอยากจะเผาเพื่อนไหม
ภูมิ : บางทีก็ออกสื่อไม่ได้ (หัวเราะ)
โอห์ม : เวลาผมเห็นหน้าอะตอมผมจะขำ เพราะน้องเป็นคนที่น่ารัก น่าแกล้ง ผมเคยเจอน้องในผลงานเรื่องหนึ่ง แล้วความประทับใจแรกคือผมต้องบู๊กับเขา ผมต้องต่อยกัน แล้วผมรู้สึกว่าน้องคนนี้หน้าคุ้นจังเลย เราจะสู้มันไหวไหมเนี่ย ตัวมันใหญ่มากเลย กลัวมาก แล้วน้องก็แรงเยอะจริง ตอนนั้นผมแขนเขียวเลยครับ พอเจอตัวจริง ได้รู้จักจริงๆ แล้ว เป็นคนที่น่ารัก น่าแกล้ง เป็นน้องที่น่าแกล้งที่สุดแล้ว
อะตอม : พี่ภูมิเป็นคนที่คอยเปิดโลกให้กับผมครับ เขาทำให้เราเห็นมุมมองอีกมุมหนึ่งในกอง แบบการที่เราทำตัวแบบนี้ก็เฟรนด์ลี่ เราก็ศึกษาจากเขา หรือพี่โอห์มเขาเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก พอเขาพูดทีก็ทำพวกเราสตั๊นท์ แล้วก็เป็นคนชอบอุลตร้าแมนครับ
แต่จริงๆ ผมรักพี่นะ ผมไม่กล้าเผาใครเลย แล้วก็ไม่กล้าเผาใคร เพราะเดี๋ยวเขาเผากลับ (หัวเราะ) แล้วพอเขาเผากลับก็หนักกว่าเดิม
ไกด์ : เราอยู่ด้วยกันมาจนชินแล้ว พอเรื่องไหนที่มันหนักๆ ก็มองมันเป็นเรื่องปกติไปหมดแล้วครับ
ตะวัน : เผาภูมิแล้วกัน พอสนิทกันก็รู้ว่าภูมิกับผมเป็นเวย์คล้ายๆ กันครับ ก็คือจะทำอะไรก็จะคล้ายๆ กันหมด เคยไปถ่ายรายการด้วยกันก็เคยมีความคิดเหมือนกัน เมื่อวานเราไปถ่ายอีพีปีนผามา แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งเขาสดใส น่ารัก เราเลยแซวๆ เป็นคอนเทนต์ในรายการ เราก็อยากรู้กันว่าเขาคือใคร เราก็แกล้งๆ กัน เหมือนเขาปีนผาเสร็จ เขาก็กลับบ้านไป เราก็แกล้งๆ พูดกันว่าเขาไม่รอเราเลย เขางอนเราเหรอ เล่นๆ กันเฉยๆ อะไรแบบนี้ครับ ก็จะเล่นด้วยกัน คิดเหมือนกันฟีล B1 กับ B2 ครับ
ภูมิ : เอาเป็นว่าเราจะคิดอะไรคล้ายๆ กัน สมมติเวลาเราเดินไปเจออะไร เราก็จะทักกัน มองตาก็รู้ใจครับ หรืออย่างไกด์ก็จะมีความเงียบๆ แต่ก็มีข้างในอะไรลึกๆ ที่คล้ายกัน หรือโอห์มที่เป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก บางทีเขาจะพูดอะไรที่คนนึกไม่ถึง หมายถึงหลายอย่างนะครับ เช่น มุก เขาจะมีเล่นอะไรที่คาดไม่ถึงครับ
ไกด์ : พวกเราเป็นความแตกต่างที่ลงตัวครับ แล้วพอเราเจนใกล้กัน เหมือนกล้าเปิดใจที่จะคุยกับทุกคนครับ
จะมีซีรีส์วายเรื่องแรกของช่อง 8 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
โอห์ม : ซีรีส์เรื่องนี้จะชื่อเรื่องว่า “Bake Me Please พิชิตใจนายสายหวาน” จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเบเกอรี่ จะมีเรื่องราวความรัก ครอบครัว เรื่องเพื่อน ซึ่งผสมผสานออกมาในเรื่องนี้
ไกด์ : โดยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำขนม ที่จะมีทั้งหมด 5 ตัวละครที่จะมีเบื้องหลังชีวิตที่แตกต่างกัน แล้วต้องมาได้ทำงานด้วยกัน แล้วในเรื่องก็จะมีการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ในเชิงความรัก และความสัมพันธ์ของเพื่อนกับครอบครัว
ภูมิ : ก็คือเป็นหลายรูปแบบของความสัมพันธ์ จะได้เห็นเรื่องของมิตรภาพ แล้วก็มีความขัดแย้งบางอย่างในใจระหว่างเพื่อนก็มีครับ เป็นดราม่าเล็กๆ น้อยๆ ครับ จะมีทั้งหมด 6 ตอนครับ
ไกด์ : เหมือนเป็นการนำเสนอ 5 ชีวิตที่แตกต่างกันเลย อย่างตัวละครอะตอมก็จะมีความเป็นน้องเหมือนในชีวิตจริงเลย เพราะในเรื่องชื่ออะตอมเลย แล้วคาแร็กเตอร์ก็ประมาณนี้เลย ส่วนตัวละครผมก็จะเป็นคนที่สดใสร่าเริง
โอห์ม : ตัวละครผมก็จะเป็นคนที่ Introvert ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก แต่ภายในเราก็อ่อนไหวครับ ก็มีบางคนที่ทำให้เราคลายตัวตนออกมา
ภูมิ : ตัวละครของผมก็จะเป็นเพื่อนกับโอมครับ ชื่อกาย ถ้าเล่าเรื่องย่อคร่าวๆ ก็คือจะมีสามคนที่เริ่มทำร้านขนมด้วยกัน แล้วก็เกิดปัญหานิดหน่อย จากนั้นก็มีใครบางคนเข้ามาในร้านของเรา แล้วก็ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นครับ
ตะวัน : ตัวละครของผมเป็นอีกตัวละครที่เป็นความลับครับ เป็นตัวละครที่มาพลิกเรื่องราวไปอีกแบบหนึ่ง สปอยล์ไว้แค่นี้ครับ
บรรยากาศการถ่ายทำเป็นยังไงบ้าง
ไกด์ : ก็อย่างที่เห็นเลยครับ เราก็กล้าคุย กล้าเล่นกัน ดีอย่างหนึ่งตรงที่ปกติเรื่องอื่นเราจะได้แสดงกับรุ่นใหญ่ ก็จะมีความเกรงใจเขา หรือความเกร็งๆ บ้าง แต่ด้วยความในเรื่องนี้เราได้เล่นกับคนรุ่นเดียวกันหมดเลย ทำให้เรื่องนี้เรากล้าเล่น กล้าแสดงออก กล้าเปิดเผยตัวตน มันจะมีความเป็นธรรมชาติค่อนข้างสูงครับ
ภูมิ : อย่างบางทีเวลาเราเล่นละครกับพี่ๆ นักแสดงรุ่นใหญ่ เราอาจจะไม่กล้าคุย ไม่กล้าปรึกษาในเชิงที่ลึกมากเรื่องของการแสดง บางทีเราจะเกรงใจ แต่พอเป็นรุ่นเดียวกัน เราจะมีจังหวะธรรมชาติของกันและกันโผล่ขึ้นมาเยอะครับ เช่น เราสามารถคุยกันได้ว่าเราไปในเวย์นี้ดีไหม เฮ้ย! หรือว่าเราไปในมุมนี้ดีไหม ลองดูนะเผื่อมันเวิร์ก รู้สึกว่ามันทำให้มีอิสระในการเล่นมากขึ้นครับ ด้วยความสนิทกันด้วย
ไกด์ : เหมือนกล้าเปิดใจต่อกัน อย่างเล่นกับพี่รุ่นใหญ่อย่างที่พี่ภูมิบอก เราก็จะมีความเกรงใจเขา แต่พอเราเป็นรุ่นเดียวกัน เราจะกล้าพูด กล้าแสดงออกเพื่อให้ซีรีส์เรื่องนี้ออกมาดีที่สุดได้
มีต้องทำการบ้านอะไรสำหรับเรื่องนี้บ้างไหม
ไกด์ : ก็มีไปเวิร์กช็อปทำเบเกอรี่ด้วยกันครับ ก็สนุก มันคือการเปิดโลกครับ
ภูมิ : ก็ได้รู้ว่าการทำเบเกอรี่มันยากกว่าที่คิดมาก แล้วมันมีหลากหลายขั้นตอนมาก รู้สึกว่าไม่ตายตัวเลย บางทีผสมอันนี้มากก็จะกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง ผสมอันนี้น้อยก็จะกลายเป็นอีกแบบหนึ่งครับ ขั้นตอนการทำก็เยอะครับ
ฝากผลงาน มีผลงานอะไรให้ติดตาม และฝากอะไรถึงแฟนๆ หน่อยค่ะ
อะตอม : ขอฝากซีรีส์เรื่อง “Bake Me Please พิชิตใจนายสายหวาน” ด้วยนะครับ ของพวกเรา Snap ที่เราตั้งใจทำออกมา ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์แห่งความสุขที่ในกองก็มีความสุข นอกจอก็น่าจะมีความสุขแน่นอน พวกเราเชื่อมั่นแบบนั้นครับ แล้วก็ขอฝากผลงานของช่อง 8 ด้วยนะครับ ตอนนี้มีละครเรื่อง “วิญญาณแพศยา” ที่กำลังถ่ายทำอยู่ ใกล้จะเสร็จแล้ว แล้วก็ผมก็ขอฝากซีรีส์ของผมอีกเรื่องออนแอร์อีกช่องหนึ่ง คือ “7 Days before Valentine” ด้วยครับ เป็นซีรีส์ที่แปลกใหม่ ผมคิดว่าทุกคนน่าจะคาดเดาเนื้อเรื่องไม่ถูกแน่นอนครับ
และก็ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่คอยติดตามและคอยซัพพอร์ตนะครับ อะตอมมีวันนี้ได้ก็เพราะทุกคน แล้วก็มีกำลังใจได้ทุกวันนี้ก็เพราะทุกคน ทุกคนเป็นกำลังใจของผม แล้วทุกคนก็คือความรักของผมครับ
ตะวัน : ก็ขอฝากผลงานนะครับ ทั้ง Snap Project ที่จะมีอีกหลายอีพี แล้วก็ซีรีส์ “Bake Me Please” ที่ถ่ายทำจบแล้ว เตรียมที่จะออนแอร์เร็วๆ นี้ ยังไงก็ฝากแฟนคลับทุกคนเป็นกำลังใจแล้วก็คอยติดตามพวกเราทั้ง 5 คนด้วย ว่าทั้ง Snap จะออกมาเป็นแบบไหน และซีรีส์เรื่องราวจะเป็นยังไง จะซับซ้อนแค่ไหน ฝากติดตามด้วยครับ แล้วก็ฝากละครเรื่อง “วิญญาณแพศยา” ด้วยเช่นกันครับ ที่เล่นด้วยกันก็มีอะตอม ตะวัน แล้วก็โอห์มครับ
ไกด์ : ฝาก Snap Project และซีรีส์ “Bake Me Please” ด้วยนะครับ เรื่องนี้เป็นการพลิกบทบาทของไกด์เลย แต่จะพลิกบทบาทขนาดไหน ก็ต้องไปรอดูนะครับ นอกจากนี้ไกด์ก็มีผลงานซีรีส์เรื่อง “หอมกลิ่นความรัก” ที่กำลังออนแอร์อยู่ครับ ก็ฝากติดตามด้วยนะครับ
โอห์ม : ขอฝากทุกคนเลยครับ ฝากชาว Snap Project แล้วก็ฝากซีรีส์ของพวกเรา “Bake Me Please” ครับ ส่วนของโอห์มก็จะมีละครที่รอออนแอร์อยู่ก็คือ “ศึกเสน่หาไกรทอง-ชาละวัน” และก็เรื่อง “วิญญาณแพศยา” ก็กำลังถ่ายทำอยู่กับเพื่อนๆ ครับ นอกจากนี้โปรเจ็กต์อื่นๆ ก็สามารถติดตามได้ที่ไอจีของแต่ละคน แล้วก็จะมีอีเวนต์ต่างๆ ก็สามารถไปเจอกันได้
และขอบคุณสำหรับการซัพพอร์ตที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์ หรือทางออนไซต์ต่างๆ ขอบคุณมากๆ ที่รักพวกเรา ให้การซัพพอร์ตที่ดีเสมอมา มีโอกาสก็มาเจอกันบ่อยๆ นะครับ ขอบคุณครับ
ภูมิ : ก็ฝากพวกเราทั้ง 5 คน Snap Project และก็ฝากซีรีส์ “Bake Me Please” เช่นกันครับ ทุกคนตั้งใจกันหมดเลยครับ ทั้งทีมงาน นักแสดงต่างๆ ก็คือตั้งใจให้ซีรีส์เรื่องนี้ออกมาดีที่สุดครับ แล้วก็ส่วนตัวขอฝากละครของช่อง 8 เรื่อง “บุหลันมันตรา” และ “เรือนชฎานาง” ครับ
ใครที่อยากไปติดตามผลงานของหนุ่มๆ Snap Project ทั้ง 5 คน สามารถไปติดตามได้ทางโซเชียลทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, YouTube, X (Twitter) และ TikTok ชื่อว่า @ SnapOfficialTH นะคะ แต่ละคนคาแร็กเตอร์ชัดและมีแววทางการแสดงแบบสุดๆ พูดเลย!!!
.
.
TEXT : ImJinah
PHOTO : นวพจน์ โพธิเกษม
.
.
.
อัพเดตข่าวบันเทิงเอเชีย ซีรี่ย์เอเชีย ดาราเอเชีย ไอดอลเอเชียได้อีกเพียบที่สุดสัปดาห์ค่ะ
ALALA เกิร์ลกรุ๊ปรุ่นใหม่แห่ง T-POP กับเรื่องราวกว่าจะมาเป็น ALALA
FIRZTER ดูโอน้องใหม่แห่งวงการ T-POP สองเพื่อนซี้ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
Yes Indeed วงดนตรีคนรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นจากเล่นดนตรีเปิดหมวกที่สยามฯ จนเป็นไวรัล สู่ศิลปินเต็มตัว
พูดคุยกับ ยิม ธัญญะ นักแสดงรุ่นใหม่ที่มาพร้อมแพสชั่นอันแรงกล้าที่มีต่ออาชีพนักแสดง