ทำเอาเรานั่งฟังเพลินจนลืมถาม เมื่อ ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ เปิดใจเล่าถึงวัยเด็ก เห็นมาดคุณหนูดูคุณชายแบบนี้ ฟิล์มบอกว่าชีวิตผมก็ไม่ได้รวยครับ จุดพีคคือวันที่กำเงินก้อนสุดท้ายไปสมัครเรียนภาษา ตั้งใจจะไปสอบเป็นสจ๊วตเพื่ออนาคต แล้วไปไงมาไงถึงกลายมาเป็นสามีของ “เมีย2018” และ “ฟิล์ม ธนภัทร” ของแฟนๆ วันนี้ได้ ต้องอ่านบทสัมภาษณ์นี้กัน
ฟิล์ม ธนภัทร กับเงินก้อนสุดท้าย และแรงขับเคลื่อนเพื่อครอบครัว
อัพเดทชีวิตผลงานช่วงนี้หน่อยคะ ว่ามีอะไรให้แฟนๆ ได้ติดตามบ้าง
ฟิล์ม : ตอนนี้มีละคร 2 เรื่อง เรื่องแรกคือพายุทราย อีกเรื่องยังไม่สามารถบอกชื่อได้เพราะกำลังถ่ายทำอยู่ และผมมีรายการออนไลน์ด้วยครับ คือรายการ Film For Fans ซึ่งเป็นรายการออนไลน์รายการแรกของผม ออนแอร์ใน YouTube ทางช่อง One Playground ครับ
รายการนี้ผมตั้งใจมากๆ ผมเป็นคนเสนอคอนเทนต์เอง ลงมือทำเองทุกขั้นตอน คิดและคุยกับทีมงานว่าจะทำอะไรกันบ้าง ที่ให้ได้ทั้งความสนุกและความสุข คอนเซปต์คือ ผมตั้งใจไปเซอร์ไพรส์แฟนคลับ ซึ่งปกติเราจะโดนแฟนคลับเซอร์ไพรส์ เขาจะเป็นคนมาหาเราเอง ติดตามได้เลยครับว่าแต่ละ EP. ผมไปเซอร์ไพรส์แฟนคลับอะไรบ้าง อยากให้คนดูยิ้มตาม มีความสุขไปด้วยกันครับ
ฟีดแบ็กรายการเป็นอย่างไรบ้างคะ
ทุกคนจะชมว่ารายการน่ารักจังเลย อยากให้มีออกมาอีกเยอะๆ หรือบางคนจะบอกว่าอยากเป็นคนตรงนั้นจัง อยากให้มาเซอร์ไพรส์บ้างจัง มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนเราได้ชาร์จแบตซึ่งกันและกันครับ การที่เราได้ไปเซอร์ไพรส์เขาแล้วเห็นเขามีความสุขก็ทำให้เรายิ้มตามไปด้วย ทำให้เรารู้สึกดีไปด้วย
ขอคุยเรื่องเกี่ยวกับตัวฟิล์มบ้าง อยากรู้ว่าตัวตนจริงๆ ของฟิล์มเป็นคนยังไงคะ
ในละครอาจจะเห็นผมใส่สูท ดูนิ่งๆ เหมือนนักธุรกิจ แต่ว่าในชีวิตจริงของผมต่างจากในละครอยู่เหมือนกัน ชีวิตจริงผมเป็นคนพูดเก่งครับ ชอบพูดคุย ชอบแหย่ ชอบเล่นกับทุกคน ชอบมีเสียงหัวเราะ เป็นคน alert นิดหน่อยครับ แต่ผมก็ไม่ได้เป็นคนคิดบวกไปทั้งหมดนะครับ ผมก็มีเรื่องที่เครียดบ้างเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องพื้นฐานของทุกคน เครียดเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว ทำนองนี้ครับ
ชีวิตในวัยเด็กของเด็กชายธนภัทรเป็นยังไงบ้างคะ
ผมเป็นเด็กสระบุรีครับ ครอบครัวผมก็ไม่ได้ร่ำรวย ผมจำได้ว่าบ้านหลังแรกเป็นปั๊มน้ำมัน ที่ไม่ใช่ปั๊มดิจิตอลเหมือนตอนนี้นะครับ เป็นปั๊มแบบสมัยก่อนที่ตัวเลขจะหมุนไปเรื่อยๆ ที่บ้านผมทำปั๊มแล้วบ้านผมก็อยู่ในนั้นเลย เวลามีคนมาเติมน้ำมันก็ออกจากบ้านมาก็ถึงปั๊มน้ำมันเลย นั่นคือบ้านหลังแรกที่ผมจำความได้
จากนั้นผมก็ย้ายบ้าน มาซื้อบ้านที่สระบุรีนี่แหละครับ แต่เป็นบ้านหลังเล็กๆ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 50 ตารางเมตร 2 ห้องนอน ค่อนข้างเล็กสำหรับการใช้ชีวิต 4 คน คือพ่อ แม่ ผม และพี่ชาย พอรวมห้องครัวรวมอะไรไปด้วยมันก็ยิ่งเล็กลงไปอีก คล้ายๆ คอนโด 24 ตารางเมตร 2 ห้องต่อกัน แต่อยู่กัน 4 คน
ตอนนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตผมไม่ได้พร้อมและค่อนข้างขาดซะส่วนใหญ่ คือหมายถึงในเรื่องของเงินทองนะครับ ซึ่งความขาดของเงินทองตรงนั้นมันก็เป็นแรงผลักดันให้ผมมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
ความไม่พร้อมประมาณไหนครับ
ไม่ใช่ถึงขนาดขอข้าววัดนะครับ ในความเป็นเด็กคือเราไม่สามารถได้ของเล่นที่อยากได้ ผมรู้สึกว่าของเล่นแค่ไม่กี่ร้อยบาท ทำไมพ่อแม่ถึงไม่ซื้อให้ เวลาเพื่อนคนอื่นไปโรงเรียนกัน เขาก็จะมีพ่อแม่ขับรถไปส่ง ส่วนผมต้องนั่งรถเมล์ไปเรียนเองตั้งแต่ ป.2 จนถึงจบ ม.6 เลยครับ ก็เป็นเด็กตัวเล็กๆ 8 ขวบที่ต้องนั่งรถเมล์ไปเรียนเองน่ะครับ จริงๆ ผมก็ไปกับพี่ชายด้วย แต่ตอนที่พี่อยู่มัธยมแล้วเขาก็ต้องไปเรียนพิเศษต่อ ผมก็ต้องนั่งรถเมล์กลับบ้านเอง แล้วพอลงรถเมล์ก็ไม่ได้ถึงหน้าบ้านเลยนะครับ ผมต้องเดินไปอีกประมาณหนึ่งกิโลเพื่อเข้าบ้าน ซึ่งถือว่าไกลอยู่สำหรับเด็ก
พอมองย้อนกลับไปผมก็รู้สึกว่าชีวิตเราก็ผ่านอุปสรรค ผ่านอะไรต่างๆ มาค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ทำให้มันเป็นแรงขับเคลื่อนอยู่ข้างใน ทุกครั้งที่ผมเจออุปสรรคผมก็จะรู้สึกว่าชีวิตผมคงไม่ล้มไปมากกว่านี้แล้วล่ะ
เคยเจอเหตุการณ์ล้มลุกคลุกคลานมั้ยคะ
ฟิล์ม : น่าจะเป็นตอนเรียนจบมั้งครับ เพราะเป็นช่วงที่มีปัญหากับที่บ้าน ผมเลยย้ายไปอยู่หอที่เป็นห้องพักแบบหอผีสิงน่ะครับ แล้วไม่มีเงินเหลือเลย ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าห้องสิ้นเดือน
แล้วตอนเด็กๆ ที่อยากได้นู่นนี่ตามประสาเด็ก เราได้ของชิ้นนั้นมาตอนไหนคะ
ฟิล์ม : ตอนนั้นผมอยากได้เกมบอยครับ ที่บ้านก็จะหลอกล่อด้วยการบอกว่าถ้าเรียนได้เกรด 4 ก็จะซื้อให้ แต่สุดท้ายก็ไม่ซื้อให้ หรืออย่างของขวัญวันเกิดผมก็ขอชิ้นเดิมมา 3 ปีแล้ว เขาก็ไม่ซื้อให้ เห็นบ้านอื่นมีเราก็อยากได้ แต่เราก็ไม่ได้ ผมก็เคยขอเพื่อนเล่นนะครับ แต่ว่าเวลาเล่นเกมแล้วจะติดลมน่ะครับ เด็กๆ ก็จะไม่ค่อยแบ่งกันเล่น สุดท้ายผมก็ไม่เคยได้เกมจากที่บ้านมาเลย เป็นความอยากที่ค้างคามาตั้งแต่เด็ก พอมีคอมพิวเตอร์ก็เลยติดเกมเลยครับ เป็นความอัดอั๋น
ฟิล์มจัดว่าเป็นเด็กเรียนดีเลยมั้ยคะ
ตอนประถมกับตอนมัธยมต้นผมเป็นคนเรียนดี ถึงจะเล่นเกมแต่ก็เรียนดี แต่พอช่วงมัธยมปลายมันเหมือนเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต มาครบหมด ทั้งติดเกม ติดแฟน มีความรัก แล้วก็เอนท์ไม่ติด ก็เลยต้องเรียนมหา’ลัยเอกชน ซึ่งเพื่อนในกลุ่มเรียนมหาวิทยาลัยรัฐกัน ได้คณะดีๆ เกือบทั้งหมด เป็นหมอ เป็นวิศวะ เรียนจุฬา เรียนธรรมศาสตร์ เรียนลาดกระบัง
ไม่ใช่ว่ามหาวิทยาลัยเอกชนไม่ดี แต่ผมรู้สึกว่าบ้านเราก็ไม่ได้มีเงินเยอะ ทำไมเราถึงต้องมาเรียนเอกชน ทำไมเราถึงต้องสร้างภาระให้กับที่บ้านอีก ทั้งที่ถ้าผมตั้งใจเรียนกว่านี้ ค่าเทอมตรงที่แพงขึ้นกว่าเท่าตัวก็จะไม่เกิดขึ้น แทนที่เราจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย แทนที่เราจะได้อยากเรียนในคณะที่อยากเรียนจริงๆ ก็ไม่ได้เรียน
ทำไมตอนม.ปลาย ถึงหลุดไปได้ขนาดนั้นคะ
ตอนเด็กๆ ผมก็ได้เกรดเฉลี่ยประมาณ 3.6 – 3.8 ถือว่าดีแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้น Top 5 อะไรขนาดนั้นนะครับ แต่พอ ม.ปลาย เกรดร่วงมาอยู่ต่ำสุดคือ 2.4 ติด 0 ติด ร. เต็มไปหมด โดดเรียน ทำทุกอย่างเลย มันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตน่ะครับ ตอนนั้นด้วยความคิดวัยรุ่นรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้ผิด สิ่งที่เราคิดมันถูกต้อง คือในช่วงวัยนั้นถ้าไม่มีคนจูงให้ดี ก็จะเหมือนหลุดไปเลย เขาจะคิดว่าสิ่งที่เขาคิดมันถูกต้องแล้ว เพราะเขาไม่เห็นภาพในอนาคต แล้วตอนที่เอนท์ตอนนั้น เพื่อนอ่านหนังสือกันล่วงหน้า 2 ปี เขาเริ่มฟิตกันตั้งแต่ ม.5 ส่วนผมอ่านตอนเทอมสุดท้ายของ ม.6 ตอนนั้นก็รู้ว่าคงไม่ทัน แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแหละ แต่พอผมโตขึ้นมาแล้วมองย้อนกลับไป พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงๆ เรากลับรู้สึกผิด ก็เลยทำให้ตอนมหา’ลัยผมกลับมาตั้งใจเรียนอีกครั้ง แล้วผมก็จบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2
ตอนนั้นที่รู้สึกผิดนี่คือวันที่ทราบผลสอบหรือวันที่เข้าเรียนคะ
ตอนที่เข้าไปเรียนแล้วครับ เป็นวันที่ไปจ่ายค่าเทอม วันที่ผมเห็นใบเสร็จค่าเทอมแล้วรู้ว่าค่าเทอมเรามันเท่าไหร่ ก็นั่งคำนวณเลยว่าทั้งหมดต้องเสียเท่าไหร่ ไหนจะค่ากินค่าอยู่ผมอีก ภาพ 3 ปีสมัย ม.ปลาย มันตีย้อนกลับมาหมดเลย ทำให้ผมกลับมาตั้งใจเรียนอีกครั้งหนึ่ง ผมตั้งใจเรียนจริงๆ ฟิตอ่านหนังสือสอบมาก ผมอ่านหนังสือ ทำรายงาน เป็น 4 ปีที่ตั้งใจเรียน ถ้าสามารถชดเชยอะไรกับสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไป ก็จะทำให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองสามารถจะทำได้
แล้วมาเข้าวงการได้ยังไงคะ
จริงๆ ผมเข้าวงการมาตั้งแต่ช่วงเด็กๆ แล้วครับ หมายถึงว่ามีไปถ่ายโฆษณาบ้าง แคสท์งานบ้าง ตั้งแต่อยู่ที่สระบุรีเลยครับ โฆษณาชิ้นแรกของผมน่าจะเป็นตอนผมอายุ 14 แต่ว่ามามีผลงานละครชิ้นแรกคือตอนอายุ 20 ช่วงประมาณ ปี 3 – 4 แต่ไม่ใช่กับทางเอ็กแซ็กท์นะครับ ผมเพิ่งมาเข้าที่นี่หลังจากที่เรียนจบแล้ว พอผมเรียนจบผมก็ได้งานสจ๊วตพอดีด้วย จะคาบเกี่ยวใกล้ๆ กันครับ
ตอนนั้นที่ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยมา ถึงแม้ว่าจะได้เกียรตินิยมแต่ผมรู้สึกว่าความรู้ภาษาอังกฤษของผมยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมก็เลยพยายามคิดว่าถ้าผมไม่ได้ทำอาชีพนักแสดง ผมจะทำอาชีพอะไรที่ทำแล้วรวย ทำแล้วที่บ้านจะมีเงินเก็บเลย ถ้าจบปริญญาตรีมาเป็นพนักงานออฟฟิศ ต่อให้เรียนดีแค่ไหนก็ได้เงินเดือนไม่เกิน 25,000 – 30,000 บาท ผมก็เลยตัดสินใจเอาเงินเก็บงวดสุดท้ายไปลงเรียนภาษาอังกฤษ ตอนนั้นมีเงินที่ได้จากการทำงานเก็บเงินต่างๆ อยู่ประมาณ 60,000 บาท เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ผมไม่ได้คิดเลยว่าถ้าหมดแล้วจะหาเงินยังไงต่อไป ผมจ่ายค่าเรียนไปทั้งหมด 60,000 เลย ที่เหลือค่อยไปตายเอาดาบหน้า หลังจากนั้นผมก็เรียนภาษาอังกฤษไปด้วย แล้วก็ขายของที่ตลาดนัดไปด้วย
ผมขายเฟรนฟรายทอดกับมันฝรั่งทอดราดชีสที่ตลาดนัดรถไฟรัชดาครับ วันไหนขายดีมันก็ดี วันไหนไม่ดีก็คือขายไม่ได้เลย แล้วผมก็วิ่งขายที่อื่นด้วย สมตติว่าตอนแรกผมขายที่ตลาดนัดรถไฟรัชดาเลิกเที่ยงคืน กลับมาเตรียมของถึงตีสี่ นอนชั่วโมงเดียว ตื่นตีห้าขับรถออกไปขายตลาดอื่นยาวถึงสามทุ่มของอีกวัน ผมขายอยู่เดือนหนึ่ง ด้วยความที่อยากได้เงินเลยขายหนักมาก ขายจนเป็นไข้หวัดใหญ่
จากนั้นเลยพักไม่ขาย ตอนนั้นผมอยากได้เงินเยอะๆ อยากได้เงินจนลืมดูแลตัวเอง ลืมคิดไปว่านี่มันคนไม่ใช่หุ่นยนต์ ผมก็เลยเลิกขายเลย แล้วผมก็มาคิดว่านี่ผมทำอะไรอยู่ ทำไมผมถึงไม่ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่นั่นเป็นเงินเก็บงวดสุดท้ายของผม จากนั้นผมก็เลยเรียนอย่างเดียว แล้วผมก็สอบได้สจ๊วตพอดี พอผมเข้าสายการบินได้ บังเอิญได้มาแคสท์ที่ช่อง one ในโปรเจ็กต์รักฝุ่นตลบ จังหวะมันเหลื่อมกัน ผมเลยทำ 2 อาชีพนี้ควบคู่กันมาประมาณปีนึง ผมเอาวันหยุดที่ไม่ได้บินไปถ่ายละครครับ
ประสบการณ์อาชีพสจ๊วตสอนอะไรบ้างคะ
ถือว่าเป็นอาชีพรายได้ดีเลยนะครับสำหรับเด็กจบใหม่ แต่อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ไม่ได้ทำแค่ยิ้มสวยหรือเซอร์วิสอย่างเดียว คือเราต้องเรียน First aid ต้องทำ CPR เป็น ต้องดับไฟเป็น ต้องล้างห้องน้ำ ต้องทำทุกอย่าง มันเหนื่อยมากครับ แต่เพื่อแลกกับเงินที่ผมรู้สึกว่าสำหรับเด็กจบปริญญาตรีแล้วได้เงินเดือนขนาดนี้ก็โอเค ผมคิดไม่ออกว่าจะมีอาชีพอะไรให้ค่าตอบแทนเยอะเท่านี้อีก ก็ถือว่าคุ้มมากครับ
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือผมได้รู้ว่าผู้คนมีหลายแบบ คนหนึ่งล้านคนโตมาไม่เหมือนกันเลย สิ่งที่เขาปฏิบัติกับเรา แล้วเราปฏิบัติกับเขามันก็ไม่เหมือนกัน ทำให้เราได้ฝึกความอดทนด้วยครับ บางคนเราทรีตเขานิดเดียวเขาก็ยิ้ม ก็แฮปปี้แล้ว แต่บางคนคือ ผมทรีตขนาดนี้พี่ยังไม่โอเคอีกเหรอ ณ ตอนนั้นผมคิดแบบนั้นนะครับ
อย่างมีผู้โดยสารคนหนึ่ง เขายังเป็นผู้หญิงวัยรุ่นเหมือนเป็นนักศึกษาอยู่เลย เขาเดินมาวางกระเป๋า ไม่พูดเลยสักคำ แล้วก็เดินเข้าที่นั่ง เพื่อให้ผมยกกระเป๋าให้ โมเมนต์นั้นผมรู้สึกว่าผมเป็นพนักงานต้อนรับ ผมไม่ใช่คนใช้ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีน้ำใจนะครับ แต่ตามกฎการบินพลเรือน สัมภาระที่ผู้โดยสารนำขึ้นเครื่องทุกชิ้นเป็นความรับผิดชอบของผู้โดยสาร
สำหรับคนที่ตัวเล็ก คนชรา หรือเด็กที่ทำไม่ถึง ทำไม่ได้ เราก็ยินดีช่วยอย่างเต็มที่ ลองคิดดู สมมติว่าในไฟลท์นึงมีผู้โดยสารประมาณ 180 คน แล้วมีพนักงานต้อนรับ 4 คนบนเครื่อง ก็จะต้องยกกระเป๋าคนละ 45 ใบต่อเที่ยวบิน แล้วถ้าวันนั้นผมบิน 4 เที่ยว เท่ากับว่าวันนึงผมต้องยกกระเป๋าประมาณเกือบ 200 ใบ ขึ้นลงทุกวัน สภาพร่างกายผมก็จะแย่ ดังนั้นเราต้องเซฟร่างกายเราเพื่อทำอย่างอื่นด้วย เราไม่ได้มาเป็นเพื่อยกกระเป๋าอย่างเดียว เลยอยากให้เข้าใจพนักงานตอนรับบนเครื่องบินด้วยครับ
คืออาชีพนี้เราเป็นการทำงานกับคน คนใหม่ นิสัยก็ใหม่ บางทีนอกจากคน เวลาไปค้างโรงแรมที่ต่างจังหวัดแล้วเจอผีอะไรอย่างนี้ก็ยังมีครับ
ที่โรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่ง ผมไปค้างคืนกับรูมเมท คือเป็นเตียงแยกกัน แต่พอผมสะลึมสะลือตื่นนอนมาประมาณตี 2 ผมก็เห็นว่าผ้าห่มตัวเองมันยวบลงไปเลย ความรู้สึกในใจผมคือคิดเลยว่า เอาแล้ว โดนแล้ว โดนแน่ๆ แล้วก็ใช่เลย ผมเห็นเป็นเงาสีดำๆ เป็นผู้ชายมานั่งทับเรา แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะใส่ เขาอยู่สักพักใหญ่เลย ผมก็เลยสวดมนต์ แต่เขาก็ไม่ไปครับ พอเจอแบบนี้ผมก็เลยด่าแล้วก็สาปแช่ง เขาถึงยอมไป
เขาไปแล้วก็กลับมาใหม่อีก คราวนี้ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมเลยไปปลุกรูมเมทแล้วไปเล่าให้รูมเมทฟัง แต่รูมเมทกลัวผียิ่งกว่าผมอีก ซึ่งตอนนั้นผมเหนื่อยมากแล้ว ผมก็เลยหลับตาย แต่รูมเมทผมนอนต่อไม่หลับเลย
อีกที่หนึ่งเคยนอนโรงแรมเก่าแก่เหมือนกัน โรงแรมจะตกแต่งสไตล์ล้านนา ทุกอย่างเป็นล้านนาหมดเลย พอเดินเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังผีเลยครับ แต่รู้สึกเรียลกว่า น่ากลัวกว่าในละคร ผมเคยเจอแบบ ลิฟต์เปิดเองในชั้นที่ไม่มีคนอยู่ เป็นชั้นเก็บของ แบบมืดทั้งชั้นเลย ทั้งที่ผมกดลิฟต์ลงนะครับ แต่ลิฟต์มันขึ้นไปข้างบนไปเปิดเองเลย
แล้วอะไรที่ทำให้ตัดสินใจที่จะเลือกทำวงการบันเทิงอย่างเต็มตัวคะ
เป็นความฝันตั้งแต่เด็กของผมอยู่แล้วด้วยว่าอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นนักแสดง แล้วตอนนั้นผู้ใหญ่จะให้ละครผม 2 เรื่อง ซึ่งผมจะต้องถ่าย 7 วัน ทำให้ผมคิดหนัก ผมเลยเข้าไปคุยกับทางผู้ใหญ่เรื่องรายได้ พอเขารับประกันว่าจะได้ไม่น้อยกว่าตอนที่เป็นสจ๊วต ผมเลยตัดสินใจลาออก
ใครว่างานในวงการสบายไม่ใช่เลย มันกลับเหนื่อยว่าตอนเป็นสจ๊วตอีก เพราะในงานแสดงเราไม่ได้ใช้แค่ความจำ แต่ต้องใช้อารมณ์ ต้องทำงานด้วยจิตวิญญาณ มันเป็นงานศิลปะ บางทีผมได้นอนแค่ 2 ชั่วโมง แต่ก็ต้องตื่นมาทำงานต่อ
ในชีวิตจริงก็ไม่ได้มีอะไรที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ สำหรับคนที่คิดว่าการมายืนอยู่ตรงนี้แล้วมันจะดี คือมันก็ดีครับ แต่มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย ยิ่งยืนอยู่สูงมากเท่าไหร่ ราคาที่ต้องจ่ายก็ยิ่งแพง ซึ่งสิ่งที่ต้องจ่ายก็คือเวลานอน ชีวิตส่วนตัว ความเครียด และความรับผิดชอบหลายๆ อย่าง เมื่อเราทำงานมากขึ้น ความรับผิดชอบสูงขึ้น ความเครียดมันก็เยอะขึ้นตาม เวลาส่วนตัวก็หาย บางทีผมทำงานมาได้นอนแค่ 3 ชั่วโมง ผมเหนื่อยแทบตาย พรุ่งนี้ผมไม่อยากไปทำงาน แต่ผมไม่สามารถลาได้ ถ้าผมจะลาจริงๆ คือผมต้องแอดมิดที่โรงพยาบาลอย่างเดียว
ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมั้ยคะ
จากเมื่อก่อนผมใช้ชีวิตเหมือนปกติ มีแฟนคลับประมาณสิบกว่าคน แต่พอหลังจากที่ ‘เมีย 2018’ ออนแอร์ไปแล้ว ไปไหนก็มีคนรู้จัก ก็จะมาทักทาย ขอถ่ายรูปด้วย ช่วงแรกก็เรียกกันแต่บอสวศิน แต่ตอนนี้ก็มีคนรู้จักชื่อผมเยอะมากขึ้น บางคนก็จำได้ว่าเราเล่นเป็นอะไร แต่จำขื่อเรื่องไม่ได้
เป้าหมายต่อไปวางไว้อย่างไรบ้าง
ผมอยากทำงานไปเรื่อยๆ ก่อนครับ ผมมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำตอนนี้ แม้ว่าจะเจออุปสรรคมากมาย แต่ผมก็พร้อม ผมพร้อมที่จะสู้แม้ว่าราคาที่ต้องจ่ายมันจะแพง ผมยอมจ่าย วันนี้ผมยังมีแรง ยังสู้ไหว ยังอดทนไหว ผมก็อยากทำ แต่ว่าผมก็อยากให้การแสดงของผมเป็นงานศิลปะ ออกมาปีละเรื่อง หรืออย่างมากก็สองเรื่อง ผมอยากมีเวลาอยู่บ้าน อยากอยู่กับแม่ พาแม่ไปเที่ยว ผมไม่อยากหาเงินมาแล้วสุดท้ายเขาไม่อยู่ด้วย ผมซื้อบ้านหลังใหญ่ไว้ แต่ผมไม่อยากให้สุดท้ายแล้วผมต้องอยู่คนเดียว ไม่อยากให้สุดท้ายแล้วเราหาเงินมาเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ผมอยากอยู่ในจุดที่ผมหาเงินมาแล้วผมมีเวลาพาแม่ไปเที่ยว
วันที่ผมมีบ้านหลังใหม่ให้แม่ แม่แฮปปี้มากครับ ผมเห็นน้ำตาแห่งความดีใจของเขา ต่อให้บ้านหลังนี้ผมจะเป็นหนี้มาก็ตาม แต่ผมพร้อม ผมเห็นความสุขของเขา ที่เขาลำบากเพื่อเรามาทั้งชีวิต ได้อยู่บ้านหลังนี้ด้วยกัน ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะชอบอยู่ต่างจังหวัดมากกว่า เพราะเขาอยากกลับไปอยู่กับหมา เขาชอบอยู่สระบุรีมากกว่า เป็นบ้านสวน มีหมาวิ่งเล่น อากาศดีกว่า เขาแฮปปี้แบบนั้น แต่แม่อยากมาอยู่กับเรา อยากมาดูแล ผมออกบ้าน 6 โมงเช้า ตี 5 ครึ่งผมก็จะได้ยินเสียงเขาเปิดประตูแล้ว เขาจะลงมาชงกาแฟใส่แก้วเตรียมไว้ให้ แล้วรอส่งผมขึ้นรถออกไปทำงาน นี่แหละครับคือความสุขของผมกับแม่
Text: พิชามญชุ์ เอี่ยมละออ Photo: Sudsapda
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
Exclusive Interview เจบี ผู้ชายครบเครื่องที่เกิดมาเพื่อเป็นไอดอล
แจ็คสัน หวัง จากนักกีฬาทีมชาติ-ศิลปิน สู่เส้นทางผู้บริหารที่นำพา TEAM WANG ไปไกลระดับโลก
Exclusive Interview แทมิน SHINee กับ เส้นทางไอดอลที่ทำให้เรียนรู้และเติบโตทุกขณะ