เชื่อว่าหลายๆ คนคงเติบโตมากับการ์ตูนดิสนีย์ที่มีมาตั้งแต่สมัยยังเป็นวิดีโอเทป (ใครทันนี่บ่งบอกความแก่เลยนะ) ซึ่งหลายๆ เรื่องก็สร้างความประทับใจจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน จะเรียกว่าอยู่เหนือกาลเวลาเลยก็ได้ เพราะไม่ว่ายุคไหน การ์ตูนดิสนีย์ ก็ยังสามารถสร้างความประทับใจให้ได้เสมอ ซึ่งก็ทำให้ดิสนีย์หยิบยกการ์ตูนหลายๆ เรื่องมาปัดฝุ่นสร้างเป็นภาพยนตร์ Disney live action หรือหนังดิสนีย์เวอร์ชั่นคนแสดง โดยที่ผ่านมาก็มีหลายเรื่องที่ถูกหยิบยกมา เช่น ซินเดอเรลล่า บิวตี้แอนด์เดอะบีสต์ เมาคลีแอนด์เดอะจังเกิลบุ๊ค หรือดัมโบ้ที่เพิ่งจะฉายให้ได้ชมกันเมื่อต้นปี 2019 ซึ่งปีในปีนี้ก็ยังมี Disney live action อีกหลายเรื่องเตรียมตบเท้าลงโรงให้ได้ชมกัน
Aladdin
เริ่มกันที่เรื่องแรกจากตระกูล Disney Princess ที่มีเพลงประกอบคุ้นหูอย่าง “A Whole New World” กับภาพยนตร์ Disney live action: Aladdin ที่กำลังจะฉายในประเทศไทย วันที่ 23 พฤษภาคมนี้แล้ว Aladdin เริ่มฉายครั้งแรกในปี 1992 เป็นเรื่องราวที่อิงมาจากนิทานอาหรับในหนังสือ One Thousand and One Nights ซึ่งทำรายได้ทั่วโลกได้สูงถึง 504 ดอลล่าร์สหรัฐ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปี 1992 รวมถึงกวาดรางวัลจากหลายเวที โดยเฉพาะรางวัล Grammy Award ในสาขาเพลงแห่งปี ซึ่งนั่นก็ทำให้เพลง “A Whole New World” กลายเป็นเพลงดังติดหูที่ไม่ว่าใครๆ ก็รู้จัก
กลับมาที่ Aladdin เวอร์ชั่น 2019 ที่งานนี้ได้ นาโอมิ สกอตต์ (Naomi Scott) หนึ่งในนางฟ้าชาร์ลีเวอร์ชั่น 2019 มารับบทเจ้าหญิงจัสมิน (Princess Jasmine) ในเวอร์ชั่นใหม่ ที่จะมีความเฟมินิสต์มากยิ่งขึ้น มีความคิดเป็นของตัวเองและกล้าตัดสินใจมากขึ้น ส่วนทางฝั่งอะลาดิน (Aladdin) ก็ได้ มีนา มาซูด (Mena Massoud) นักแสดงชาวแคนาดาที่ฝากผลงานไว้ในซีรีย์ต่างๆมากมาย อาทิเช่น Open Heart มารับบทโจรหนุ่มทรงเสน่ห์ พ่วงด้วยนักแสดงมากความสามารถอย่าง วิลล์ สมิธ (Will Smith) กับบท จินนี่ (Genie) ยักษ์สีฟ้าจากตะเกียงวิเศษ
ซึ่งความน่าสนใจของ Aladdin Live action ก็คงจะเป็นเทคนิค CG ตระการตาที่จะเนรมิตดินแดนอาหรับให้เสมือนจริงมากที่สุด แฟนๆ เตรียมรอชมฉากไฮไลท์อย่างการท่องเมืองบนพรมวิเศษได้เลย รับรองว่าอลังการดาวล้านดวงแน่นอน
อีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ของภาพยนตร์ อะลาดิน (Aladdin) ก็คือเพลงประกอบ ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ก็ได้ เซน มาลิก (Zayn Malik) อดีตสมาชิกวงดนตรีชื่อดังของอังกฤษอย่าง One direction และ จาไวยา วอร์ด (Zhavia Ward) นักร้องสาวชาวอเมริกันวัย 18 ปี ที่เคยฝากพลงานเพลงประกอบภาพยนตร์มาแล้ว กับการร่วมฟีตเจอร์ริ่งในเพลง Welcome to the party ประกอบภาพยนตร์ Deadpool 2 มาถ่ายทอดบทเพลงในเวอร์ชั่นที่แตกต่างออกไป งานนี้แฟนๆ คอมเม้นท์กันกระจายว่าอยากจะให้หนุ่ม Zayn มารับบทอะลาดิน (Aladdin) ซะเลย ก็เล่นหล่อคมเข้มบาดใจสาวๆ ซะขนาดนี้
The Lion King
ต่อกันที่เรื่องราวเส้นทางการเป็นเจ้าป่าของสิงโตน้อย ซิมบ้า (Simba) ที่เคยโด่งดังในปี 1994 โดยสามารถทำลายสถิติหนังทำเงินของดิสนีย์ที่ อะลาดิน (Aladdin) เคยทำไว้ในปี 1992 อีกด้วย อีกทั้งยังการันตีด้วยรางวัลออสการ์ 2 สาขา คือ สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งก็คือเพลง Can You Feel the Love Tonight นั่นเอง
โดยในเวอร์ชั่น Live action นี้ถึงจะไม่ได้ใช้คนแสดงแต่บอกเลยว่าเหล่าคนดังตบเท้ากันมาพากย์เสียงให้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Seth Rogen, Donald Glover หรือ Keegan-Michael Key แต่งานนี้ไฮไลท์อยู่ที่บท มูฟาซา (Mufasa) ที่ได้ James Earl Jones ตำนานดาร์ทเวเดอร์ ผู้เคยพากย์เสียง มูฟาซา (Mufasa) ใน The Lion King เวอร์ชั่นปี 1994 มาแล้ว งานนี้ใครที่เป็นแฟน The Lion King มาตั้งแต่ยุคก่อนคงจะได้รู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยกันแน่ๆ นอกจาก James Earl Jones แล้ว ยังได้คุณแม่บี Beyoncé มาพากย์เสียงให้กับตัวละคร นาลา (Nala) งานนี้ได้เห็นสิงโตสาวอย่าง นาลา (Nala) โชว์พลังเสียงระดับเทพแน่นอน
Maleficent: Mistress of Evil
ปิดท้ายกันที่หนังภาคต่อจาก Disney Live action สุดโด่งดังที่นำเสนอเรื่องราวในมุมที่ไม่เคยนำเสนอในเวอร์ชั่นอนิเมชั่นมาก่อน นั่นก็คือ มาเลฟิเซนต์ (Maleficent) จากเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา ที่เคยสร้างความประทับใจในเวอร์ชั่น Live action เมื่อปี 2014 กับเรื่องราวในมุมมองของตัวร้ายอย่างมาเลฟิเซนต์ (Maleficent) ที่สาปให้เจ้าหญิงต้องคำสาป จากภาคต่อของเรื่องราวความสัมพันธ์ของแม่ลูก และความหมายที่แท้จริงของ “True Love” รักใดในโลกนี้ก็ไม่จริงแท้ เท่ารักของแม่ที่มีให้ลูก
โดยปีนี้พบการกลับมาอีกครั้งของ Angelina Jolie กลับมารับบท มาเลฟิเซนต์ (Maleficent) อีกครั้ง ซึ่งเรื่องราวในภาคนี้จะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนระหว่าง มาเลฟิเซนต์ (Maleficent) กับราชินีองค์ใหม่ พวกเขาได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อต่อสู้ และปกป้องป่าลึกลับที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแสนวิเศษ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดฉายวันที่ 18 ตุลาคม 2019 (ในสหรัฐอเมริกา) และที่พิเศษไปกว่าเดิมคือในภาค 2 นี้จะได้พบกับตัวละครใหม่อย่าง มิเชล ไฟเฟอร์ (Michelle Pfeiffer) ที่หลายๆ คนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากบท Janet Van Dyne ใน Ant-Man and the Wasp ที่รับบทเป็น ราชินีอินกริธ (Queen Ingrith) และ เจ้าชายฟิลลิป (Prince Phillip) คนใหม่ที่รับบทโดย แฮร์ริส แดร์ริคสัน (Harris Dickinson) นักแสดงชาวอังกฤษที่มีความสามารถทั้งด้านการแสดงและการกำกับ ถึงจะเป็นเจ้าชายคนใหม่แต่แน่นอนว่าบท เจ้าหญิงออโรร่า (Aurora Princess) ยังคงนำแสดงโดย แอล แฟนนิ่ง (Elle Fanning) เช่นเดิม
ขึ้นชื่อว่าเป็นฝีมือ Disney งานนี้รับประกันความตระการตา เตรียมย้อนเวลาสู่ช่วงวัยเด็กที่แสนอบอุ่นกับเหล่าหนัง Disney live action ที่จะทำให้คุณหวนนึกถึงความทรงจำวัยเด็กระหว่างคุณกับเหล่าตัวการ์ตูนดิสนีย์ในเวอร์ชั่นที่ตื่นตาตื่นใจกว่าเดิม
Text: Seasons
Photo: Disney
ติดตามเรื่องราวบันเทิงฮอลลีวูดเพิ่มเติมได้ที่นี่
สำรวจจักรวาลมาร์เวล! ส่อง 5 หนังใหม่ Marvel จ่อคิวลงจอภายในปี 2021
คนดังแข่งกันแปลก! Met Gala 2019 มาในธีม Camp : Note of Fashion Camp…คืออะไร?
รียูเนียนสาวๆ Charlie’s Angels ผ่านไปเกือบ 20 ปียังซี้เหมือนเดิม
ความรักยังไม่ตาย! เมแกน ฟ็อกซ์ ถอนฟ้องหย่าสามี เหตุทนคิดถึงกันไม่ไหว
เทย์เลอร์ สวิฟท์ ทาสแมวที่แท้ทรู! ยก “แมว” ให้เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต