โรงแรมดิ แอทธินี

4 ห้องอาหารใน โรงแรมดิ แอทธินี ฯ ทำไมคนดัง – ดารา ชอบไปเช็คอินกินที่นี่!? 

Alternative Textaccount_circle
event
โรงแรมดิ แอทธินี
โรงแรมดิ แอทธินี

ส่องไอจีดาราแล้วเห็นไปเช็คอินกันบ่อยมากกก หรือแม้กระทั่งแกงค์ตุ๊ดซี่แอนด์เดอะเฟค ก็ใช้เป็นสถานที่ถ่ายแฟชั่น สุดฯ เลยอยากรู้ว่าห้องอาหารใน โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก มีอะไรดี ทำไมดารา-คนดัง จึงชอบมากันซะจริง!? …ถ้ารู้สาเหตุว่าทำไมดีจริง เราจะได้ชวนเพื่อนๆ มามั่งเนอะ #เรื่องกินฟินที่สุดฯ 

โรงแรมนี้ มี 4 ห้องอาหารที่เพิ่งรีโนเวตใหม่ทั้งหมด ตั้งใจให้เป็นทั้งประสบการณ์ใหม่ๆ สำหรับนักชิมชาวต่างชาติ รวมถึงตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยที่ชอบอาหารอร่อยหลากหลาย แต่ไม่ต้องเดินสายไปกินหลายๆ ที่ เลยรวมความพรีเมี่ยมทั้ง 4 รูปแบบของ  อาหารไทย จีน ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส มาให้แบบครบจบในที่เดียวบริเวณชั้น 3 ของ โรงแรมดิ แอทธินี ฯ

The Allium Bangkok (ดิ อัลเลียม แบงค็อก)

ชื่อ ‘อัลเลียม’ มาจากชื่อของพืชดอกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมของเครื่องเทศนานาชนิด รวมทั้ง หอมใหญ่ กระเทียม ต้นหอม หอมแดง และต้นหอมจีน (กุยช่าย) ห้องอาหารอัลเลียม นำเสนออาหารชั้นสูงจากฝั่งตะวันตก โดยมีกลิ่นอายของความร่วมสมัย ภายใต้การควบคุมของ ร็อกซาน แลงจ์ เชฟสาวจากเนเธอร์แลนด์ หนึ่งในเชฟระดับหัวหน้าห้องอาหารที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งของโรงแรมในเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล 

เชฟร็อกซาน คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากฝั่งยุโรป มาผสมผสานกับผลิตผลเกษตรอินทรีย์ที่ผลิตในประเทศ และยังใช้พืชผลในสวนสมุนไพรซี่งปลูกเองภายในโรงแรมอีกด้วย ภายในห้องอาหาร มีบริเวณครัวที่เปิดโล่ง ทำให้สามารถมองเห็นบรรยากาศการปรุงอาหารของเชฟได้ในทุกขั้นตอน อีกหนึ่งสีสันคือการบริการแบบ “อร่อยตามใจเชฟ” หรือ Chef Table สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานอาหารแบบเป็นกันเอง ซึ่งสามารถซักถามพูดคุยกับเชฟได้ตลอดมื้ออาหาร พนักงานของห้องอาหารได้รับการฝึกฝนให้สามารถตอบทุกคำถามในด้านวิธีการปรุงอาหาร วัตถุดิบ และเล่าเรื่องราวความเป็นมาของอาหารแต่ละจานได้อย่างสนุกสนาน นอกจากนั้น ยังมีซอมเมอลิเยร์ผู้เชี่ยวชาญที่คอยบริการให้คำแนะนำและคัดเลือกไวน์ที่เหมาะสมกับทั้งมื้ออาหาร หรือเพิ่มรสชาติให้แต่ละเมนู

ตกแต่งโดยเน้นโทนสีขาวและแดงเข้ม มีผนังกระจกใสตลอดแนวด้านหนึ่งของห้องอาหาร และมีบาร์ยาวพร้อมเก้าอี้ทรงสูงแบบแอนทีคอยู่อีกด้านหนึ่ง บรรยากาศของห้องอาหารเหมาะกับทั้งการรับประทานอาหารพร้อมเจรจาธุรกิจ งานเลี้ยงสังสรรค์ของบริษัทและองค์กรต่าง ๆ และการรับประทานอาหารกับคนใกล้ชิดหรือเพื่อนฝูง

 

สุดฯ recommend

Chiang mai tomato with gazpacho sorbet and red meat radish
Calamansi with vanilla and sour cream

รู้ก่อนโทรจอง

  • ห้องอาหารหลักมี 74 ที่นั่ง บริเวณบาร์ 8 ที่นั่ง และบริเวณชั้นบนสามารถจัดเป็นกรุ๊ปส่วนตัวได้ 38 ที่นั่ง 
  • สุภาพ งดเว้นการสวมใส่กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ
  • เปิดเพลงสไตล์โมเดิร์นแจ๊ส และนักดนตรีรับเชิญในแต่ละเดือน
  • เวลาเปิดให้บริการ วันอังคาร – วันเสาร์ (ปิดวันอาทิตย์ และวันจันทร์) มื้อค่ำ 18:00 – 22:30 น. (สั่งอาหารได้ถึงเวลา 22:00 น.)

 

Kintsugi Bangkok by Jeff Ramsey (คินสุกิ แบงค็อก บาย เจฟ แรมซีย์)  

อยากลองรสชาติอาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกิ (ต้นตำรับอาหารชุดสมัยใหม่) ต้องมาที่นี่ ดูแลโดยเชฟหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน (ที่ไม่ได้เป็นเครือญาติกับเชฟขาโหด กอร์ดอน แรมซีย์ แต่อย่างใด … จุดนี้บอกให้เพราะร้านเล่าว่ามีคนถามมาเยอะ) 

“คินสุกิ” มีความหมายว่า “เชื่อมต่อด้วยทอง” เป็นคำที่อ้างอิงถึงศิลปะการซ่อมแซมเครื่องเคลือบด้วยแล็กเกอร์สีทอง ซึ่งไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมเพื่อปกปิดรอยแตก แต่เป็นการทำให้เครื่องเคลือบนั้นโดดเด่นขึ้นมาด้วยสีทอง เครื่องเคลือบที่ผ่านกระบวนการคินสุกินี้ ได้รับการยกย่องว่ามีความสวยงาม แม้ว่าจะมีรอยต่อ ซึ่งเชฟแรมซีย์ได้นำความหมายของคินสุกิมาใช้เปรียบเปรยกับ ‘ไคเซกิ’ ในแบบฉบับของเขา

ออกแบบและตกแต่ง โดยนำเอาความทันสมัยของห้องอาหารญี่ปุ่นสมัยใหม่ มาผสมผสานกับสไตล์มินิมัล ใช้เฟอร์นิเจอร์แนวรัสติค เผยความสวยงามตามธรรมชาติของวัสดุ โคมไฟแขวนที่เรียงราย และเส้นตรงที่ชัดเจนบนฉากกึ่งโปร่งใส เป็นการออกแบบที่นำความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมมาสู่โลกสมัยใหม่ได้แยบยล  ด้านหนึ่งของห้องจะเป็นบริเวณเตรียมอาหารและเคาน์เตอร์พร้อมที่นั่ง นอกจากนั้นยังมีที่นั่งในห้องอาหารหลักและห้องส่วนตัวอีก 2 ห้อง

 

เชฟแรมซีย์กล่าวว่า ไคเซกิ คือ ต้นตำรับของเมนูอาหารชุด หรือเทสติ้งเมนู ซึ่งห้องอาหารทั่วโลกต่างนำเสนออาหารในรูปแบบนี้ และเขามั่นหมายจะรวมกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เขาเรียนรู้มารวมไว้ที่ไคเซกิ และเนื่องจากเชฟแรมซีย์และภริยาชาวญี่ปุ่นของเขาอาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น เมนูของคินสุกิจึงเน้นวัตถุดิบที่มาจากแถบนี้โดยเฉพาะ และนำมาผสมผสานกับวัตถุดิบในประเทศไทย ปรัชญาของคินสุกิ เป็นที่มาของแนวคิดหลักของห้องอาหาร โดยเน้นความสำคัญของการเชื่อมโยงวัฒนธรรมผ่านทางอาหาร

 

สุดฯ recommend

Nagano Walnut Soba
Seasonal Fruits

 

รู้ก่อนโทรจอง 

  • แต่งกายสุภาพ งดเว้นการสวมใส่กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ
  • ภายในร้านเปิดเพลงบรรเลงของญี่ปุ่น และเล้าจน์มิวสิค
  • เวลาเปิดให้บริการ วันพุธ – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ และวันอังคาร มื้อค่ำ 18:00 – 22:30 น. (สั่งอาหารได้ถึงเวลา 22:00 น.)

 

The House of Smooth Curry (เดอะ เฮาส์ ออฟ สมูท เคอร์รี่)   

วันรวมญาติ หรืออยากกินอาหารสูตรจากต้นตำรับชาววังมาที่นี่ไม่มีพลาด จุดเด่นคือตัวเลือกอันหลากหลายของแกงไทยประเภทต่าง ๆ ที่เป็นรสชาติดั้งเดิมจากทั่วประเทศ และเนื่องจากโรงแรมฯ มีนโยบายสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ผัก ข้าว ผลไม้ เครื่องเทศ และสมุนไพร ที่นำมาปรุงอาหาร จึงคัดมาจากสวนของเกษตรกรไทยที่ทำการเพาะปลูกโดยวิถีเกษตรอินทรีย์ และห้องอาหารเองนั้น ก็มีสวนครัวที่ปลูกเองภายในโรงแรมฯ อีกด้วย

จุดเริ่มต้นจากความเป็นมรดกราชวงศ์ของ โรงแรมดิ แอทธินี ซึ่งเดิมเป็นวังคันธวาส ที่ประทับของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ได้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในการตกแต่งห้องอาหาร เดอะ เฮาส์ ออฟ สมูท เคอร์รี่ โดยจำลองห้องที่ประทับส่วนพระองค์ ตกแต่งให้ทันสมัยด้วยสีสันและลวดลายที่สดใส ในสไตล์ของศิลปะยุค ค.ศ. 1920-1930 ผสมผสานอย่างวิจิตรบรรจงกับงานศิลปะและผ้าไทยที่ผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความรักในงานศิลปะหัตถกรรมไทยของเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ผู้มาเยือนสามารถชมทิวทัศน์ของสวนบนชั้น 3 ของโรงแรมผ่านผนังกระจกใส หรือเลือกนั่งบริเวณระเบียงด้านนอกได้ด้วย

เชฟมนตรี จิรฐิติกาลกิจ ผู้มีประสบการณ์เกือบ 20 ปี ในการเป็นเชฟอาหารไทยทั้งในประเทศและทั่วโลก ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องอาหารทั้งหมด ซึ่งเชฟกล่าวว่า “เคล็ดลับของการปรุงอาหารไทยนั้น อยู่ที่การคัดเลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ และนำมาปรุงด้วยความรัก” 

สุดฯ recommend

ปลาเก๋าซอสมะขาม
แสร้งว่ากุ้ง ปลาดุกฟู

รู้ก่อนโทรจอง 

  • ห้องอาหารหลักมี 38 ที่นั่ง ห้องส่วนตัวมี 12 ที่นั่ง และบริเวณระเบียงด้านนอกรับลม 24 ที่นั่ง
  • แต่งกายสุภาพ 
  • เปิดเพลงไทยเดิม และมีการแสดงขิมทุกวันเสาร์-อาทิตย์
  • เวลาเปิดให้บริการ (ทุกวัน) มื้อกลางวัน 12:00 – 14:30 น. (สั่งอาหารได้ถึงเวลา 14:00 น.) มื้อค่ำ 18:00 – 22:30 น. (สั่งอาหารได้ถึงเวลา 22:00 น.)

 

 

The Silk Road (เดอะ ซิลค์โร้ด)   

อยากชิมรสชาติอาหารจีนกวางตุ้งสไตล์คลาสสิก แต่หน้าตาโมเดิร์นต้องมาที่นี่ เพราะเป็นฝีมือของเชฟ เชง กัม ซิง หรือ ‘เชฟกั๊ม’ ตำนานยืนหนึ่งไม่เป็นรองใครในยุทธจักรอาหารจีน เมนูส่วนใหญ่เหมาะสำหรับรับประทานร่วมกัน ในสไตล์การนั่งร่วมโต๊ะแบบครอบครัวจีน พร้อมเสิร์ฟชาจีนในรูปแบบดั้งเดิม และมีเมนูไวน์จากทั่วโลกไว้เลือกได้ตามชอบ นอกจากนั้น ยังให้บริการอาหารชุดมื้อกลางวันที่เป็น ติ่มซำ ข้าว ซุป และชาอีกด้วย

บรรยากาศการตกแต่ง เป็นแนวย้อนไปในอดีต โดยใช้ศิลปะแบบอาร์ต เดโค ที่ฮิตหนักมากในกรุงเซี่ยงไฮ้ช่วงปี ค.ศ. 1920 บานประตูและฝาตู้ใช้ไม้สีม่วงเข้ม กรุกระจกใสที่มีลวดลายสีทอง พื้นโมเสคหินอ่อน และการให้แสงสไตล์เรโทร ทำให้ห้องอาหารดูโอ่อ่า แต่คงบรรยากาศที่เป็นกันเอง เหมาะมากที่จะพาครอบครัวมาฉลองในโอกาสพิเศษ 

สุดฯ recommend

เนื้อซี่โครงวัวผัดซอสกุงเปา(สไตล์เสฉวน)

รู้ก่อนโทรจอง 

  • ห้องอาหารหลักมี 42 ที่นั่ง และห้องส่วนตัว 5 ห้องสามารถรับรองได้รวม 48 ที่นั่ง
  • แต่งกายสุภาพ 
  • เปิดเพลงบรรเลงเครื่องดนตรีจีน
  • เวลาเปิดให้บริการ (ทุกวัน) มื้อกลางวัน 12:00 – 14:30 น. (สั่งอาหารได้ถึงเวลา 14:00 น.) มื้อค่ำ 18:00 – 22:30 น. (สั่งอาหารได้ถึงเวลา 22:00 น.)

สรุปคือ มีอาหารอร่อยให้เลือกหลากหลาย มีมุมถ่ายรูปสวยๆ และมีมุมสงบไว้เพื่อการมาสังสรรค์เป็นการส่วนตัวในทุกโซนแบบนี้นี่เอง ที่นี่ถึงโดนใจใครต่อใครในช่วงนี้ อยากไปลองชิมและชิลดูบ้าง สามารถโทรจองที่ 0-2650-8800 หรือ [email protected]

 

 

สายกิน อ่านรีวิวร้านอาหารที่ควรไปลองชิมได้ที่นี่

PIPPA Restaurant ร้านอาหารและรูฟท็อปบาร์สุดชิคแห่งเมืองพัทยา อาหารดี เครื่องดื่มโดนใจ
Medici Kitchen & Bar อาหารอร่อย-ดนตรีดี ที่ Hotel Muse Bangkok
เกษรวิลเลจส่งมอบประสบการณ์กินดื่มเหนือระดับ ใน Eat At Gaysorn ร้อยเรียงเรื่องราวความอร่อยผ่าน

 

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up