ถ้าพูดถึงแร็พเปอร์เบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย ก็ต้องนึกถึงไทเทเนียม ทั้งความเก๋า ความสามารถ และประสบการณ์ที่คว่ำหวอดในวงการฮิปฮอบ มานานจึงได้รับฉายา Pioneer Hiphop ของไทย กว่า 18 ปีที่สมาชิกทั้ง 3 คน ขัน-ขันเงิน เนื้อนวล เวย์-ปริญญา อินทชัย และเดย์-จำรัส ทัศนละวาด เคียงบ่าเคียงไหล่ ฝ่าอุปสรรค เดินหน้าเข้ามาปลุกกระแสดนตรีฮิปฮอปให้ลุกโชนในวงการเพลงเมืองไทย ณ วันนี้ฝีมือและผลงานได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาคือ “ตัวจริง” # 18 ปีไทเทเนียม
ชีวิตในยุค 90
เดย์ : ผมเป็นคนเชียงใหม่ครับ เรียนอยู่โรงเรียนปริ้นซ์รอแยล ก็โดนไล่ออก ย้ายไปอยู่โรงเรียนหอพระ ซึ่งตัวเองก็เรียนไม่เก่ง เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ซานฟรานซิสโกตอนอายุ 14-15 ปี ซึ่งคุณแม่อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว ต้องบอกว่าการย้ายไปชีวิตอยู่ที่นั่นปรับตัวยากมากครับ ภาษาอังกฤษเราไม่รู้เรื่องเลย เข้าไปเรียนโรงเรียนเดียวกับขัน ซึ่งก่อนหน้านั้นมีคนไทยเรียนแค่ 2 คน ผมเป็นคนที่ 3
ขัน : โชคดีที่มาเจอผม ไม่อย่างนั้นจะการปรับตัวจะยากกว่านี้อีก เราอายุเท่ากัน ผมอยู่ซานฟรานฯ ก่อนเขาอีก ผมมาตั้งแต่อายุ 12 ปี
เดย์ : เขาเป็นคนแนะนำให้ผมรู้จักฮิปฮอป ซึ่งทีแรกผมฟังเพลงเพื่อชีวิตเพลงร็อคมาเลย เห็นเขาทำเพลงก็ถาม เฮ้ย เพลงมันเร้าใจดีว่ะ ซึ่งจริงๆ ฮิปฮอปก็ความเป็นเพื่อชีวิตเหมือนกัน ฟังแล้วรู้สึก พูดตรงไปตรงมาดี Fu_ck You เฮ้ย… กูชอบ ไปๆ มาๆ เฮ้ย… มึงแต่งตัวโอเคว่ะ สมัยนั้นจะใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆกัน ก็แต่งตัวแนวๆ นี้ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน
ขัน : มันแซวผมว่าใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ เดินไม่พันขาเหรอ แต่มันก็ยืมผมใส่นะ และด้วยความที่ผมเป็นดีเจประจำโรงเรียน ดีเจประจำเมืองด้วยตอนนั้น เขาก็จะไปทัวร์ ไปเล่นตามปาร์ตี้กับผมด้วย เราอยู่ในโลกของฮิปฮอปด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน เรียกว่าเขาเป็นเพื่อนคนไทยคนเดียวที่ผมมี จากนั้นก็เริ่มทำเพลงเขียนเพลงด้วยกัน นี่คือจุดเริ่มต้นที่อยากจะเป็นศิลปินนอกจากการเป็นดีเจ เราสองเขียนแรกเพลงแรกในชีวิตด้วยกัน โดยเอากีตาร์มาดีดนั่งเขียนเพลง เริ่มซื้อคีย์บอร์ด เริ่มโปรแกรมทำเพลงด้วยกันตั้งแต่ปี 1992-1993
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้มาเป็นศิลปินในเมืองไทย คือช่วงเรียนเกรด 11 ผมกลับมาเมืองไทย เราเล่นสเก็ตบอร์ด แต่งตัวแปลกๆ ยุคที่เขาเต้นเอ็มซีแฮมเมอร์ ผมก็ไปเต้นโชว์ที่สยาม เป็นเด็กที่กล้าแสดงออก มีโอกาสได้เจอพี่เอื้อง-สาลินี พี่สุกี้ พี่สมเกียรติ พี่บอย โกสิยพงษ์ คนในวงการยุคนั้นก็ได้เห็นแววว่า เออ… ไอ้เด็กกลุ่มผมเนี่ย… มันแปลก มีโน่นนั่นนี่มาโชว์ คือทุกซัมเมอร์ผมมักจะกลับเมืองไทย ขนอุปกรณ์มาจัดปาร์ตี้ พอปี 1994 ได้ไปอยู่กับโซนี่มิวสิค ส่วนโจอี้บอยซึ่งเป็นเพื่อนกันอยู่เบเกอรี่มิวสิค ด้วยความที่เรายังเด็กเรียนอยู่เกรด 11 รู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่ฮิปฮอปแบบที่อยากทำ แต่เรายังไม่เก่งพอที่จะสร้างงานหรือเป็นโปรดิวเซอร์เอง เราก็เลยกลับไปเรียนต่อ
พอปี 1995 จบไฮสคูลเลยคุยกับแม่ว่า ขอกลับเมืองไทยไปลุยอีกสักตั้ง เพราะเรารู้แล้วว่าฮิปฮอปของจริงมันเป็นยังไง ก็มีเข้าไปคุยเรื่องเพลงตามค่าย ส่วนใหญ่ก็อยากให้เราดัดแปลงเป็นป๊อปมากกว่า ผมไม่ชอบเลยเตะฝุ่นอยู่เรื่อยๆ จนถึงจุดที่ว่าเออ… ยอมทำก็ได้วะ เพราะกลัวต้องกลับอเมริกา (หัวเราะ) เลยตัดสินใจทำเพลงกับค่าย เป็นดูโอ ใช้ชื่อวง ขันที ทำเพลงแนวป๊อปตามที่ค่ายต้องการเลย แม้จะยังไม่ถูกใจ แต่เราก็ได้เรียนรู้เรื่องระบบการลงทุนว่าเขาทำกันยังไง อัลบั้มซัคเซสประมาณหนึ่งครับ แต่พอเอาไปรีมิคเป็นสามช่าป๊อปที่มีกระแสในช่วงนั้น กลับขายได้หลายแสนตลับเลย
ตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมยิ่งทำในสิ่งที่ไม่ชอบ กลับยิ่งดัง และยิ่งเราเป็นคนแปลก จึงมีคนสนใจเยอะ เลยได้ออกรายการทีวีโชว์ทุกรายการ ได้เล่นละครบ้างนิดหน่อย ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่ซัคเซสมาก มันก็ผมทำให้ผมสับสนในตัวเองเหมือนกัน
จากตรงนั้นทำให้เรามีรายได้เยอะ ผมเอาไปซื้อเครื่องมือมาทำสตูดิโอเพื่อทำเพลงของตัวเอง ได้ลองทำเพลงของตัวเองครึ่งหนึ่ง ที่เราพอใจมาก และตามใจค่ายครึ่งหนึ่ง แต่ขายได้น้อยกว่าอัลบั้มแรก เราก็เฟลเลย ไม่รู้สึกอยากกลับทำตรงนั้นอีก กระทั่งได้มีโอกาสได้คุยกับแกรมมี่ ผมถามตรงๆว่า ถ้าไม่ให้ฮิปฮอปอย่างที่ชอบ อยากให้ผมทำแบบไหน เขาก็บอกว่าลองทำอีกแบบที่ไม่เคยทำดูสิ จนออกมาเป็นอัลบั้ม ชูวับ ชูบีดู แนวป๊อป ดังสุดๆ ดังมากกว่าที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ผมก็งงอีกว่า อ้าว… ทำไมกูทำเพลงที่ไม่ชอบ ทำไมดังจัง
4 ปีในวงการตั้งแต่ 1996-2000 มันขึ้นๆลงๆ ทำทุกอย่างจนรู้สึกว่า เราเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง มีเครื่องมือ มีความสามารถ และประสบการณ์ที่พอจะทำเพลงของตัวเองได้ จึงค่อยๆเริ่มๆ ก่อร่างสร้างไทเทเนียมแบบไม่เป็นทางการ แต่เรายังไม่มีประสบการณ์เปิดค่ายเองจริงจัง ผมเลยคิดว่าจะไปตั้งต้นที่นิวยอร์ก
ส่วนเวย์ด้วยความที่ฮิปฮอปวงแคบมาก เลยมีโอกาสได้รู้จักกัน ตอนนั้นเขาอายุแค่ 16 ปี และผมกำลังจะย้ายไปแกรมมี่ เวย์ยังไม่เป็นทีนเอจเกรดเอเลย จนกระทั่งเขาได้เป็นศิลปิน ช่วงที่รู้จักกันประมาณปี-2 ปี เราเริ่มทำเพลงในสตูด้วยกันแล้ว และตัวผมเองก็เริ่มเบื่อวงการเลย เลยเล่าให้เวย์ฟังว่า จะย้ายไปนิวยอร์กนะ มีคนสนใจให้ไปเมเนจด้านดนตรี เป็นโปรดิวเซอร์ เวย์บอกว่าไปด้วย เพราะเขาเกิดและโตที่นั่นอยู่แล้ว ที่สำคัญเขาเองอยากทำเพลงแนวเดียวกับเรา เลยไปรวมตัวกันที่นี่โน่น ซึ่งเดย์ก็ย้ายจากซานฟรานฯ ไปอยู่นิวยอร์กพอดี
ร่วมหัวจมท้าย อินนิวยอร์ก
ขัน : ไปถึงก็เริ่มทำเพลงกันเลย ตอนนั้นผมอายุ 23 ปี เวย์ 19 วัยรุ่นไฟแรงมาก คิดเอง ทำเอง ถามว่าชีวิตเป็นยังไง ทั้งสนุกและลำบากมาก แต่เรากลับไม่รู้สึกว่าชีวิตมันรันทน ลำบากขนาดทนไม่ไหว มีแค่มาม่าก็กินแค่นั้น กินแล้วก็ทำงานต่อ ไม่ได้คิดว่า ความลำบากมันเป็นอุปสรรค รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก เดี๋ยวมันจะผ่านมันไป ช่วงที่ผมทำเพลงนั้น เดย์กับเวย์บอกว่า มึงทำงานไป เดี๋ยวเขาสองคนจะออกไปทำงาน เพื่อนำเงินมาซัพพอร์ต เพราะถ้าทุกคนออกไปทำงานกันหมด เพลงจะไม่เดินหน้า มันเหมือนฟันเฟืองเครื่องจักรที่เดินหน้าทำงาน ต่างคนต่างทำหน้าที่ เคยตกงานพร้อมกันทั้งสองคนก็มี เคยจุดหนึ่งที่เราพักอพาร์ทเม้นท์ชั้นใต้ดิน ซึ่งมันไม่ถูกกฎหมาย คนเช่าชั้นบนก็ไปฟ้อง พวกเราเลยโดนไล่ เขาก็ให้เวลาช่วงหนึ่งในการไปหาที่อยู่ใหม่
เวย์ : จำได้ว่าเราต้องหาเงินให้ได้ก้อนหนึ่งภายในระยะกี่วันก็ไม่รู้ ผมจำไม่ได้ เพื่อไปเช่าบ้านใหม่ รู้สึกว่าผมกับเดย์ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง ติดกัน 12 วัน เพื่อจะได้เงินสดไปจ่ายค่าเช่าบ้านใหม่ ช่วงนั้นเงินไม่มีจริงๆ จะไปขอเงินพ่อแม่ก็ไม่ใช่เรื่อง ไม่เรียนหนังสือ ออกจากวงการ เลือกจะมาทำงานร้านอาหาร ทำเพลงกันเอง เขาก็มองว่าเราทำอะไร ทำไปเพื่อ?
เดย์ : เราโตที่อเมริกา ช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็ก ไม่มีเงินก็ต้องทำงาน อะไรทำได้ ทำหมด รับทุบบ้าน เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ทำงานร้านอาหาร เราถูกสอนมาแบบนี้ ช่วงที่ลำบากก็มองหน้าแล้วก็หัวเราะให้กัน แล้วเดินหน้าต่อแค่นั้น
ขัน : เราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องที่สู้ด้วยกันมากกว่าพี่น้องจริงๆ ด้วยซ้ำ สู้ด้วยกันมากกว่าทุกคนที่เรามีอยู่ในชีวิต
เดย์ : เวลาจะกินข้าว ผมจะเป็นมือหุงข้าว แล้วเราจะลงขันไปซูเปอร์มาเก็ต เพื่อซื้อกับข้าวมาทำกันคนละจาน มีผัดผัก มีไข่เจียวบ้าง แล้วที่ขาดไม่ได้เลยคือมาม่าต้องมีตลอด เอาไว้ซดน้ำซุป
ไทเทเนียม อินไทยแลนด์
ขัน : พอย้ายมาอยู่ด้วยกัน 6 เดือน ผ่านไปเราก็ได้เราก็ได้อัลบั้มชื่อว่า AA ในปี 2000 ช่วงคริสมาสต์เลยนำมาปล่อยที่เมืองไทย จัดคอนเสิร์ตเล็กๆ แถวสีลีม ปั๊มเพลงมา 20 แผ่น เพื่อแจกเพื่อนๆ ต้องบอกว่าตอนนั้นวงการเพลงอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง คนสนใจเสพเพลงใต้ดิน มีเฟตเรดิโอขึ้นมา จึงมีช้อยส์ในการฟังเพลงมากขึ้น มีคนสนใจถามหา ขอซื้อแผ่นของเรา เราก็ไปฝากขายร้านดีเจสยาม ไปปั๊มแผ่นกันที่พันธุ์พิพย์พลาซ่า (หัวเราะ)
ตอนนั้นขายได้ 5 พันแผ่นเลยนะ เรามาคุยกันว่า สิ่งที่ทำมันเป็นธุรกิจได้เลย ทำเองขายเอง ได้เงินมากกว่าอยู่ค่ายใหญ่ แล้วถ้าขายได้เป็นแสนแผ่นล่ะ เลยมาคิดกันว่าทำวง 3 คนแบบจริงจัง แล้วใช้ชื่อ ‘ไทเทเนียม’ จากนั้นก็ปล่อยอัลบั้ม 2
ช่วงแรกๆ เป็นการทำงานที่เดินทางไปกลับระหว่างไทย-นิวยอร์กในช่วงคริสต์มาสต์ ไปกลับแบบนี้อยู่แบบนี้ 7 ปี ตั้งแต่ 2000-2007 กลับมาแต่ละที คนก็สนใจเยอะขึ้น ทีแรกอยู่กันเดือนเดียว กลายเป็น 3 เดือน 6 เดือน จนสุดท้ายตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทยเถอะ เพราะงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ
เวย์ : ปีที่พีคสุดของเราคือ 2009 ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจนวันนี้ ได้ทำอัลบั้มหลายอัลบั้ม ได้ร่วมงานกับศิลปินมากมาย ได้ทำงานที่หลากหลาย มีแฟนเพลงขยายฐานกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพราะปีนี้ไทเทเนียม 18 ปีแล้ว เอาจริงขันอยู่ในวงการมา 24 ปี ผมอยู่มา 22 ปี แฟนเพลงเราก็โตมาด้วยกัน และมีกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มตลอด
ขัน : แฟนเพลงมีเพิ่ม และเปลี่ยนหน้าทุกช่วงวัย ตอนเรียนมัธยมจะมาตามดูคอนเสิร์ตอยู่พักใหญ่เลย พอเข้า’มหาลัยเรียนหนักขึ้นก็ตามกันน้อยลง พอทำงานก็เริ่มหาย แต่จะมาเจอกันตามงานใหญ่ๆ แต่งงานมีลูกแล้วก็มาเจอบ้างถ้าโอกาสเอื้ออำนวย มันก็จะวนไป และมีกลุ่มเจนฯใหม่เข้ามาเรื่อยๆ
เดย์ : เชื่อมั้ยว่ามีคนที่มาเจอรักแท้ในคอนเสิร์ตเราเยอะมาก เราอวยพรงานแต่งงาน โดยส่งวิดีโอคลิปไปไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่
เวย์ : เราค่อนข้างให้ความเป็นกันเองกับแฟนเพลง แฟนๆ ส่วนใหญ่ที่ตามกันก็จะสนิทกัน เราไม่ได้เป็นศิลปินที่มีคนตามกรี๊ดเยอะ หรือมีป้ายไฟ แฟนเพลงเราเป็นกลุ่มเฉพาะ เขาชอบผลงาน และตัวตนของเราจริงๆ ชอบเพลง ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับแฟนๆ เสมอ ทำเพลงก็ซัพพอร์ท ใครทำธุรกิจก็ซัพพอร์ท ถามผมว่าร้านตัดผมเปิดเมื่อไรที่ไหน ขันเปิดร้านเสื้อผ้าก็ไปพบปะกัน เราเป็นศิลปินที่คุยได้หมด เหมือนเพื่อนมากกว่าแฟนเพลงนะ
THAITANIUM UNBREAKABLE Concert
ขัน : เรากำลังจะมีคอนเสิร์ตซึ่งห่างจากครั้งที่แล้วนาน 7 ปี แต่ครั้งนี้เต็มรูปแบบมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา จริงๆ แล้วพยายามทำคอนเสิร์ตให้เกิดขึ้นมา 2-3 ปี คุยไปคุยมาอะไรหลายอย่างๆ ยังไม่ลงตัวพับโครงการไป 2 ครั้ง จนมาครั้งนี้ได้พาร์ทเนอร์ที่ดี เลยเกิดเป็นคอนเสิร์ต THAITANIUM UNBREAKABLE Concert วันที่ 12 ตุลาคมที่ไบเทค บางนา จองบัตรได้แล้วที่ www.thaitanium.biz ต้องบอกว่าครั้งนี้ไม่ธรรมดา มีโชว์เซอร์ไพรส์ที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน บอกให้นิดนึงว่า เราไม่ได้แค่มาร้องเพลงอย่างเดียว แต่มันจะมีเรื่องราว มีฉาก มีพร็อพ มีตัวแสดงเข้ามาเสริม ไม่ถึงขั้นละครเวที แต่ได้กลิ่นอายประมาณนั้นมานิดนึง เรียกว่าเป็นสิ่งที่ 18 ปีที่ผ่านมาไม่เคยทำมาก่อนเลย คิดว่าแฟนเพลงน่าจะตื่นเต้น เพราะไม่ได้หาดูได้บ่อยๆ แถมเรายังเล่นเพลงที่ไม่ค่อยได้เล่นด้วย
เวย์ : แขกรับเชิญเท่าที่บอกได้คือ ญาญ่า น้าแอ๊ด คาราบาว สิงโต นำโชค ดา เอ็นโดรฟินแบงค์แคลช ฯลฯ บอกแค่นี้ก่อน
ขัน : เหมือนแขกรับเชิญจะเล่นเยอะกว่าเราอีกนะ (หัวเราะ)
เดย์ : อยากให้แฟนๆ ที่ติดตามไทเทเนียมมาตลอด 18 ปี หรือแฟนๆ รุ่นใหม่ๆ ได้ไปเจอกันครับ เหมือนเป็นปาร์ตี้ใหญ่งานหนึ่งที่เพื่อนๆ จะได้มาสนุก มีความสุขด้วยกันครับ
Text: AuAi
Photo: JoJoJae
เรื่องดีๆ ในสุดสัปดาห์มีอะไรให้อ่านอีกไม่รู้จบ!
ต่อ – กัปตัน – สกาย ร่วมพลังการให้เพื่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อธรรมชาติ #คนหล่อขอทำดี
กูรูหล่อบอกต่อด้วย หมอตั้ม ส่วนผสมที่ลงตัว คุณหมอ & พ่อครัว
บอสวศิน กับทุกเรื่องราวในชีวิตก่อนจะเปรี้ยงจาก เมีย 2018 #น่ารักเว่อร์