7 ศิลปินป๊อบ เจ้าของเพราะโดนใจคนฟัง จากค่าย What The Duck

Alternative Textaccount_circle
event

 

What The Duck ค่ายเพลงคนรุ่นใหม่ของคนรักเสียงเพลง ที่เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งค่ายเพลงที่ประสบความสำเร็จในเมืองไทย ในการปั้นศิลปินคุณภาพ วันนี้สุดสัปดาห์พาทุกคนไปทำความรู้จัก 7 ศิลปินป๊อบดาวรุ่งที่มาพร้อมกับความสามารถและสไตล์ดนตรีเฉพาะตัว ซึ่งกว่าพวกเขาจะมีวันนี้ต้องผ่านการรอคอย บทพิสูจน์ การเรียนรู้มาไม่น้อย เรียกว่าเส้นทางสายดนตรีของพวกเขานั้น เต็มไปด้วยตัวโน้ตแต่กลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ  

YourMOOD นักร้องอารมณ์ดี กับเพลง “ลาก่อน” ที่ไม่มีใครอยากบอกลา

YourMOOD” (ยัวร์มู้ด) หรือ “บอย-สุรัตน์ รุ่งพุทธิกุล” ศิลปินอารมณ์ดีสายแฟชั่น จากสังกัดค่าย WHOOP (วูฟ) ผู้มาพร้อมเสียงร้องเอกลักษณ์ผสมดนตรีกลิ่นไอยุค 80s ภายใต้การดูแลจากเจ้าของค่ายโปรดิวเซอร์มือทอง อย่าง THE TOYS (ธันวา บุญสูงเนิน) และ What The Duck  “YourMOOD” ได้สร้างตำนานบอกลาความสัมพันธ์ที่อ่อนโยนจนกลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตที่มียอดรับชมและรับฟังมากกว่า 30 ล้านครั้ง อย่าง “ลาก่อน” รวมถึงเพลงอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ “เพื่อนที่ดี (good old days)” , “กลัวฝน” , “กลุ่มดอกไม้” ที่มียอดผู้ฟังบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากกว่า 7 แสนคนต่อเดือน

What The Duck, YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

ย้อนไทม์ไลน์ปี 2566

ภาพรวมเมื่อปีที่แล้วถือว่าดีครับ เพราะราศีพฤษกของผมเรียกว่าดาวราหูเคลื่อนแล้ว คือราศีพฤษกจะลำบากนิดนึงแต่ก็ฝ่าฝันไปได้ครับ มีเรื่องให้ปวดหัวนิดหน่อย พอปีนี้ 2567 จะถึงขึ้น A+ เนี่ยครับผมมาถ่ายกับสุดสัปดาห์ ก็จะปังเลย (หัวเราะ) ปีนี้มีอะไรใหม่ๆ ให้ทำครับ นั่นคือ รับงานแสดงซีรีส์วาย แต่ผมไม่ได้เล่นเป็นคู่วายนะ เล่นเป็นเพื่อนพระเอกครับ เป็นอีกหนึ่งงานที่น่าสนใจ และผมอยากลองอะไรใหม่ๆ ก็เลยรับ ได้ทำเพลงประกอบซีรีส์ด้วยครับ

จุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาร่วมงานกับค่าย What The Duck

ผมอยู่ ค่าย WHOOP ภายใต้ What The Duck โดยมีผู้บริหารค่ายคือ คุณธันวา หรือในวงการเราจะรู้จักเขาว่า THE TOYS คือผมเป็นเพื่อนโบกี้ แล้วโบกี้ก็แนะนำให้รู้จักกับทอย เราทำเพลงด้วยกันมาก่อนนานแล้วครับ ตั้งแต่ช่วงเพลงหน้าหนาวกำลังมา ช่วงนั้นผมทำวงดนตรี ทอยยังพอมีเวลาให้ผมอยู่บ้าง เลยช่วยทำเพลงกันมาเรื่อยๆ จากนั้นผมก็ผันตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยวกับค่ายหนึ่ง ก็ห่างๆ กับทอยไป แล้วจากนั้นก็มาเป็นศิลปินเดี่ยวค่าย WHOOP โดยมีเพื่อนเราเป็นผู้บริหารค่าย ทอยคอยช่วยผมทุกอย่างเลย ทั้งเรื่องงาน เรื่องชีวิต เราเหมือนพี่น้องกัน เวลาคิดเพลงก็นั่งแฮงค์เอาท์กันไป ได้งานไปด้วย  

แรงบันดาลใจที่อยากเป็นศิลปิน

คือผมชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว พ่อแม่ชอบพาไปร้องคาราโอเกะ ไม่ใช่แบบตู้นะคะรับ เป็นร้านอาหารมีห้องร้องเพลง คือยังอ่านหนังสือไม่ได้เลยนะ แต่ร้องเพลงได้เพราะอาศัยการจำครับ เป็นครอบครัวบันเทิงชอบร้องเพลง กลับบ้านดึกพร้อมพ่อแม่  

พ่อแม่ผมเป็นคนจอยๆ ทุกวันนี้พ่อแม่เป็นแฟนคลับตัวตึงลูก เขาแฮปปี้มากที่ลูกเป็นศิลปิน แม่ผมตามไปงานไหนได้ เขาจะไปแทบจะอยู่หน้าเวที ส่วนพ่อจะแอบดูแบบไม่ปรากฎตัวให้เห็น

ในชีวิตนี้ผมอยากเป็นอย่างอยู่ 2 อย่าง คือ นักฟุตบอลทีมงาน กับศิลปิน ผมชอบเตะบอลมาก ศักยภาพเราไม่ถึงขั้นทีมชาติ เลยไม่ได้คัดทีมชาติอะไร ผมเป็นนักกีฬาโรงเรียน แข่งระดับโรงเรียนได้ที่ 3 ของประเทศ และเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย  ผมจบคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็มีการฟอร์มวงดนตรี ประกวดในมหาวิทยลัย  วงจรชีวิตผมคือ เรียนเสร็จก็ซ้อมบอล ซ้อมเสร็จไปเล่นดนตรีกลางคืน หาเงินจ่ายค่าเทอมเอง จุดเริ่มต้นน่าจะมาจากตรงนี้ เรียนด้วยทำงานด้วยถือว่าหนัก แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีมากครับ

เส้นทางสายดนตรีที่ต้องรอคอย

ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันครับ เกือบจะเลิกเล่นก็มี ช่วงถึงวัยที่ต้องบวช ผมก็ไปศึกษาพระธรรม 1 เดือน สึกปุ๊บก็ทำเพลงไปเรื่อยๆ ปล่อยเพลง “ลาก่อน” ออกมาแต่ก็ไม่ดัง ตอนนั้นปล่อยเพลงมา 3 เพลงแล้ว เราก็ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไร ตอนนั้นคิดว่า ทางศิลปินไม่น่าจะได้แล้วล่ะ คิดจะเลิกร้องเพลงแล้วหาอาชีพหลักใหม่ เลยไปเรียนตัดผมที่ศูนย์ฝึกวิชาชีพกรุงเทพฯ จ่ายค่าเรียนเทอมละ 300 บาท เปลี่ยนเข็มไปเป็นช่างตัดผม เรียนยังไม่จบคอร์สเลยครับ เพลงลาก่อนดังซะงั้น อาจารย์ยังเพิ่งตามกลับไปเรียนนะ ขอผมร้องเพลงก่อน (หัวเราะ) คือปล่อยมา 2 ปีไม่ดัง ผมว่าส่วนหนึ่งเพลงดังเพราะโซเซียลเลย

จากนั้นก็มีงานจ้างให้ไปเล่นที่จังหวัดมหาสารคาม ไปแจมกับวง  “PURPEECH (เพอพีช)” หลังจากนั้นก็มีงานเรื่อยๆ คนเริ่มเห็นเราร้องเพลงมากขึ้น เวลาไปร้องตามงานผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนร้องเพลงผมได้ ผมก็ถ่ายคลิปคนที่ร้องเพลงผมไว้ แล้วเราก็เอาไปลงในโซเชียลของตัวเอง มันดันกลายเป็นไวรัลครับ ปลุกกระแสเพลงลาก่อนขึ้นไปอีกครับ ดาวราหูเคลื่อนแล้วครับ ก่อนหน้านี้ราหูอม (หัวเราะ)

YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

“ลาก่อน” เพลงเปลี่ยนชีวิต

เปลี่ยนเลยครับ ไม่ต้องกลับเรียนตัดผมแล้ว (หัวเราะ) หยอกๆ ครับ คือ “ลาก่อน” ทำให้เรามีงานเยอะขึ้น มีคนรู้จักมากขึ้น มีโอกาสดีๆ เข้ามา เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ ถ้างานในวงการอื่นๆ อะไรที่ผมทำได้อยากทำหมด ผมจะไม่ปิดกั้นตัวเอง วาไรตี้ เล่นตลก พิธีกร สายไลฟ์ขายของ งานพรีเซนเตอร์มาก็ยินดีครับ ทุกโอกาสที่เข้ามาผมจะทำให้เต็มที่ และผมจะทำตัวให้พร้อมเพื่อรอโอกาสที่จะเข้ามาเสมอ เพราะเราไม่รู้ว่าโอกาสนั้นๆ จะมาเมื่อไร อย่างงานแสดงซีรีส์ผมก็ต้องเวิร์คช็อป ฝึกฝนด้วยตัวเอง เชื่อมั้ยว่าทอยก็ส่วนช่วยผมในเรื่องการแสดง คนหลายคนอาจไม่รู้ เขาแนะนำตลอด ทำแบบนี้สิ ทำแบบนั้นสิ เขาช่วยผมต่อบท อะ! งงกันทั้งประเทศทั้งประเทศเลยสิครับ นี่เรื่องจริงครับ (หัวเราะ)

เป้าหมายที่อยากไปให้ถึง

คอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองเต็มรูปแบบ ในสถานที่ที่ใหญ่ ไปเล่นเฟสติวัลต่างประเทศบ้างเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มีงานแสดงเข้ามาก็รับครับ ผมอยากทำงานในวงการบันเทิงทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบายครับ

สิ่งที่อยากบอกแฟนเพลง

อดทนหน่อยนะครับ เดี๋ยวพี่บอยก็โตแล้วครับ บางทีผมก็ตลกๆ ไร้สาระหน่อยๆ ก็เพราะอยากให้ทุกคนได้ยิ้มนะครับ

 

ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล ศิลปินเลือดใหม่ความสามารถรอบด้าน

อีกหนึ่งศิลปินเลือดใหม่ของค่าย What The Duck ที่มีความสามารถพร้อมรอบด้าน สำหรับ ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล คนรุ่นใหม่ที่มีแพสชั่นกับสิ่งที่รักทั้งดนตรีและงานแสดง

What The Duck, YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

ปีแห่งการคลุมเครือไปสู่การเริ่มต้นใหม่ๆ

เมื่อปีที่แล้ว 2566 เป็นปีแห่งการคลุมเครือ และเริ่มต้นสิ่งใหม่ คือผมเริ่มมาทำงานเดี่ยว โปรดิวซ์เพลงให้คนอื่นๆ ด้วย ซึ่งวง Mints ยังอยู่นะครับ เพียงแต่ผมและพี่อัด แยกไปทำงานเดี่ยวที่ตัวเองโฟกัส และที่บอกว่าคลุมเครือ เพราะสิ่งใหม่ที่เราเริ่มต้นทำ มันอาจจะยังสรุปไม่ได้ชัดเจนว่า ที่เราทำอยู่นี้เวิร์คมั้ย ปีที่แล้วผมอยากให้ตัวเองได้โฟกัสกับงานดนตรี เลยไม่รับงานแสดงปีนึง ที่ผ่านมาผมจับงานหลายอย่าง ทั้งเรียน งานแสดง งานดนตรี

จากที่ทำวงแล้วมาทำเดี่ยวจึงเป็นสิ่งใหม่สำหรับผม ปกติจะมีพี่อัดช่วยทำเพลงด้วย แต่ปีนี้ผมทำเองโปรดิวซ์เองคนเดียวเลย เราเพิ่งเรียนจบ ได้มาทำงานจริงจัง เหมือนเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัว เลยรู้สึกว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี เพราะสิ่งที่ทำไปมันยังไม่ออกดอกออกผล ก็ตั้งใจว่าจะมาลุยต่อในปีนี้ครับ

จากนักแสดงเด็กสู่เส้นทางศิลปิน

ผมไม่เคยมีความฝันจะเป็นนักแสดงเลย ผมชอบดนตรีมาก แต่ได้โอกาสทำงานด้านการแสดงก่อน มีคนชวนไปแคสต์ก็ไป ก็มีงานเข้ามาเรื่อย งานแสดงและดนตรีเป็นสองอย่างที่ชอบครับ ถ้าให้เลือกผมเลือกดนตรีก่อน

แพสชั่นดนตรี VS แพสชั่นก่อนแสดง

งานแสดงผมจะหลงใหลบทที่ยากและท้าทาย ผมจะ appreciate มากที่จะได้เจอคนเก่งเยอะๆ นักแสดงเก่ง ผู้กำกับเก่ง บทดี โปรดักชั่นดี ส่วนงานเพลงเป็นเรื่องของเราคนเดียว เราจะ express ความเป็นตัวเอง ผมชอบทำก็ด้วยเหตุผลนี้ ผมอยากพิสูจน์กับแนวเพลงที่เราชอบและสิ่งที่เราอยากเล่า ว่าจะสามารถเข้าถึงคนฟังได้แค่ไหน

ความฝันวัยเด็ก

ผมอยากเป็นนักดนตรีครับ เพราะเล่นเปียโนมาตั้งแต่เด็ก อีกหนึ่งอยากคือเป็นนักมวยปล้ำ (หัวเราะ)

แรงบันดาลใจที่อยากเป็นศิลปิน

ผมเริ่มเล่นเปียโนประมาณ 10 ขวบ ฝันอยากเป็นนักเปียโน เพราะเราเล่นแต่เพลงคลาสสิค ยิ่งเราได้ดูหนังเกี่ยวกับดนตรี The Pianist และซีรีส์ญี่ปุ่น  Nodame Cantabile เรื่องราวเกี่ยวนักดนตรี ก็ยิ่งได้แรงบันดาลใจอยากเป็นนักแสดงดนตรี ช่วงเรียนป. 6 จะขึ้น ม. 1 มีโอกาสได้เล่นหนังเรื่อง Suck Seed ห่วยขั้นเทพ เป็นหนังเกี่ยวกับเพลง ความที่เราเล่นดนตรีคลาสสิค พอไปเล่นหนังเกี่ยวกับดนตรีร็อค เลยไม่ค่อยรู้จักนักดนตรีร็อคหรือป็อบเท่าไร ทุกคนบอกว่าวันนี้พี่ตูน บอดี้สแลมมากอง ผมก็ไม่รู้จัก คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ดังนั้นผมลองฟังเพลงป๊อบเพลงร็อคบ้าง ฟังแล้วรู้สึกว่าเจ๋งมาก เลยหัดเล่นดนตรีแนวร็อคและป็อบ หัดเล่นกีตาร์ พอได้นั่งดู Suck Seed แบบจริงจังในโรงหนังรอบสื่อ ผมชอบเรื่องนี้มาก

จุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาร่วมงานกับค่าย What The Duck

เริ่มจากผมทำวง Mints กับพี่อัดด้วยกันแบบไม่มีค่าย ซึ่งระหว่างทางก็มีหลายค่ายติดต่อมา แต่ก็ไม่ได้ตัดสินใจไปร่วมงานกับใคร จนกระทั่ง What The Duck ติดต่อมาช่วงเงินหมด (หัวเราะ) ที่ผ่านมาผมกับพี่อัดทำทุกอย่างกันเอง พูดตามตรงการทำเพลงต้องใช้ทุนนะ ทั้งผลิตเอ็มวี ผลิตเพลงในห้องอัด จำได้ว่าเดินสายสื่อ ผมทำแพลนโปรโมทเอง ออกแบบโพสเตอร์เอง ไปไรท์แผ่นซีดีสำหรับแจกสื่อที่ร้านเกม พอ What The Duck ติดต่อมา ก็เลยมีการนัดคุยกับพี่บอลและพี่มอย จริงๆ แล้วเหตุผลคือค่ายนี้เหมาะกับเราที่สุดแล้วครับ

YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

เส้นทางสายดนตรีที่ต้องพิสูจน์

พิสูจน์หนักเหมือนกันตั้งแต่ทำวง Mints ผมต่อสู้กับตัวเองหนักสุดเลย เพราะส่วนตัวผมไม่อยากให้ใครมองว่า เป็นดารามาร้องเพลง บวกก่อนหน้านี้ผมทำงานด้วยเรียนด้วย เลยไม่ได้ปล่อยเพลงอย่างต่อเนื่อง ปล่อยปีละเพลง บางปีไม่ได้ปล่อย ต้องขอบคุณค่ายที่ไม่ได้ว่าอะไร และพร้อมจะเข้าใจ แต่ปีนี้ของจริงครับ ผมปล่อยเพลงถี่แน่นอนครับ ผมเชื่อในการทำอย่างต่อเนื่องครับ

คอนเสิร์ตที่จำไม่ลืม

siam music festival 2023 ล่าสุด ผมนิยามว่าผมเห็นคนดูเต็มตาที่สุด งานนี้ผมเล่น 5 เพลง เป็นอะไรที่ได้เรียนรู้หลายอย่างว่า… การเป็น Front Man น่ากลัวเหมือนกันนะ เมื่อก่อนมีกันสองคน พี่อัดร้องนำ ผมก็เล่นกีตาร์ไป มีอะไรเราก็มองหน้ากันแก้เขิน แต่ครั้งนี้มีแค่ตัวเอง ผมเลยได้มองเห็นคนดูแบบเต็มตา ผมไม่เคยคิดจะเป็นร้องเพลงด้วยซ้ำ เพราะตอนมัธยมเคยโดนแซวว่า เล่นกีต้าร์อย่างเดียวเถอะอย่าร้องเพลงเลย ทำให้เสียเซลฟ์ ผมรู้ตัวเองว่าไม่ได้ร้องเพลงเก่งมาก แต่ผมกำลังเวิร์คกับสิ่งนี้อย่างหนักครับ ผมเชื่อในการฝึกซ้อม และวันหนึ่งผมจะเก่งขึ้นและพัฒนากว่าเดิม

เป้าหมายที่อยากไปให้ถึง

อยากมีงานเล่นเยอะๆ ครับ เพื่อพิสูจนน์อะไรหลายๆ อย่าง อยากให้มีคนเห็นว่าเราโชว์เป็นอย่างไร มีภาพออกไป การได้ออกไปโชว์เยอะๆ มันเป็นการฝึกตัวเองได้อย่างดี ส่วนเป้าหมายระยะไกลหน่อย อยากเป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินอื่นๆ ซึ่งตอนนี้ผมก็ทำแล้วนะ แค่ชิ้นงานยังไม่ได้ปล่อยครับ

สิ่งที่อยากบอกแฟนเพลง

อยากขอบคุณมากๆ ที่ยังเชื่อในตัวผม ทั้งงานดนตรีและงานแสดง ผมจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันครับ ผมจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นเพื่อทุกคน

 

Gabe Watkins คลื่นลูกใหม่ของ What The Duck ที่น่าจับตา

“Gabe Watkins” หรือ “เกบ วัทคิ่นส์” ศิลปินอินเตอร์ลูกครึ่ง ไทย-ออสเตรเลีย วัย 20 ปี คลื่นลูกใหม่น่าจับตามองจากสังกัดค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) มาพร้อมกับความสามารถทางด้านดนตรีที่มีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล และเคยฝากผลงานออกมาให้แฟนเพลงสากลได้รับฟังกันมาแล้วไม่ว่าจะเป็น เพลง “One Summer” , “Blue Skies”  “Flowers From Japan” และ “Sunsets”

What The Duck, YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

เส้นทางสู่ศิลปิน

ก่อนเซ็นเข้าค่าย เกบร้องเพลงเอง แต่งเพลงเอง โปรดิวซ์เองลงยูทูบครับ ทำสนุกๆ ครับ พอเรียนจบไฮสคูล เกบก็ไปเรียนต่อด้าน Music Business ที่ลอนดอนได้ 1 ปี ทางค่าย What The Duck พี่บอล พี่มอยติดต่อมาอยากเซ็นต์สัญญาด้วย สนใจคุยกันมั้ย ผมตกลงเพราะใจเราอยากทำเพลง อยากเป็นศิลปิน ก็เลยย้ายกลับมาไทย และแพลนเรียนต่อทางออนไลน์

แรงบันดาลใจที่อยากเป็นศิลปิน

เกบเห็นคุณพ่อแต่งเพลงตั้งแจต่เรายังเด็กๆ เราชอบดนตรีนะ แต่ก็ไม่ได้เรียนดนตรีอะไรเลย ไม่เล่นกีตาร์ ไม่เล่นเปียโน ไม่รู้ว่าตัวเองร้องเพลงได้ แต่พออยู่ไฮสคูลก็ลองทำวงกับเพื่อนเพื่อรวมตัวเล่นดนตรีด้วยกัน ช่วงโควิคล็อคดาวน์ เราก็อยู่ห้องคนเดียว ก็เลยเขียนเพลง เออ… ดีนะ มันช่วยฮีลใจเราได้มากเลย เราชอบดนตรีตั้งแต่เด็ก และอยากทำสิ่งนี้ต่อไปเรื่อยๆ  

YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

เส้นทางสายดนตรีที่ต้องเรียนรู้

บิ๊กโมเมนต์ของเกบในเส้นทางสายดนตรีคือ ได้รู้จักกับพี่ตูน วง Three Man Down เขาถามว่าลองเขียนเพลงกันมั้ย ผมไม่เคยเขียนเพลงเลย จากนั้นผมก็ลองหัดเขียนเพลงกับเขา พี่ตูนคอยสอน คอยแนะนำทุกอย่าง ดีใจมากที่ได้เจอคนเก่ง ทุกเพลงของเกบก็จะมีพี่ตูนคอยเป็นครู ช่วงที่เริ่มแต่งเพลง ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เซ็นต์กับค่าย เราไม่เคยคิดจะไปถึงขั้นนั้น จนได้รู้จักกับ วาเลนติน่า พลอย เขาบอกว่าทำได้ แต่ผมก็ยังยืนยันว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเราได้ แต่สุดท้ายวันหนึ่ง เราก็ได้เป็นศิลปิน ได้เล่นคอนเสิร์ต มีแฟนเพลงที่ชอบเพลงเรา ดีใจมากครับ

คอนเสิร์ตที่จำไม่ลืม

ปีที่แล้วไปเล่น Campus Tour ที่ศิลปากร นครปฐม เป็นงานที่มีคนดูเยอะมาก ตอนมาถึงงานพี่โบกี้เล่นอยู่ ผมตื่นเต้นมาก เพราะเราก็ยังโชว์ไม่เยอะ ประสบการณ์ยังน้อย เล่นต่อจากพี่โบกี้ก็ยิ่งตื่นเต้นไปใหญ่ คนจะรู้จักเรามั้ย คนจะชอบเรามั้ย พอออกไปหน้าเวที ฟีดแบ็กดีมาก นักศึกษาที่ดูในวันนั้นตะโกนเชียร์ เสียงกรี๊ดดังมาก เป็นโชว์ที่ชอบและประทับใจมากๆ ครับ

สิ่งที่อยากบอกแฟนเพลง

มีหลายอย่างที่อยากบอกมากครับ ขอบคุณที่คอยซัพพอร์ต เพลงล่าสุดที่ปล่อยฟีดแบ็กดี เพราะเราก็ห่างในการปล่อยเพลง อยากให้คอยติดตามผลงานเกบตลอดไปนะครับ

 

Marc Tatchapon กับเส้นทางการเป็นศิลปินที่เริ่มต้นมาจากการคัฟเวอร์และคนใกล้ตัวชักนำ

Marc Tatchapon เจ้าของเพลงฮิต “ยังคิดถึง” ที่ปล่อยเพลงแรกออกมาก็แจ้งเกิดแบบสุดๆ เลย ทำให้เขากลายเป็นนักร้องอีกคนที่ได้รับความรักจากแฟนเพลงมากมาย แต่ความจริงแล้วในวัยเด็กเขาไม่เคยมีความฝันที่อยากจะเป็นนักร้อง แต่ก็มีจุดพลิกผันที่ทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่จุดประกายให้เขาได้มาเป็นศิลปิน จะเริ่มต้นมายังไง ไปพบกับบทสัมภาษณ์ของเขาที่สุดสัปดาห์ได้ไปล้วงลึกตั้งแต่ความฝันในวัยเด็กยันเบื้องหลังการทำงานค่า

YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

THE TOYS ผู้ชักจูงเข้าวงการ

จริงๆ แล้วทอยไม่ได้พูดแบบเป็นทางการ เขาแค่บอกว่าเฮ้ย! มาร์คร้องเพลงได้ เพราะเหมือนทอยเข้าไปส่องในเฟซบุ๊ก ทอยก็ถามว่าเฮ้ย! มาร์คร้องเพลงได้ด้วยเหรอ ผมก็เลยตอบไปว่าร้องได้แบบงูๆ ปลาๆ สักพักหนึ่งทอยก็บอกว่ามาทำคัฟเวอร์ดีกว่า พวกเราเลยทำคัฟเวอร์ด้วยกันมาเรื่อยๆ พอทำคัฟเวอร์ไปถึงจุดๆ หนึ่งที่ทอยเขาอยากจะทำเพลงของตัวเอง ก็เลยชวนผมมาทำ ทอยก็บอกว่ามันหมดยุคคัฟเวอร์แล้ว เปลี่ยนเป็นแต่งเองแล้วปล่อยเพลงดีกว่า 

ตอนนั้นทอยก็มีเพลง “จดหมาย” ส่วนผมก็มีเพลงชื่อว่า “อีกครั้ง #2” นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทอยชักนำผมเข้ามาสู่วงการ แล้วเหมือนตอนนั้นทอยมีเดโม่เพลง “ยังคิดถึง” ผมได้ฟังก็บอกทอยว่า เฮ้ย! ทอยเพลงนี้เพราะมากเลย ทอยเลยบอกว่าเฮ้ย! มาร์คร้องให้ฟังหน่อย ก็ลองร้องให้ฟัง ทอยเห็นเพลงเหมาะกับผม ทอยเลยให้เพลงนี้มาเลยครับ ทอยมีความนำเทรนด์ เขาจะคอยบอกว่ามาร์คทำอย่างโน้นทำอย่างนี้

จุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาร่วมงานกับค่าย What The Duck

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมจะอยู่อีกค่ายหนึ่งก็คือแยกกับทอย ทอยก็อยู่ What the duck ผมอยู่อีกค่ายหนึ่ง วันหนึ่งทอยโทรมาบอกว่ามีอะไรสนุกๆ ให้ทำ แต่ผมต้องเข้าไปตอนนี้ ผมเลยได้ๆ ก็เข้าไปบ้านเขา ทอยก็บอกว่าเขาอยากให้ผมไปอยู่ค่ายเขา ก็คือค่าย Whoop Music ค่ายลูกของ What the duck ครับ

เขาบอกว่าทำงานกับผมแล้วสนุกดี อารมณ์เหมือนเพื่อนทำงานด้วยกัน ผมคิดว่าคนทำงาน เจ้านายกับลูกน้องก็จะมีกรอบของเขาอยู่ แต่ถ้าส่วนตัวของผมนะ ผมรู้สึกว่าทำงานกับทอยแล้วผมรู้สึกสบายใจ รู้สึกว่าผมเป็นนกตัวหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขังอยู่ในกรอบอยู่ในกรงตลอด ทอยจะบอกว่ามาร์คลองออกไปบินดู ได้แล้วกลับเข้ามา แล้วที่เหลือเดี๋ยวเขาช่วยจัดการให้เอง

ความฝันวัยเด็ก

ตอนเด็กๆ ไม่ได้ฝันอยากเป็นนักร้อง ผมมีอยู่สองอย่างที่อยากเป็นคือสจ๊วตและกระเป๋ารถเมล์ ผมชอบแก็บๆ ผมอยากเป็นสจ๊วตเพราะตอนเด็กๆ คุณยายผมทำทัวร์ แล้วจะต้องขึ้นไปบนเครื่องบิน ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยว่าเรียกว่าอะไร ผมเรียกว่าแอร์ฯ ผู้ชาย เพราะตอนนั้นเคยได้ยินคำว่าแอร์โอสเตส ผมเลยคิดว่าเป็นแอร์ฯผู้ชาย เห็นเขาใส่สูทแล้วยืนต้อนรับบนเครื่องบิน สวัสดีครับอะไรอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าเท่ดี โตขึ้นมาถึงรู้ว่าเป็นสจ๊วต ส่วนกระเป๋ารถเมล์อยากเป็นเพราะขึ้นรถเมล์กลับบ้าน “ค่าโดยสารพี่” เห็นแล้วอยากทำ

ผมเคยมีความคิดอยากเป็นนักกีฬาตอน ม.3 ขึ้น ม.4 ไปคัดเลือกที่โรงเรียนทิวไผ่งาม แล้วระหว่างคัดตัวผมได้รับบาดเจ็บระหว่างที่เล่นเลยเล่นต่อไม่ไหว พอวันนั้นล้มก็บาดเจ็บเลย ซึ่งตอนเด็กๆ ผมก็เลยทั้งฟุตบอลอยู่ในโรงเรียน แล้วก็เล่นบาสเก็ตบอล และแบดมินตัน จริงๆ ผมเล่นกีฬาแทบทุกอย่าง ยกเว้นปิงปอง ตีไม่เป็น (หัวเราะ) เมื่อก่อนตกเย็นก็ซ้อมกีฬา ผมชอบกีฬามาก ซื้อวอลเปเปอร์มาติดห้องแบบพวกนักบาส นักบอลที่ชอบครับ ตอนนั้นอเมริกาจะแข่งบาสฯ ช่วงเช้า ผมก็จะดูแข่งบาสฯ ก่อนแป๊บนึง แล้วก็ไปอาบน้ำกลับมานั่งดูแป๊บนึง แล้วก็ไปโรงเรียน

แรงบันดาลใจที่อยากเป็นศิลปิน

น่าจะเป็นช่วง ม.5 ผมนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่สวนหย่อมที่โรงเรียน มีอาจารย์ที่อยู่วงโยธวาทิตเดินผ่านมาได้ยิน ชื่ออะไรเดี๋ยวเลิกเรียนขึ้นไปออดิชั่นด้วยนะ ผมงงว่าออดิชั่นอะไร อาจารย์ให้ร้องเพลงหนึ่ง เพลงอะไรก็ได้ ผมก็ร้อง ตอนนั้นมีประมาณ 20 คน ผมก็นั่งรอ สักพักอาจารย์ให้ทุกคนออกไป แล้วให้ผมอยู่คนเดียว แล้วบอกว่าพรุ่งนี้มาซ้อมนะ ผมเลยถามกลับไปว่าซ้อมอะไรครับอาจารย์ แล้วก็ได้คำตอบมาว่าครูเลือกเธอเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งระดับเขตครับ แข่งร้องเพลงแบบเป็นฟูลแบรนด์ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หัดร้องเพลง

คัฟเวอร์เพลงจนปัง

ตอนที่ร้องคัฟเวอร์ลงเฟซบุ๊ก เป็นยุคที่โซเชียลแคมบูม แล้วโบกี้ไลอ้อนดังมาก ผมก็เลยลองดูบ้างร้องและเล่นกีตาร์ลงเฟซบุ๊ก แล้วก็มีคนในเฟซบุ๊กมากดแชร์ ไม่รู้ว่าทอยไปส่องเฟซหรืออะไร ทอยถึงรู้ว่าผมร้องเพลงได้ ซึ่งเพลงที่ทำให้คนรู้จักผมน่าจะเป็นเพลง “รู้ยัง” ของพี่ต้น ธนษิต เป็นเพลงที่ทำให้หลายๆ คนรู้จักมาร์คกับทอย แล้วก็มาทำ official audio กัน ตอนนั้นผมคัฟเวอร์อยู่ประมาณปีหนึ่งได้มั้งครับ

What The Duck, YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

เส้นทางดนตรีที่ปุ๊บปั๊บก็ดังเลย

ผมเป็นคนที่โชคดีอยู่อย่างหนึ่งปล่อยเพลงแรกแล้วดังเลยคือเพลง “ยังคิดถึง” พอดังปุ๊บ เรียกว่าผมแฮนเดิลกับความดังไม่อยู่ พอดังโปร้งขึ้นมาผมก็งง งานจ้างก็เริ่มเข้ามา ตอนแรกๆ ผมก็ยังเล่นไม่ได้ดี ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็อยากจะทำตอนนั้นให้ดีกว่านี้ ตอนนั้นผมยังอายุยังน้อยไม่มีประสบการณ์ไม่เคยได้เตรียมตัวกับการทำงาน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเป็นศิลปินคืออะไร ผมไม่รู้ว่าการเล่นให้สนุกต้องเอ็นเตอร์เทนแบบไหน แต่ประสบการณ์ก็หล่อหลอมมาจนถึงทุกวันนี้ครับ

ผมจะไม่ได้ทำเพลงเอง ผมให้เป็นหน้าที่ของทอย เพราะว่าทอยเป็นอัจฉริยะและเชี่ยวชาญมากๆ ผมเชื่อใจเขา ปกติจะคุยกันก่อนเวลาจะทำเพลง ผมจะฮัมเมโลดี้ไปก่อน ทอยได้ยินเมโลดี้แบบนี้ทอยชอบไหม ถ้าทอยชอบ ทอยจะบอกให้ผมไปเขียนมา พอผมเขียนเสร็จก็จะเอามาให้ทอยดู แล้วบอกเขาว่าเนื้อหาประมาณนี้ ทอยก็จะมาเกลาคำให้สวยขึ้น 

พวกเมโลดี้ที่คิดขึ้นมาได้ก็จะมาจากหลายๆ อย่าง บางทีผมขับรถอยู่เมโลดี้ก็ไหลเข้ามาเอง หรือบางทีนั่งชิลอยู่ในห้อง นั่งดูหนัง เห็นนางเอกซีรีส์คนหนึ่งแล้วรู้สึกชอบ น่ารัก เธอตัวเล็กแค่นี้ทำไมน่ารักเท่าโลกเลย ผมก็จะคิดเมโลดี้ขึ้นมา ตอนฮัมเมโลดี้ก็จะมีคอนเซ็ปต์ที่คิดขึ้นมาได้ แต่ถ้าทอยไม่ชอบคอนเซ็ปต์รู้สึกยังไม่โดน ผมก็จะกลับไปคิดมาใหม่ หรือถามทอยว่าเขาเห็นเป็นยังไง ทอยก็จะบอกมาว่าเห็นเป็นแบบไหน ให้ผมลองเอาไปดีเวลล็อปดูครับ 

คอนเสิร์ตที่จำไม่ลืม

เป็นงานแรกที่ได้ไปขึ้นหลังเป็นศิลปิน วันนั้นคนมาดูเป็นร้อยเหมือนกันครับ ผมประหม่ามาก เพราะเป็นงานจ้างงานแรก พี่ๆ แบ็กอัพเขาก็บอกผมว่าเล่นไปเลย ร้องไปเลย คนตั้งใจมาดูเรา ผมก็ร้องเพลง “ยังคิดถึง” เป็นเพลงสุดท้ายเลย ปรากฏว่าคนร้องได้ดังมาก เป็นครั้งแรกที่เรารู้ตัวว่าเพลงนี้คนรู้จักแล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะกลุ่ม เพลงขึ้นปุ๊บคนวิ่งมาเลย 

อย่างงานอื่นผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แมสขนาดที่คนเห็นผมขึ้นเวทีปุ๊บจะวิ่งมาเลย แต่พอเราร้องเพลง “ยังคิดถึง” คนก็จะวิ่งมาดู คนรู้จักเพลง ผมก็จะบอกว่ายินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับเวลาขึ้นคอนเสิร์ต มันเป็นความประทับใจเล็กๆ ที่ผมรู้สึกว่าเพลง “ยังคิดถึง” ควรจะได้ แค่มีคนสองคนร้องเพลงผมได้ผมก็แฮปปี้แล้ว แต่วันนั้นมีคนร้องได้เยอะมาก

เป้าหมายที่อยากไปให้ถึง

ผมมองเป็นสเต็ปมากกว่าครับ ตอนนี้ผมอยากปล่อยอีพีอัลบั้มก่อน ส่วนเป้าหมายสูงสุดถ้าเป็นคนอื่นเขาก็จะอยากมีคอนเสิร์ตใหญ่ใช่ไหมครับ แต่ผมไม่ได้อยากมีคอนเสิร์ตใหญ่ ผมรู้สึกว่าผมต้องการแค่คอนเสิร์ตเดี่ยวกลางๆ ไม่ต้องถึงขนาดอิมแพคฯ อาจจะแค่ที่ไหนสักที่ความจุประมาณพันกว่าคน แค่นั้นก็พอแล้วครับ 

ผมแค่อยากรู้ว่าเราทำคอนเสิร์ตเดี่ยวแล้ว จะมีคนมามากขนาดไหน เราพอที่จะมอบความรักให้เขาได้ขนาดไหน ที่ผมบอกว่าผมไม่อยากได้คอนเสิร์ตใหญ่ เพราะผมไม่สามารถมอบความรักให้กับทุกคนได้ทั้งหมด เป็นหมื่นคนผมไม่สามารถทำได้ ผมแค่รู้สึกว่าเวลาผมร้องเพลงผมอยากให้ทุกคนอินไปกับมัน ไม่ต้องอินกับตัวผม แต่เพลงที่ผมร้องทุกเพลง ผมพยายามร้องให้ทุกคน นี่คือเรื่องจริง ผมแค่อยากให้ทุกคนได้รับความรักในเสียงเพลงที่ผมมอบให้ครับ

สิ่งที่อยากบอกแฟนเพลง

ผมจะบอกว่าอยากให้ทุกคนดูแลตัวเองดีๆ ครับ อยากให้รักษาสุขภาพเพื่อวันใดวันหนึ่งเราได้มาเจอกัน ไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน ผมสัญญาว่าจะไปหาทุกคนให้ได้ครับ

 

เส้นทางกว่าจะมาเป็น Newery นักร้อง-นักแต่งเพลงรุ่นใหม่เจ้าของเพลงฮิตข้ามปี “กลิ่นดอกไม้”

เชื่อว่าใครที่เคยเล่น TikTok หรือเป็นสายชอบฟังเพลงต้องเคยได้ยินเพลง “กลิ่นดอกไม้” สักครั้งแน่นอน เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ฮิตมากใน TikTok และในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง จนทำให้ชื่อของ Newery กลายเป็นศิลปินรุ่นใหม่ดาวรุ่งที่น่าจับตามองสุดๆ ซึ่ง Newery เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่คลุกคลีกับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อส่งให้ไปเรียนเปียโนตั้งแต่ 5 ขวบ จนวันหนึ่งเขาก็เติบโตกลายเป็นมาเจ้าของเพลงฮิตข้ามปี!!!

What The Duck, YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

จุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาร่วมงานกับค่าย What The Duck

จุดเริ่มต้นน่าจะช่วงสองถึงสามปีก่อนที่เพลง “หลงรัก” เริ่มมีคนฟังมากขึ้น เริ่มเป็นที่รู้จัก ทางพี่บอล (วง Scrubb และผู้บริหารค่าย) สนใจให้ผมมาเข้าร่วมแพลตฟอร์ม MILK! ของค่าย What the duck แต่ตอนนั้นติดเรื่องมีค่ายอยู่ หลังจากนั้นพอเวลาผ่านไปผมก็ออกมาเป็นศิลปินอิสระ เมื่อปีที่แล้วเพลงกลิ่นดอกไม้ก็กลับมาบูมอีก ซึ่งเป็นเพลงที่สองที่ผมเคยปล่อยออกมา ก็เลยเป็นที่สนใจของค่าย ทีนี้เหมือนตัวจังหวะลงตัว พี่เขาเลยชวนเข้ามาเป็นศิลปินค่าย What the duck ครับ

ความฝันวัยเด็ก

จริงๆ ผมไม่ได้มีความฝันเจาะจงว่าอยากจะเป็นศิลปินครับ จุดเริ่มต้นเรารู้ตัวว่าเราชอบเขียนเพลง ชอบแต่งเพลง แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลือกเรียนด้านดนตรีเชิงพาณิชย์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยเน้นไปทางแต่งเพลง เขียนเพลงครับ จุดหนึ่งที่ผมเริ่มมาเป็นศิลปินคือผมลองแต่งเพลง ทำเพลงเองลงในยูทูบช่องตัวเองครับ แบบทำสนุกๆ ก่อน ทีนี้ผลตอบรับมันดีมาก มันเกินคาด คิดว่าเฮ้ย! จริงๆ เราก็ไปทางนี้ได้ สามารถเป็นศิลปินได้ หลังจากทำเพลงแรกก็คือเพลง “หลงรัก” ก็เลยทำเพลงมาเรื่อยๆ ครับ

จริงจังเรื่องเรียนดนตรี

ผมเรียนดนตรีตั้งแต่เด็กเลยครับประมาณห้าหกขวบ พ่อส่งไปเรียนเปียโน เคยไปประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง เหมือนเราก็คลุกคลีอยู่กับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น เพราะเป็นสิ่งที่มั่นใจว่าตัวเองถนัด ถึงช่วงที่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย เลยเลือกเรียนดนตรีเชิงพาณิชย์ของศิลปากร เพราะผมชอบเล่นดนตรี ชอบแต่งเพลง ชอบเขียนเพลงด้วย 

รักในการเขียน แต่ง ร้อง

ตั้งแต่เด็กที่เริ่มเรียนดนตรีก็จะมีช่วงหนึ่งที่ผมเริ่มชอบทำเพลง เริ่มชอบเขียนเนื้อ ตอนเด็กๆ ก็จะชอบเขียนกลอนด้วยครับ เวลาเรียนภาษาไทยจะเอนจอยกับการเขียนกลอน และผมก็จะชอบฮัม ชอบร้องเนื้อเพลงมั่วๆ ขึ้นมา เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราสนุกที่จะทำอะไรแบบนี้ เลยแต่งเพลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่มัธยมฯ ครับ

Newery ชื่อนี้มีที่มา 

ตั้งชื่อนี้ไว้เล่นเกมครับ อยากมีชื่อที่ไม่ซ้ำใคร เลยลองเอาชื่อเล่นตัวเองตั้งแล้วหาคำต่อท้ายครับ แล้วตอนจะทำเพลงแรกก็นึกไม่ออกว่าเราจะใช้ชื่ออะไรดี เลยตัดสินใจเอาชื่อที่ใช้เล่นเกมมาใช้ยาวเลยครับ

“กลิ่นดอกไม้” จุดพลุจากโลกโซเชียล

ช่วงที่เขียนเพลงนี้ผมค้อนข้างอินกับเพลงไต้หวัน เพลงจีน เขาจะมีดนตรีแบบเทรดดิชั่นนอลนิดหนึ่ง ตัวเพลงกลิ่นดอกไม้ก็จะมีความกลิ่นอายเอเชียฟีลไทยๆ อยู่ แล้วก็กลิ่นอายทางจีนด้วยครับ ในเพลงก็จะมีเครื่องดนตรีเอ้อหูกับกู่เจิงด้วยครับ และก็มีเรื่องเล่าที่รู้สึกอยากเล่าแล้วมู้ดเหมาะที่จะเป็นดนตรีแนวนี้พอดีครับ เนื้อหาจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความคิดถึงคนคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากเรามากหรือจากเราไปไกลแสนไกล แล้วเปรียบเปรยว่าดอกไม้คือผู้หญิง ดอกไม้เป็นเหมือนสิ่งสิ่งหนึ่งที่เราได้รับหรือพบเจอทุกๆ วัน แต่วันหนึ่งดอกไม้ก็ค่อยๆ จางหายไปครับ

เส้นทางสายดนตรีที่ต้องรอคอย

ล้มลุกคลุกคลานมาเยอะครับ ผมยังเรียบเรียงดนตรีไม่ค่อยเก่ง ผมจะมั่นใจในเรื่องของการร้องและการเขียนเพลงมากกว่า ก็เลยมีการล้มลุกคลุกคลานด้านการทำเพลงอยู่บ้างครับ บางทีก็ต้องหาคนช่วยให้คนโน้นคนนี้ช่วยบ้างแล้วก็ได้ออกมาตามที่เราต้องการครับ แล้วตอนทำเพลงแรกผมก็มีส่งเพลงตัวเองไปที่คลื่นวิทยุเอง เพราะอยากให้คนได้ฟังเพลงเราเยอะๆ ก็เลยพยายามด้วยตัวเองก่อน ผมก็หาข้อมูลว่าคลื่นไหนที่เปิดรับที่จะโปรโมตให้ศิลปินอิสระครับ

แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงส่วนใหญ่ก็เรื่องความรักของเราชที่พบเจอช่วงวัยรุ่น เป็นเรื่องราวความรักที่มีอกหักบ้าง สมหวังบ้าง แล้วก็นำมาประยุกต์ใช้ในการเขียนเพลงครับ และพยายามดูหนัง อ่านหนังสือเพื่อให้ได้ไอเดียใหม่ๆ ครับ

YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

คอนเสิร์ตที่จำไม่ลืม

หลังๆ ได้เล่นคอนเสิร์ตมากขึ้น ส่วนใหญ่ที่ผมรู้สึกประทับใจเวลาไปขึ้นคอนเสิร์ตก็คือแฟนเพลงครับ หลายๆ คนตั้งใจมาดู แม้แต่เพลงของเราที่อาจจะไม่ได้แมสมาก แต่เขาก็ตั้งใจที่จะร้องตาม ตั้งใจที่จะฟัง ส่วนใหญ่ประทับใจงานที่ไปเล่นต่างจังหวัด เพราะโอกาสที่เราจะได้ไปพบเจอเขาค่อนข้างน้อยครับ เขาตั้งใจมาดูมาก มาจองที่หรือมาต่อคิว และเวลามีคนมาบอกว่าเพลงเราเป็นพลังบวกให้กับเขา ทำให้เขาไม่เศร้ากับเรื่องราวต่างๆ เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่พอจะช่วยเขาได้บ้าง ผมก็มีความสุขแล้วครับ เพราะเพลงผมจะเป็นมู้ดความรักที่แฮปปี้ซะส่วนใหญ่ครับ

เป้าหมายที่อยากไปให้ถึง

อยากจะทำอีพีอัลบั้มให้สำเร็จครับ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มทำเดโม่แล้ว เพราะที่ผ่านมาจะทำเป็นซิงเกิลครับ ตอนนี้รู้สึกว่าอยากจะมีอะไรบางอย่างที่จับต้องได้ครับ ผมอยากสร้างอัลบั้มหนึ่งที่มีเรื่องราวปะติดปะต่อกันและมีธีมของอัลบั้ม เป็นสิ่งที่อยากจะทำในปีนี้ และอยากจะมีคอนเสิร์ตที่มีความเป็น meet & greet ประมาณหนึ่ง เพื่อที่จะไปเล่นให้แฟนเพลงฟังจริงๆ สักคอนเสิร์ต อาจจะไม่ได้ใหญ่มากครับ เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะไม่ได้เขินมากที่จะมาทำสเกลใหญ่ครับ

สิ่งที่อยากบอกแฟนเพลง

อยากจะขอบคุณแฟนเพลงทุกคนที่ซัพพอร์ตผม ตามมาฟังเพลงของผมตลอด และเป็นกำลังใจให้ผมเสมอมาครับ ผมอยากจะบอกว่าจะไม่หยุดทำง่ายๆ ครับ ก็จะทำผลงานใหม่ๆ ออกมาให้ฟัง และให้มีความหลากหลายมากขึ้นครับ รอติดตามด้วยนะครับ

 

QLER จากเด็กสายวิทย์สู่นักร้อง-นักแต่งเพลงดาวรุ่งที่เส้นทางศิลปินเริ่มจากนับหนึ่งด้วยตัวเอง

“QLER” หรือ คิว-ฐิติพงศ์ เกิดแก้ว อีกหนึ่งศิลปินดาวรุ่งจากค่าย What The Duck ที่มีเพลงดังมากมาย เช่น จีบ, PHOTOGRAPH (รูปถ่าย), เจอกันวันพุธ, ธันวาคม, กอด, แมรี่คิดมาก, LEFT (เบาะซ้าย) และ Blur (คิดถึง) ซึ่งบอกเลยว่าเส้นทางการเป็นศิลปินของ QLER น่าสนใจมาก เพราะจุดเริ่มต้นการเป็นศิลปินของเขามาจากการเป็นศิลปินอิสระที่เคยเปิดค่ายเล็กๆ กับเพื่อนๆ แล้วต้องเริ่มทำเองทุกขั้นตอน เรียกว่านับหนึ่งถึงสิบด้วยตัวเอง ก่อนที่วันนี้เขาจะกลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินของค่าย What the duck ที่น่าจับตามองสุดๆ

YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

จุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาร่วมงานกับค่าย What The Duck

น่าจะมาจากที่ผมทำเพลงเป็นศิลปินอิสระ ทำแบบเต็มระบบตั้งแต่โปรดักชั่นเราก็ทำเองหมดทุกขั้นตอนครับมาตลอด ผลงานไปเข้าตาพี่บอล ซึ่งพี่บอล Scrubb ทำหน้าสเก๊าต์ศิลปินที่คิดว่าน่านำพัฒนาภายใต้ค่ายได้ พี่บอลก็ติดต่อมาว่าลองมาทำงานด้วยกันไหม แต่มันเร็วมากเลยนะครับ โทรมาคุยตอนเที่ยงคืน แล้วอีกวันไปคุยเลย สองสามวันต่อมาเซ็นสัญญา 

ก่อนหน้านั้นเป็นช่วงที่เพลงเราเข้ามาอยู่ในกระแสนิดหนึ่ง ก็จะมีช่วงที่ค่ายเพลงมามองหาแล้วก็จะมีหลายๆ ค่ายยื่นข้อเสนอให้ แต่ผมรู้สึกว่าเราไม่ได้เบอร์นั้น จุดมุ่งมั่นของผมจริงๆ ในฐานะศิลปินอิสระคือเหมือนกับการซื้อหวยครับ เราต้องการที่จะถูกหวย การถูกหวยของเราก็คือการได้ไปอยู่ค่าย และเราก็คิดว่าชีวิตเราจะดีขึ้น ด้วยการทำอาชีพ เงินทอง ทำมาหากินได้ง่ายขึ้น มันก็เลยเป็นโอกาสอย่างหนึ่งที่เข้ามา

แต่เหตุผลที่ผมเลือก What the duck เพราะรู้สึกว่าค่ายไม่ค่อยคอมเมอร์เชียลขนาดนั้น คงจะไม่ได้เอาเราไปเปลี่ยนอะไรมาก เราก็หวังจะพัฒนานะครับ แค่คิดว่ายังอยากมีความเป็นตัวเองแล้วให้ค่ายมาช่วยเติมเต็ม เวลาไปดูศิลปินของค่าย What the duck เขาก็จะมีความเป็นตัวของเขาเองจริงๆ เลยรู้สึกว่าค่ายนี้น่าจะเหมาะกับเรา

ความฝันวัยเด็ก

ตอนเด็กๆ ผมเคยอยากจะเป็น D2B (หัวเราะ) จำได้เลยว่าเข้าห้องน้ำแล้วพยายามเอาน้ำมาลูบผม ทำผมให้เหมือนพี่แดน พอโตมารู้สึกว่าเราทำไม่ได้หรอก ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ในวงการ หมายถึงยังเล่นดนตรี แต่ไม่ได้ร้องเพลงครับ ดนตรีเป็นเหมือนโลกอีกใบหนึ่ง ถ้าพูดให้เห็นภาพคือจริงๆ เราชอบดนตรี แต่เราเลือกเรียนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ประถมถึงมหาวิทยาลัยเลย ผมมองดนตรีเหมือนกับงานอดิเรก แล้วคนอื่นเขาเล่นกัน เราก็เลยอยากเล่นด้วย จะไปกับเพื่อนได้ ซึ่งเราก็มีหลายๆ อย่างที่อยู่ในยุคนั้นแล้วลองทำไปเรื่อยๆ แล้วก็เลิกไป แต่ดนตรีเป็นสิ่งเดียวที่จบมหาวิทยาลัยมาก็ยังทำอยู่ เกี่ยวข้องกับดนตรีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ที่เลือกเรียนวิทยาศาสตร์เพราะมันตรงมาก สามารถหาคำตอบได้ ตอนมหาวิทยาลัยผมเรียนด้านวิทยาศาสตร์อาหารครับ ก็คือวิจัยเกี่ยวกับอาหาร ทำโปรดักต์ เรียนจบก็เคยไปทำงานโปรดักต์ 1 ปี แล้วหลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่โอกาสเรื่องเพลงเข้ามา ผมก็เลยเลือกมาทางนี้

แรงบันดาลใจที่อยากเป็นศิลปิน

ตอนที่ผมเรียนด้านวิทยาศาสตร์อยู่ ผมยังเป็นแค่มือกีตาร์เล่นตามงานรับน้อง เล่นกับเพื่อน หรือจะมีพี่ที่เขาเริ่มทำเพลงฮิปฮ็อปจริงจัง แล้วเป็นพี่ที่รับน้องผม เขาเห็นว่าผมเล่นกีตาร์ได้ ก็เลยมาชวนทำเบื้องหลัง ผมก็ได้เรียนรู้การทำงานเบื้องหลังว่าแต่งเพลงยังไง อัดเพลงยังไง แล้วอยู่ๆ ก็อยากทำเอง ก็เลยทำ เปิดช่อง แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ เลยครับ จนถูกหวยได้เข้ามาในค่าย What the duck ครับ

เส้นทางสายดนตรีที่ต้องเรียนรู้

เหมือนที่เมื่อกี้ผมเล่าว่ามีรุ่นพี่มาชวน เราก็เลยทำแค่เบื้องหลังแหละ แต่มันจะมีโมเมนต์หนึ่งที่เราทำดนตรีให้พี่สักคนหนึ่งเป็นแร็ปเปอร์ แต่รู้สึกว่าไม่ได้สักที เราก็เลยร้องเพลงตัวเองใส่เข้าไป เป็นเนื้อที่แต่งขึ้นมาเอง แล้วเขาก็ไปเห็นว่าเป็นเพลงได้นะ ก็เลยออกมาเป็นหนึ่งเพลง

 ตอนนั้นเครียดมากครับ เพราะเราจะทำค่ายเล็กๆ แต่ไม่ได้จริงจังมากนะครับ ก็คือมีกล้อง มีบุคลากรแค่ประมาณ 5 คน คือเป็นศิลปินหมดเลย แบบเราคิดกันเองว่าเราน่าจะทำได้นะ เราก็ศึกษาไปเรื่อยๆ รวมไปถึงการออกเงินกันหารกันค่าโน่นค่านี่

มีเรื่องที่เราจะต้องไปคุยกับแอปสตรีมมิ่งด้วย เพราะว่าการปล่อยเพลงในยุคนั้น ปล่อยแค่ในยูทูบมันไม่ได้แล้ว เราต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสตรีมมิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น YouTube Music, JOOX, Apple Music หรือ Spotify ซึ่งพวกเราตอนนั้นอยู่แค่ปี 2 ปี 3 เราจะหาคอนเน็กชั่นจากไหน เราก็เลยค่อนข้างเครียดกันมากครับ ก็ต้องหาข้อมูลไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปเจอกับ distributor ที่จะสามารถเอาเพลงของเราไปอยู่ในนั้นได้ 

เราก็เลยจัดการตรงนั้นเสร็จ แปลว่าเราจะต้องทำตั้งแต่แต่งเพลงขึ้นมา ทำดนตรี อัด มีมาสเตอร์ทำทุกอย่างให้เป็นมาสเตอร์ แล้วก็ต้องไปลงสตรีมมิ่ง รวมถึงการถ่ายปก ทำวิดีโอแล้วก็ตัดต่อต่างๆ มันก็คือต้องเรียนรู้ตั้งแต่ 1 จน 10 ปล่อยไปแล้วเช็กว่าพอคนฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกว่าเหนื่อยจังเลยเนอะการเป็นศิลปิน แต่รู้สึกว่าพอทำงานจริงจังได้เป็นระยะหนึ่ง พอเข้าค่ายกลายเป็นว่าความรู้ตรงนั้นช่วยเราเยอะมากเลยในการที่จะอยู่รอดในยุคนี้ได้ครับ

What The Duck, YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

แรงบันดาลใจในการแต่งเพลง

คิวเป็นคนที่ชอบคิดไปเรื่อยๆ ครับ แบบคิดต่อเยอะ สมมติว่าคนมาพูดอะไรสักอย่างหนึ่งกับเรา คิวก็จะคิดต่อว่าเขาคิดยังไงกับเรา ทำไมถึงพูดแบบนั้นออกมา ทั้งที่จริงๆ ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงรับสื่อมาก็โอเคจบ แต่ว่าคิวจะคิดไปมากกว่านั้น แล้วก็เป็นคนชอบอยากรู้เรื่องคนอื่นมากๆ เป็นคนไทยคนหนึ่ง (หัวเราะ) ผมเลยรู้เรื่องอินไซด์เยอะ ผมก็เลยมีเรื่องในหัวเยอะ 

ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง สื่อสารไม่ค่อยดี ก็เลยหาสิ่งในการสื่อสาร ผมรู้สึกว่าศิลปะคือพื้นที่ที่ทำให้เราสื่อสารสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาได้ เพลงก็เป็นศิลปะที่เราเลือก และตัวเพลงของผม จะมีแบคสตอรี่ของเนื้อเพลงเรา ไม่ใช่แค่วันนี้เราจะเขียนเพลงอกหักนะ แต่ว่าเราต้องมีเหตุผลให้มันว่าทำไมเราเขียนเพลงนี้ และต้องลึกมากพอครับ 

นอกจากจะชอบไปฟังเรื่องคนอื่น ซึ่งหลังๆ ก็โตแล้วจะไม่ค่อยมีเพื่อน ก็เลยมโนเอา (หัวเราะ) แล้วก็ชอบเสพพวกข่าวบันเทิง เพราะว่าข่าวบันเทิงจะต้องเป็นอะไรที่แมสมาก แล้วเราจะสามารถเข้าใจคนหมู่มากได้ เขาอินกับเรื่องอะไร หรือมีดูจากซีรีส์ ชอบซีรีส์เกาหลีมาก แล้วก็ดูรายการครับ ผมชอบซีรีส์เกาหลีแนวรอมคอมมาก พอดูแล้วก็เก็บเป็นคลังในหัวไว้เป็นไอเดียครับ

คอนเสิร์ตที่จำไม่ลืม

ประทับใจโมเมนต์ที่เขาร้องเพลงเราได้ มันเป็นจุดมุ่งหมายของเราแหละครับ เพราะเราเขียนเพลงเพื่อให้คนร้องตามได้ เนื้อเพลงที่เราเขียนในห้องเล็กๆ ประโยคที่เราเขียนจากความคิดในหัว มันมีคนไปพูดต่ออะไรอย่างนี้ แล้วไม่ใช่แค่นั้นครับ มันจะมีโมเมนต์ที่หลังจากจบคอนเสิร์ตที่เราได้เจอคนที่ฟังเพลงเราจริงๆ แล้วเขามาบอกว่าที่เราทำมีความหมายกับเขายังไง เพลงเราช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาอะไรบางอย่างมาได้ แล้วก็รู้สึกว่าตรงนั้นมันดีจัง ถึงแม้ว่าเราไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเป็นเพื่อนกัน แต่สิ่งที่เราทำมันดูมีประโยชน์กับใครสักคนหนึ่งครับ

เป้าหมายที่อยากไปให้ถึง

จริงๆ เป้าหมายเราทำได้ไปนานแล้วครับ อย่างที่บอกว่าเราดีใจทุกครั้งที่มีคนมาบอกว่าเพลงเรามีความหมายกับเรา นั่นคือเป้าหมายของผมแรกๆ เลยครับ เราสื่อสารผ่านเพลงก็ต้องมีคนรับสื่อแล้วเข้าใจมัน ถ้ามีคนเหล่านั้นก็คือจบแล้ว อันนี้คือเป้าหมายของผม แต่ถ้าเอาเป้าหมายจริงๆ ก็คือหาเลี้ยงตัวเองให้ได้ในโลกใบนี้ด้วยอาชีพนี้ครับ (หัวเราะ)

สิ่งที่อยากบอกแฟนเพลง

ขอบคุณมากๆ นะครับที่ทำให้ผมมีกินมีใช้จนถึงทุกวันนี้ (หัวเราะ) ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำมันมีความหมาย การที่มีใครสักคนมาพูดอะไรแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าเฮ้ย! จริงๆ เรามีความหมายในโลกใบนี้นะ อยากจะขอบคุณเพราะว่าไม่ใช่ค่ายเพลงที่ให้โอกาสให้เราทำเพลงต่อไปได้ แต่คือคนฟังมากกว่าให้เราอยากทำอาชีพนี้ต่อไปได้ ถ้าไม่มีคนฟัง ต่อให้ค่ายอยากจะให้ออกเพลง มันก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะคนฟังถึงทำให้ผมมีผลงานได้ทุกวันนี้ครับ ขอบคุณครับ

 

โต สมาชิกวง Mirrr ที่ความฝันในการเป็นศิลปินมาจากความชอบนำทาง

ถ้าพูดถึงวงดนตรีรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงและมีสไตล์ดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ หนึ่งในนั้นก็ต้องมีวง Mirrr ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมดสองคนได้แก่ โต-เลอทัศน์ เกตุสุข และนาว-วิชชานนท์ ว่องวีรชัยเดชา ซึ่งพวกเขาเคยเป็นกระแสไวรัล และมีเพลงฮิตมากมายออกมา ซึ่งสุดสัปดาห์มีโอกาสได้ไปพูดคุยกับหนึ่งในสมาชิกของวงอย่างโต ถึงจุดเริ่มต้นของวง แถมยังย้อนไปถึงความฝันในวัยเด็ก และเรื่องราวในเส้นทางดนตรีของเขา จะเป็นยังไง ไปพบกับบทสัมภาษณ์ของโต สมาชิกวง วง Mirrr กันเลย

What The Duck, YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

จุดเริ่มต้นของวง Mirrr

เกิดขึ้นตอนสมัยเรียน ตอนนั้นน่าจะอยู่ปี 2 ครับ เคยทำวงร็อคกับเพื่อนเล่นกันตามงานของมหาวิทยาลัย แล้วบังเอิญได้เจอนาว พี่ที่รู้จักแนะนำให้รู้จักกัน แล้วเราก็ได้มาเล่นวงเดียวกัน แต่วงนั้นก็เลิกทำกันไป ทีนี้ผมรู้สึกยังอยากทำเพลงอยู่ เลยคุยกับเพื่อนทุกคน แต่คนอื่นๆ อาจจะไม่ได้จะจริงจังทางด้านดนตรี แต่นาวพอคุยแล้วมีความจริงจังเหมือนกัน จังหวะที่คุยก็มีงานประกวดพอดี เป็นเวทีประกวดระดับประเทศของ “Tiger Jam” เราเลยอัดคลิปลองส่งไป ซึ่งเวทีนี้จะต้องมีเพลงของตัวเองด้วย ก็เลยลองเล่นเพลงที่เขียนเองให้นาวฟัง เป็นเพลงแรกที่ส่งไป ไม่คิดว่าจะได้ด้วย แต่ว่าได้ 

ซึ่งรอบต่อไปต้องมีชื่อวง ก็เลยตั้งตอนนั้นเลยว่า “Mirrr” มาจากคำว่าละเมอ ละเมอฮัมเพลงอะไรอย่างนี้ครับ ผมชอบทำเพลงตอนกลางคืน แล้วการทำเพลงเหมือนคนจะชอบบอกว่าทำตามความฝันแบบนี้อยู่ในโลกความจริงไม่ได้หรอก ก็เลยเอาชื่อวงที่มีความหมายมาจากละเมอทำเพลงแล้วกัน ก็เลยเป็นชื่อวงมา แล้วทำไมต้องมีอาร์สามตัว เพราะตอนตั้งวงคุยกันว่าอยากจะมีสมาชิกสามคน แต่จนแข่งรายการนั้นจบจนมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีสมาชิกคนที่สาม

นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น ได้ไปแข่งแล้วเข้ารอบ ได้เขียนเพลงเพิ่มอีกก็เริ่มสนุก เริ่มได้เจอคน เริ่มแข่ง แล้วพอไปชนะ มันก็เลยเหนือความคาดหมายมาก เพราะตอนนั้นมีวงที่เขามีแฟนคลับอยู่แล้ว เราเป็นวงที่เพิ่งตั้ง เพลงก็ยังมีไม่ครบ แล้วคนที่มาเล่นให้ก็เป็นพี่ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่รุ่นพี่แนะนำมาให้ คือทุกอย่างไม่ได้มาจากความพร้อมเลย มาจากความไม่พร้อมทั้งนั้นเลย เลยเหนือความคาดหมายที่เรามาได้ขนาดนี้ ก็เลยคุยกันว่างั้นก็ลองดูกันไหม หลังประกวดเสร็จก็เลยทำกันต่อครับ 

จุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาร่วมงานกับค่าย What The Duck

เท้าความกลับไปคือการแข่งขันเวทีนั้นมีพี่บอลเป็นกรรมการด้วย แล้วตอนนั้นเราอยากส่งเดโม่ให้พี่บอล แต่พี่บอลไม่เอา พี่บอลบอกไปโตก่อน คือเหมือนพี่บอลอยากให้โตขึ้นกว่านี้ สร้างตัวขึ้นมาก่อน พี่เขาไม่อยากให้แบบรู้จักกันแล้วได้มาเข้าค่าย ตอนนั้นที่พอเราเสนอไปแล้วไม่ผ่าน เราก็เลยไปทำเองก่อนแล้วก็ไปอยู่ค่ายอื่น ตอนนั้นทำไปสักพักหนึ่ง จนด้วยจังหวะไทม์มิ่งลงล็อกพอดีทุกอย่างลงตัว เราก็เลยได้มาอยู่ What the duck

ความฝันวัยเด็ก

ผมจำความฝันตอนเด็กไม่ได้ แต่ถ้าสมมติคนมาถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมจะชอบบอกว่าอยากเป็นทหาร ตำรวจ อาชีพคลาสสิกของเด็ก เต็มที่ก็อยากเป็นนักบินอวกาศ แต่ความฝันจริงๆ เป็นเรื่องของการหาความหมายในชีวิตมากกว่า ถ้าถามว่าสิ่งนี้เชื่อมโยงกับศิลปินยังไง ตอนเด็กๆ แม่เคยชมว่าร้องเพลงดีนะ แต่ก็ไม่รู้นะเพราะเพื่อนยังบอกว่าเราเสียงไม่ดี แต่แม่ดูชมเรา เพราะแม่บอกว่าผมเคยไปร้องเพลงให้ครูฟัง ด้วยความเด็กผมก็จำไม่ได้ 

พอพอโตขึ้นมา ไม่รู้ทำไมระหว่างทางเวลาเราร้องเพลงเพื่อนก็จะแซวมาตลอด แต่เรารู้สึกแฮปปี้เวลาได้ร้องเพลง ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความฝันของเราไหม แต่ตั้งแต่เด็กจนโตผมร้องเพลงมาตลอด ร้องเล่นๆ แล้วก็เป็นคนชอบฟังเพลง ชอบหาเพลงฟัง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับดนตรีและเพลงมันเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องพยายาม เหมือนเป็นสิ่งที่เราชอบครับ อยากจะลองหาเพลงใหม่ฟัง อยากจะลองหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการเสพย์เพลง แล้วก็ลองร้องในหลายๆ แบบ ในขณะที่เราไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพ เป็นแค่มือสมัครเล่น ถ้าความฝันจริงๆ เราอยากเป็นคนที่เข้าใจว่าเราเกิดมาทั้งหมด เข้าใจตัวเอง เข้าใจมนุษย์ เข้าใจตัวตนของเรา แล้วก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขครับ

แรงบันดาลใจที่อยากเป็นศิลปิน

น่าจะเริ่มต้นมาจากที่เราเข้มข้นขึ้น ในความชอบของเรามันชอบมากขึ้นตั้งแต่เราเล่นกีตาร์ เล่นหัดทำเพลงตั้งแต่มัธยม จนพอมาเรียนมหาวิทยาลัยแล้วมาเจอพี่เจอเพื่อน เรายิ่งอยากทำวงดนตรี ยิ่งอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง ด้วยความที่เราคัฟเวอร์มา เล่นเพลงของคนอื่นมาเยอะ แต่ว่าเรายังไม่มีเพลงของตัวเอง และพอยต์ของผมจริงๆ คือผมเป็นชอบจด ชอบเขียนอยู่แล้ว ชอบอยากเล่าอยู่แล้ว 

ซึ่งจุดแรกที่ยากที่สุดคือการไปเล่นให้เพื่อนฟัง เราต้องใช้ความกล้ามาก เพราะเพื่อนจะแซว ซึ่งมันก็แซวจริง แต่ด้วยความที่เราไปเล่นให้นาวฟัง แล้วนาวไม่แซว เฮ้ย! มันมีอะไรบางอย่างที่น่าจะไปกันต่อได้ ถ้าถามว่าเราอยากเป็นศิลปินไหม รู้สึกว่าเราอยากถ่ายทอดสิ่งที่เราเขียนออกมาเป็นเพลง อยากทำซาวนด์ดนตรีที่เราคิดขึ้นมาเอง แล้วเราตั้งใจที่ทำขึ้นมาและอยากทำแบบนี้ หมายถึงอยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแค่นั้นเลยครับ 

เส้นทางดนตรีที่ต้องเรียนรู้

เคยเจอมาทุกอย่างแล้วครับ เช่น ตอนที่แข่งผมอยู่เชียงใหม่ก็ต้องบินมาแข่งที่กรุงเทพฯ แล้วก็มาเล่นดนตรีต่อหน้ากรรมการที่สำหรับเราตอนนั้นเขาเป็นแบบโห! ระดับสุดยอด ส่วนเราตอนนั้นเป็นแค่นักศึกษาปี 2 ที่เครื่องดนตรีก็ยังไม่มี แถมแขนหักด้วยตอนนั้น อุปกรณ์ก็ต้องไปยืมเขาใช้ 

หรือตอนมาแรกๆ เราใสมาก ก็เจอเรื่องแย่ๆ เลย เจอเรื่องที่แบบบางทีเรามองว่าเป็นอย่างนั้นแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ตอนนั้นเรายังเด็ก เรามองโลกแค่ด้านหนึ่ง พอเรามาเจอโลกแห่งความเป็นจริง เราก็แค่เข้าใจโลกอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เราเข้าใจเป็นสิ่งที่ถูก 

เราอาจจะสนใจแค่ด้านเดียว แล้วพอเราโตขึ้นเราก็ได้ไปเจอโลกอีกด้านหนึ่ง ทำให้ได้เรียนรู้ว่าอ๋อ สิ่งที่เราเจอมันเป็นอย่างนี้นะ มีเหตุผลว่าแบบนี้ กลายเป็นว่าเราได้เข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลของมันอยู่ มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เป็นสิ่งที่เราได้เข้าใจและเรียนรู้จากมันเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก 

ตอนนี้ก็ได้รู้วิธีรับมือหรือวิธีที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่แรก เพราะว่าตอนนั้นด้วยความที่เรายังใหม่ เราอาจจะไม่ได้เข้าใจบริบทบางอย่าง ซึ่งพอมาถึงจุดนี้ที่ผ่านอะไรมาหลายอย่าง ก็ทำให้เราได้เข้าใจมากขึ้นครับ

YourMOOD, ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล, Gabe Watkins, Marc Tatchapon, Newery, QLER, โต สมาชิกวง Mirrr, Mirrr

แรงบันดาลใจในการแต่งเพลง

แรงบันดาลใจส่วนใหญ่มาจากทั้งตัวเองและสิ่งรอบข้าง ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่คนอย่างเดียว ทั้งสังคมและสิ่งของ อย่างเพลง “นิโคติน” ก็คิดถึงบุหรี่ ความรู้สึกของบุหรี่ที่มีต่อคนใช้ ถ้าเขามีความรู้สึกเขาจะรู้สึกอะไร มีคนแวะมาใช้แล้วก็ทิ้งไป ไม่เคยมีใครมองว่าตอนนี้เครียดมีสิ่งนี้อยู่เคียงข้างนะ ผมก็เอามาทำเป็นเพลงครับ ย้อนกลับไปที่เรามีความฝันอย่างหนึ่งคืออยากจะเข้าใจความรู้สึกของคน ถ้าเราเข้าใจความรู้สึกคนได้ จะมีประโยชน์มากๆ ในชีวิต ผมให้ค่ากับความรู้สึกมากๆ พยายามที่จะเข้าใจความรู้สึกของคน 

คอนเสิร์ตที่จำไม่ลืม

โมเมนต์ที่ประทับใจของผมคือผมจำได้ว่าตั้งแต่วันที่ไปเล่นแล้วมีคนดูไม่ถึงสิบคนที่ตั้งใจมาดู แค่ทุกคนร้องเพลงเราได้เราก็ดีใจแล้ว มาถึงตอนนี้ที่คนร้องเพลงเราได้ทั้งฮอลล์ ซึ่งความรู้สึกจากวันนั้นที่คนมาดูไม่ถึงสิบคนจนถึงวันที่คนร้องเพลงเราได้ทั้งฮอลล์ ถามว่ามันต่างกันไหม มันต่างกันอยู่แล้ว แต่ว่าสำหรับผมมันเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้คนมองว่าการที่ผมมีชื่อเสียงขึ้นแล้วจะเราจะอยู่ห่างจากแฟนเพลงอะไรแบบนี้ครับ 

เป้าหมายที่อยากไปให้ถึง

เป้าหมายของผมตอนนี้คือถ้าเป็นคำพูดง่ายๆ ก็คืออยากเห็นสังคมดีขึ้น อยากเห็นคนดีขึ้นจากตัวเขาเอง มีความสุขจริงๆ เพราะผมมีความเชื่อว่าถ้าเรามีความสุข ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง สังคมก็จะดีขึ้น เป้าหมายสูงสุดของผมคือทำอะไรก็ได้ที่อยากให้คนดีขึ้นในมุมของผม เพราะผมอยากให้สังคมดีขึ้น ซึ่งตอนนี้ผมก็ใช้เพลงในการถ่ายทอดและผลักดันสิ่งนี้ครับ

สิ่งที่อยากบอกแฟนเพลง

อยากจะบอกว่าที่ Mirrr มาได้ถึงทุกวันนี้เป็นเพราะแฟนเพลง หลายๆ ครั้งบางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราสื่อออกไปมันจะดีหรือไม่ดี ต่อให้เรารู้ว่าเราตั้งใจมากแค่ไหน แต่สำหรับคนฟังเราไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือกำลังใจจากคนฟัง เขาซัพพอร์ตเราเสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในจุดไหนก็ตาม จากจุดเริ่มต้นมาจนถึงทุกวันนี้ก็อยากจะขอบคุณมากๆ ครับ ขอบคุณที่ซัพพอร์ตมาตลอด ขอบคุณที่แวะมาหากันมาพูดคุยกัน และมาทักทายกันตลอด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีและมีค่ามากๆ ทำให้นักดนตรีหรือคนที่ประกอบอาชีพนี้มีกำลังใจในการทำงานต่อไปมากๆ แฟนเพลงก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ

 

 

TEXT : AuAi, ImJinah

PHOTO : สุเมธ วิวัฒน์วิชา

 

 

อัพเดตข่าวบันเทิงเอเชีย ซีรี่ย์เอเชียดาราเกาหลี ไอดอลเอเชียได้อีกเพียบที่สุดสัปดาห์ค่ะ

อัพ-เบลล์-ทะเล-มาร์ทเปิดใจทุกซอกทุกมุมเบื้องหลังจาก START-UP เวอร์ชั่นเกาหลีสู่เวอร์ชั่นไทย

พูดคุยกับ WOODZ ศิลปินเดี่ยวเกาหลีคนเก่งระดับ all rounder ที่จะทำให้รู้จักเขามากขึ้นในหลากหลายแง่มุม

Young K เปิดใจถึงการชาลเลนจ์อะไรใหม่ๆ บนเส้นทางบันเทิง เบื้องหลังออกรายการ Bam House และความทรงจำเกี่ยวกับเมืองไทย และไทยมายเดย์