หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านับวันพัฒนาการด้านดนตรีของ 4หนุ่มวงMEAN ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การจะประสบความสำเร็จ คงอาศัยเพียงแต่ฝีมือคงไม่ได้ แต่ต้องมีมิตรภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของวงด้วย
ย้อนอดีตกันหน่อยของ 4หนุ่มวงMEAN
โปเต้ : อย่างที่เราเคยเล่าให้ฟังว่า MEAN มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่พวกเรา 4 คนเรียนที่ธรรมศาสตร์ อยู่กันคนละชั้นปี คนละคณะ ผมเป็นพี่โตสุด รองลงมาก็จะเป็น พัด กับ ปาล์ม ส่วน กัน เป็นน้องเล็กสุด ที่เรามาเจอกันได้ก็เพราะเข้ามาอยู่ชมรม TU Folksong ด้วยกัน
ปาล์ม : แม้เราจะไม่ได้อยู่คณะเดียวกัน ไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ดนตรีเชื่อมเราให้มาเจอกัน ในชมรม พี่เต้ ผม พัด จะอยู่กลุ่มเดียวกันและรุ่นเดียวกัน พอผมต้องไปฝึกงานก็จะส่งไม้ต่อให้พัดเข้ามาช่วย ส่วนกันเป็นรุ่นน้องปี 1 และมีช่วงที่ทำวงดนตรีประกวดกับกัน ชวนไปล่ารางวัลตามเวทีต่างๆ พอถึงเวลาที่ทุกคนเรียนจบก็ต่างไปทำหน้าที่ของตัวเอง ไปดูแลกิจการที่บ้าน ทำงานประจำ พัดเป็นครูสอนกีต้าร์ ทำเพลงเอง ผมก็ทำเพลงประกอบโฆษณาและภาพยนตร์ เวลามีงานก็จะส่งให้กัน ชวนกันไปทำงาน ซึ่งเราสามคนไม่ได้สนิทกันนะ เหมือนเป็นเพื่อนร่วมสายงานมากกว่า (หัวเราะ)
โปเต้ : ส่วนผมหลังจากเข้าประกวดเอเอฟก็ห่างจากพวกเขายาวเลย พอหมดสัญญากับเอเอฟก็เคว้งเหมือนกันว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี จากนั้นก็เบนเข็มไปทำงานประจำเป็นนักเขียนนิตรสารสัตว์เลี้ยงเล่มหนึ่ง กระทั่งปาล์มชวนมาเล่นดนตรีคัฟเวอร์ อยากให้ผมมาเป็นนักร้อง เอาจริงผมตัดสินใจไม่นานครับ เพราะใจเราอยากทำเพลง ก็เลยลาออกและรวมตัวกันไปออดิชั่นตามค่าย จนผ่านเข้ามาเป็นศิลปินที่ค่าย LOVEiS
พัด : จากการเล่นดนตรีในวัยเรียนมันก็ทำให้เราสะสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ ค่อยๆ ก่อร่างความฝันให้มันเกิดขึ้นจริง กว่าเราจะผ่านแต่ละด่านมาถึงจุดนี้เส้นทางไม่ได้ราบเรียบเลย แต่พวกเราไม่เคยทิ้งความฝันที่อยากจะทำวงดนตรี สร้างเพลงให้คนฟัง จากวันที่เล่นดนตรีชมรม จนวันนี้เรามีเพลงเป็นของตัวเอง 6 เพลงแล้ว เวลาเราทำงานเราพูดกันน้อยลงแต่เข้าใจกันมากขึ้น ไม่ใช่ว่าไม่คุยกันนะ คือเราเข้าใจการทำงานโดยไม่ต้องพูดอะไรมากมาย คือหันไปมองกันก็เก็ตละ รู้ใจกันเลย
เส้นทางสายดนตรีและมิตรภาพที่ต้องเติบโตไปด้วยกัน
ปาล์ม : กว่าจะถึงวันนี้ก็หนักนะ ต้องปรับจูน คนที่หนักสุดคือพี่เต้ แรกๆ เรามีเรื่องกับพี่เต้หลายกรณีมาก คือเขาเป็นคนเซ้นสิทีฟ ขี้น้อยใจ แล้วผม กัน พัด สนิทคุ้นเคยกัน เลยเล่นกันแรง พูดแรงได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ซึ่งพี่เต้เข้ามาหลังสุดเลยยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมองค์กรไง
โปเต้ : ในบรรดา 4 คนผมเข้ามาหลังสุด ก็เลยเหมือนเรารู้จักสามคนนี้น้อยสุด ผมเป็นคนรู้สึกกับคำพูดได้ง่าย สามคนนี้เขามีอะไรพูดตรงๆ ซึ่งการที่เขาพูดแรง พูดตรง จริงๆ ก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่ผมเก็บกลับมาคิดตลอดเอง
ปาล์ม : อย่างผมเวลาคอมเมนต์พัดว่าแต่งเนื้อไม่ได้เรื่อง ยังไม่โอเค ผมก็จะบอกเลยว่า “พัดแต่งเนื้อห่วยว่ะ” ซึ่งพัดก็จะเก็ตว่าพูดกันแรงแบบนี้แหละไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่กับเต้พูดแบบนี้ไม่ได้เลย เขาจะคอตกทันที
โปเต้ : เขาจะระวังกันมากขึ้น หาคำที่ซอฟต์มาพูดกับผม ผมเองก็เข้าใจเพื่อนๆ มากขึ้น สำหรับวง MEAN การทำอาชีพนักดนตรีไม่ใช่แค่เราจะพัฒนาศักยภาพตัวเองเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ พวกเราต้องเรียนรู้ ปรับตัวเข้าหากัน เพราะต้องอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกันไปอีกนาน
เพลงของ MEAN ที่อินสุด
โปเต้ : เพลง ตัวแถม เป็นเพลงที่ผมอินสุด ผมรู้สึกว่าเป็นตัวแถมตั้งแต่เด็ก สมัยเด็กๆ เรารู้สึกเป็นตัวแถมในบางโมเมนต์ เคยสนิทกับเพื่อนคนหนึ่ง ผมน้อยใจที่เขาไปสนิทกับเพื่อนกลุ่มอื่น เราต้องติดสอยห้อยตามไปด้วย เหมือนเป็นตัวแถม
พัด : ทุกเพลงเลย ทุกเพลงเราก็จะหยิบแต่ละพาร์ตในแต่ละช่วงมาเล่า ช่วงมัธยม ช่วงมหา’ลัย
กัน : เพลง ผู้ชมที่ดี ครับ ผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก พอเราเป็นคนที่ด้อยกว่า เรายอมอยู่ในที่ของเราหรือยอมดูเขามีความสุข ดีกว่าการที่เขาไม่ได้มีเราอยู่ในสายตา มันเจ็บกว่าการที่คบแล้วเลิกอีกนะ
ปาล์ม : เพลง เป็นอดีต ตรงสุด ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่เรื่อยๆ
พัด : กว่าจะได้แต่ละเพลงเราคุยกันเอง จนต้องชวนคนอื่นมาคุยด้วย เพราะถ้าเราอยู่กับงานของตัวเองมากๆ มันจะจมแล้วเราจะเลือกเพลงไม่ได้ กระบวนการทำเพลงไม่โหดเท่ากระบวนการเลือกเพลง เราแต่งมาเยอะมาก เป็น 10 – 20 เพลง จึงต้องเอาไปให้ โปรดิวเซอร์ พี่ที่ออฟฟิศ LOVEiS แม่บ้าน ทีมงานกองถ่าย ช่วยฟังและคัดเลือก เพราะเราตั้งใจทำเพลงเพื่อคนฟัง อยากให้คนฟังทุกคนแฮ็ปปี้ด้วย
ปาล์ม : ผมดีใจหายเหนื่อยเลย เวลาทุกเพลงที่เราปล่อยออกมาแล้วแฟนเพลงให้การตอบรับดีมาก ทำให้เราต้องขยันมากขึ้น บางวันเลิกงานดึก เหนื่อยจากการโชว์ แต่ก็ต้องเข้าห้องอัด เหนื่อยนะ แต่สนุก และเรายังได้กำลังใจจากแฟนคลับ ทำให้เราอยากออกเพลงมาเรื่อยๆ ครับ
ติดตามข่าวที่น่าสนใจได้ที่นี่ค่ะ
The road song ของพี่น้องสายดนตรี ปาล์มมี่ – พี่ตูน บอดี้สแลม
คนหล่อขอทำดี ปี11 : ไมค์ – ภัทรเดช กลับขอนแก่นครั้งนี้สุขใจแบบคูณสอง
ช้อปมุ้งมิ้ง เสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกาประสาผู้หญิงกับ ฝน ศนันธฉัตร