10 ข้อคิดเกี่ยวกับการอ่านจากโครงการ “ ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ”
โครงการ “The Happy Read ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและผู้สนับสนุนโครงการที่บอกต่อ 10 ข้อคิดดีๆ จากการอ่านหนังสือให้เด็กๆ ไว้เพียบ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเดินหน้าสานต่อโครงการ “The Happy Readส่งความรู้ สร้างความสุข ปีที่ 2” อย่างเป็นทางการ ณ เวทีกลาง Hall 98-99 ไบเทคบางนา ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งหวังให้เด็กไทยได้มีโอกาสในการอ่านหนังสือมากขึ้น รวมถึงเป็นการปลุกพลังรักการอ่านให้เกิดกับเด็กไทย
โดยได้รับเกียรติจากคุณระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) คุณกมลนัย ชัยเฉนียน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และนายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาร่วมกล่าวเปิดโครงการ พร้อมด้วยดาราชื่อดัง เชียร์-ฑิฆัมพร ฤทธาอภินันท์, ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม และสื่อมวลชนอีกเพียบ
บรรยากาศการเปิดงานเต็มไปด้วยความชื่นมื่นจากผู้บริหาร ผู้สนับสนุน และเด็กๆ ในโครงการ “The Happy Readส่งความรู้ สร้างความสุข ปีที่ 2” ที่นอกจากจะมากล่าวถึงความสำเร็จของโครงการในปีที่ 1 ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2561 แล้ว ยังมีข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับการอ่านที่ฝากให้เด็กๆ และเยาวชนได้เก็บกลับไปคิดอีกเพียบ วันนี้เราจึงขอรวบรวม 10 ข้อคิดดีๆ จากการอ่านหนังสือที่ได้จากงานแถลงข่าวโครงการ “The Happy Readส่งความรู้ สร้างความสุข ปีที่ 2” มาฝากกันค่ะ
1.“การอ่านคือรากฐานอันสำคัญที่จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านการศึกษา การคิดวิเคราะห์ รวมถึงความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งการทำงาน และการใช้ชีวิต” : คุณระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งจากการติดตามผลของโครงการในปีที่ 1 ปรากฏว่า เด็กนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการกว่า 64% คิดเป็นนักเรียน 5,000 คนจากทั้งหมด 8,000 คนมีผลการเรียนที่ดีขึ้นในรอบปี ซึ่งนี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้ก่อตั้งและสนับสนุนโครงการเชื่อว่าการอ่านคือรากฐานอันสำคัญ
2.“การอ่านคือรากฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะการใช้ชีวิต ซึ่งจะเป็นวิถีที่ยั่งยืนของการอ่านในสังคมไทยต่อไป” : คุณกมลนัย ชัยเฉนียน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) อีกหนึ่งผู้สนับสนุนหลักของโครงการก็เชื่อว่าการอ่านคือรากฐานสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตของเด็กๆ ในอนาคต ซึ่งทำให้ทางบริษัทสนับสนุนโครงการนี้ต่อเนื่องมาถึง 2 ปีติดต่อกัน
3.“หลายคนชอบพูดกันบอกว่า การปฏิรูปการศึกษาของเด็กสมัยใหม่คือ ต้องสอนให้เด็กคิดเป็น โดยหารู้ไม่ว่าไม่มีทางคิดเป็นถ้าไม่มีข้อมูลในหัวเยอะ สกิลทักษะการคิดไม่ได้เกิดจากการเรียนแค่ทักษะอย่างเดียว” : นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เห็นข้อคิดเกี่ยวกับการอ่านไว้หลายข้อด้วยกัน หนึ่งในนั้นท่านเปิดด้วยการแก้ความเข้าใจที่หลายๆ คนมักบอกว่า ต้องสินให้เด็กคิดเป็น แต่ก่อนที่เด็กจะคิดเป็น เด็กต้องเริ่มจากการอ่านก่อน ซึ่งเมื่อเด็กมีความรู้ก็จะสามารถต่อยอดในการคิดวิเคราะห์ออกมาได้ นอกจากนี้ยังข้อคิดจากรัฐมนตรีด้วยกัน ดังนี้
4.“คนเก่งทุกคนบนโลกเป็นคนอ่านหนังสือเยอะทั้งนั้น” ท่านรัฐมนตรียกตัวอย่างบุคคลสำคัญระดับโลกที่หลายคนเรียกว่า คนเก่งที่สร้างผลงานจนเป็นที่จดจำไปทั่วโลกมากมายต่างก็เป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะกันทั้งนั้น เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, ริชาร์ด ไฟน์แมน, วินสตัน เชอร์ชิล โดยเฉพาะริชาร์ด ไฟน์แมน ซึ่งถือเป็นไอดอลในดวงใจของท่านรัฐมนตรีที่ท่านบอกเลยว่า อ่านเยอะถึงขั้นที่ว่าลืมไปงานรับรางวัลโนเบลของตัวเองเลยด้วย
5.“อ่านให้มากแต่ต้องเลือก วิธีอ่านหนังสือที่เร็วที่สุดไม่ใช่การอ่านลวกๆ คร่าวๆ แต่เป็นการตัดสินใจว่าจะไม่อ่านตั้งแต่แรก” สาเหตุที่ท่านรัฐมนตรีกล่าวว่า วิธีการอ่านหนังสือที่เร็วที่สุดคือ การตัดสินใจว่าจะไม่อ่านตั้งแต่แรก เป็นเพราะหนังสือบางเล่มเป็นหนังสือที่ไม่ควรอ่าน ไม่ว่าจะก่อน-หลังอ่านก็ไม่ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น แถมบางเรื่องอ่านแล้วทำให้จิตใจย่ำแย่กว่าเดิมอีกด้วย ดังนั้น การอ่านหนังสือไม่ใช่แค่อ่านให้เยอะอย่างเดียว แต่ต้องเลือกอ่านด้วย ซึ่งสอดคล้องกับการทำงานของโครงการ “The Happy Readส่งความรู้ สร้างความสุข” ที่มีการคัดสรรหนังสือเป็นอย่างดี ให้เหมาะสมกับเยาวชน (อ่านข่าวรายละเอียดของโครงการเต็มๆ ต่อได้ที่นี่)
6. “อ่านหนังสือเป็นเล่มๆ” ท่านรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ มากกว่าการหนังสือในแท็บเล็ตหรืออีบุ๊คส์ต่างๆ โดยท่านได้อธิบายว่ามีการศึกษาเปรียบเทียบพบว่า หากอยากอ่านให้ได้คิด อ่านแล้วลึก จำได้ เข้าใจได้ หนังสือเป็นเล่มๆ ดีกว่า เพราะเด็กที่อ่านหนังสือจาก E-Reader จะเล่นอินเทอร์เน็ตไปด้วย ทำให้เสียสมาธิ ความจำ ความเข้าใจน้อยกว่าอ่านหนังสือเป็นเล่ม อีกทั้งเด็กที่อ่านหนังสือเป็นเล่มจะมองความสำคัญของ 2 สิ่งนี้ไม่เท่ากัน คนที่อ่านจากอินเทอร์เน็ตจะมองว่านี่เป็น “Storage Device” คือคลังข้อมูลที่จะกลับมาอ่านใหม่เมื่อไรก็ได้ ยังไม่ต้องจำทันที แต่คนที่อ่านหนังสือเป็นเล่มๆ จะมองว่า หนังสือคือ “Teaching Device” เป็นครูที่ให้ความรู้อัดแน่นมากกว่า และไม่ฉาบฉวยเหมือนการอ่านในอินเทอร์เน็ต
7.“หนังสือช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ดีที่สุด การปฏิรูปการศึกษาที่ดีที่สุด” อีกหนึ่งแนวคิดสำคัญจากท่านรัฐมนตรีที่มองว่า เครื่องมือที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และปฏิรูปการศึกษาได้ดีที่สุดคือ การอ่านหนังสือ เพราะทำให้เด็กๆ มีโอกาสลืมตาอ้าปาก เจอกับโลกภายนอก รู้อะไรมากขึ้น รู้โลกภายนอกมากขึ้นจากการอ่าน แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้ออกไปเจอของจริงก็ตาม
8.“โรงเรียนที่ดีคือโรงเรียนที่เน้นการอ่าน ไม่ใช่โรงเรียนที่มีอีบุ๊คส์” ท่านรัฐมนตรีกล่าวว่า โรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับท่านคือโรงเรียนที่เน้นการอ่านให้กับหนังเรียน ไม่ใช่การที่โรงเรียนมีเทคโนโลยี อีบุ๊คส์ตามที่ท่านได้กล่าวไว้แล้วว่า ให้สำคัญกับการอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ มากกว่า
9.“หนังสือรวมโลกหลายๆ ใบไว้ในที่เดียว” : เชียร์-ฑิฆัมพร ฤทธาอภินันท์ อีกหนึ่งดาราที่มีส่วนร่วมกับโครงการ “The Happy Readส่งความรู้ สร้างความสุข” มาตั้งแต่ปี 1 ซึ่งในงานเชียร์ก็ได้ให้ข้อคิดไว้ด้วยว่า สำหรับเชียร์มองว่าหนังสือเป็นที่ๆ รวมโลกหลายๆ ใบเอาไว้ เพราะถ้าหากเราอยากไปอวกาศก็มีหนังสือดาราศาสตร์ให้อ่าน อยากรู้ชีวประวัติของบุคคลสำคัญก็สามารถหาอ่านจากหนังสือได้ เพราะเราเกิดไม่ทันทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว แต่เราโชคดีที่มีหนังสือทำให้เรารู้เรื่องต่างๆ ได้นั่นเอง
10.“หนังสือคืออาหารสมอง” : ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม ก็มาร่วมให้ข้อคิดดีๆ ในวันแถลงข่าวเปิดโครงการปีที่ 2 ด้วย ซึ่งข้อคิดสั้นๆ ของณัฏฐ์ขอเปรียบกับร่างกาย เพราะหากร่างกายต้องการอาหาร เพื่อให้เกิดประโยชน์กับร่างกาย หนังสือก็คงเป็นอาหารสมองและอาหารจิตใจของคนเรา เพราะเมื่อเรามีความรู้เยอะ มีสติปัญญา เรามีความคิดที่ดีมากขึ้น ซึ่งเมื่อเราคิดดี จิตใจของเราก็จะดีมากขึ้น การอ่านไม่ใช่อ่านให้เยอะอย่างเดียว แต่ต้องอ่านให้มีคุณภาพที่สุดด้วย
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามบทความสั้นๆ เคล็ดลับการอ่านอื่นๆ รวมถึงประมวลภาพความสำเร็จของการปลุกพลังการอ่านและกิจกรรมการลงพื้นที่โรงเรียนต่างๆ ในหลายจังหวัดทั่วประเทศได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปีผ่านช่องทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ “The Happy Read” และเว็บไซต์ TheHappyRead.com
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้ที่นี่
ร้านนายอินทร์ จับมือ นครชัยแอร์ เปิดตัวโครงการ “Read Around อ่านฟรี E-Book 24 ชั่วโมง”
อมรินทร์ จับมือ ไทยเบฟเวอเรจ เปิดตัวโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2”
ส่องความสำเร็จโครงการ ส่งความรู้ สร้างความสุข ปีที่ 1 ก้าวสู่ปีที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม