Be Mine SuperStar, พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, Be Mine SuperStar พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst

จา-เฟริสท์ แย้มเบื้องหลังกองถ่ายทำซีรี่ย์เรื่อง Be Mine SuperStar และการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง

Alternative Textaccount_circle
event
Be Mine SuperStar, พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, Be Mine SuperStar พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst
Be Mine SuperStar, พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, Be Mine SuperStar พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst

ถ้าพูดถึงซีรี่ย์ที่หยิบมาจากนิยายชื่อดังแล้วมีแฟนๆ รอคอยมากมาย หนึ่งในนั้นก็ต้องมีซีรี่ย์เรื่อง Be Mine SuperStar (พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง) ที่กำลังออกอากาศทางช่อง 3 อยู่ทุกคืนวันจันทร์เวลา 22.45 น. ซึ่งพอนิยายถูกหยิบเอามาถ่ายทอดเป็นซีรี่ย์ก็ได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดีจากผู้ชมเลย ยิ่งได้สองนักแสดงนำที่เคยร่วมงานกันมาแล้วอย่างจา พชร และเฟริสท์ ฉลองรัฐ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเคมีเคใจเลยจ้า

สุดสัปดาห์ก็แอบได้ไปพูดคุยกับจาและเฟริสท์ถึงการทำงานในซีรี่ย์เรื่องนี้ว่าเบื้องหลังการถ่ายทำเป็นยังไง รวมถึงเรื่องการกลับมาร่วมงานกัน แล้วยังได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ชื่อดังอีกหลายคนด้วย

Be Mine SuperStar, พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, Be Mine SuperStar พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst

พูดคุยกับ จา-เฟริสท์ กับบทบาทใหม่ในซีรี่ย์เรื่อง Be Mine SuperStar

เริ่มด้วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะว่าซีรี่ย์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร

จา : เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของนักศึกษาคนหนึ่งที่มีพี่พระเอกคนหนึ่งอยู่ในดวงใจตั้งแต่เด็กครับ จนวันหนึ่ง เขาได้มีโอกาสได้เข้าไปทำงานใกล้ชิดกับพี่พระเอก เขาเลยรู้สึกว่านี่แหละโอกาสของเขาที่จะทำให้พี่พระเอกรู้สึกประทับใจได้ ซึ่งจะบอกว่าแค่ฟังชื่อก็ต่างกันแล้วเนอะ เป็นพี่พระเอกกับนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งเรารู้สึกว่าเขาอยู่ห่างไกลกับเรามาก ตัวละครที่เราเล่นจะฟีลเด็กหมา แล้วเขาเหมือนดาวที่อยู่บนโลก รู้สึกว่าห่างไกลกันเหลือเกิน อะไรอย่างนี้ครับ

ก็คือเหมือนฟีลสุภาษิตสำนวนไทยอะไรแบบนี้ใช่มั้ยคะ

จา : ใช่ครับ เป็นเหมือนคำเปรียบเทียบอะไรอย่างนี้ครับ เพราะว่าสุดท้ายแล้ว เด็กหมาจะสามารถพิชิตหัวใจพี่พระเอกได้หรือเปล่า ก็ต้องรอดูครับ

พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst
แล้วคาแร็กเตอร์ที่แต่ละคนได้รับเป็นยังไง เป็นคนนิสัยแบบไหน

จา : คาแร็กเตอร์ที่ผมได้รับในเรื่อง Be Mine Superstar คือรับบทเป็นปัณณ์ครับ ปัณณ์จะเป็นเด็กหมา ในชื่อเรื่องครับ จะมีความยุกยิกๆ มีความเป็นเด็กครับ คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น เขาจะมีความเหมือนโกลเด้นครับ ที่คอยอ้อนเจ้าของ อะไรอย่างนี้ครับ ซึ่งอย่างที่บอกครับเขามีพี่อชิต์เป็นไอดอลมาตั้งแต่เด็กๆ

เฟริสท์ : ตัวคาแร็กเตอร์ของเฟริสท์คืออชิต์ครับ อชิต์จะเป็นนักแสดงในวงการบันเทิง เขาเรียกว่าเป็นพระเอก และเป็นซูเปอร์สตาร์ครับ เขาก็จะมีคาแร็กเตอร์ที่นิ่งๆ ขรึมๆ ด้วยความที่เขาโต และด้วยอุปนิสัยของเขา เขาจะเป็นคนที่นิ่งๆ คิดก่อนค่อยทำ การสื่อสารของเขาส่วนใหญ่จะอยู่ทางสีหน้าและแววตามากกว่าที่จะพูดหรือว่าทำอะไรบางอย่างให้เห็นชัดมากๆ ครับ ตัวพี่พระเอกเขาจะเป็นแบบนี้ตลอดไป ฉะนั้นมันจะต้องมีคนที่มาทำให้เขาเปลี่ยนไป ต้องรอดูว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน และเขาจะลงเอยกันได้เมื่อไรครับ

ถ้าดูตอนแรกๆ อาจจะเอ๊ะ! ดูไม่มีความเป็นไปได้ที่ตัวอชิต์จะเปลี่ยนไปใช่มั้ยคะ

เฟริสท์ : ใช่ เพราะเขาไม่สนใจเลย เพราะว่าด้วยความที่เขาโฟกัสแต่เรื่องงาน เรื่องงานคือที่หนึ่งสำหรับเขา เขาเลยไม่ได้โฟกัสเรื่องอื่นว่ามีคนชอบเขาหรือเปล่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำครับ แต่ว่าหลังจากอีพี 3-4 เขาจะเริ่มรู้แล้ว เดี๋ยวเพื่อนรอบตัวเขาจะเริ่มมาบอก หรือว่าตัวปัณณ์จะเริ่มเข้าหาหนักๆ จนเราเริ่มเอ๊ะ! นิดหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่รู้ เดี๋ยวต้องรอดูต่อไปเรื่อยๆ ครับ

ถ้าพูดถึงบทที่เราได้รับในเรื่องนี้กับตัวเอง มีความเหมือนหรือแตกต่างอย่างไรบ้างคะ

จา : ถ้าพูดถึงความเหมือน ผมจะรู้สึกว่าเขาจะเหมือนผมเวลาอยู่กับเพื่อนที่แบบสนิทกันมากๆ ครับ จะมีความแบบกวนๆ กับเพื่อนของผมจะมีความเล่นแบบแหย่ๆ เล่นแบบปัณณ์ อะไรอย่างนี้ครับ ส่วนความต่างคือปัณณ์เขาจะมีความยุกยิกๆ ตลอดเวลา เขาจะมีความแบบคิดอะไรก็พูดแบบนั้น คิดหรือพูดคนเดียวบ้าง รู้สึกว่าเขาขยับตัวตลอดเวลาเลย ซึ่งผมรู้สึกว่าถ้าเป็นมุมมองในตัวเรา เราไม่ได้เป็นถึงขั้นแบบปัณณ์ครับ

เฟริสท์ : จริงๆ ผมว่าค่อนข้างจะแตกต่างจากตัวจริงของผม เพราะว่าผมเป็นคนที่ร่าเริง ผมรู้สึกว่าถ้าเกิดผมได้รับบทปัณณ์ จะดูง่ายสำหรับผมมาก แต่ว่าพอได้รับบทอชิต์ปุ๊บ มันค่อนข้างที่จะตรงกันข้ามกับเรามากๆ ผมไม่ใช่คนนิ่งๆ คิดเยอะ คิดก่อน แล้วก็ประมวลผลซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วก็เอาออกมาแค่นิดเดียว แต่ผมเป็นคนที่คิดแล้วก็ปล่อยมันออกมาเลย ค่อนข้างต่างกับตัวผมมาก

แต่ว่าพอเราได้ทำงานได้เวิร์กกับตัวอชิต์ไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่า เอ๊ย! ความนิ่งของอชิต์ก็คืออีกมุมหนึ่งของตัวเรา เลยกลายเป็นความเหมือนในตัวผมกับตัวอชิต์ ซึ่งความนิ่งตรงนี้ อชิต์เป็นคนให้คาแร็กเตอร์ความนิ่ง ความขรึม ความมีมาด เป็นสิ่งที่อชิต์ให้ผมมาหลังจากได้เล่นบทนี้ครับ ซึ่งช่วงหลังๆ เลยเหมือนเราคาแร็กเตอร์เหมือนกันครับ

พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst
เหมือนเราได้เรียนรู้จากการแสดงจากบทบาทนี้

เฟริสท์ : ใช่ แล้วก็เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้นะครับ แบบสมมติว่าเราเจอผู้ใหญ่หรือคุยกับพี่แบบนี้ ก็เหมือนทำให้เราดูนิ่งขึ้น สุขุมขึ้นในแง่ของพาร์ทการทำงาน เหมือนกับว่าเราสามารถใช้มุมนี้ในการทำงานได้ รวมถึงในการเจอผู้ใหญ่ และการทำอะไรต่างๆ มากมายที่จะต้องมีเรียบร้อยและดูมีความสุภาพ อะไรอย่างนี้ครับ

อย่างที่จากับเฟริสท์บอกว่าคาแร็กเตอร์ที่ได้รับในเรื่องนี้มีความแตกต่างจากตัวเอง มีการทำการบ้านหรือไปเวิร์กยังไงบ้างเพื่อถ่ายทอดบทบาทนี้ออกมา

จา : จริงๆ ด้วยตัวละครแตกต่างจากผมมาก ฉะนั้นเราก็ค่อนข้างที่จะเวิร์กกับมันค่อนข้างที่จะเยอะเหมือนกัน อย่างแรกเลยก็คือไปดูแบ็กกราวนด์ของตัวละครแหละครับ ว่าตัวละครเป็นมาอย่างไร ลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร โดยพื้นฐานก่อน แล้วก็มีเวิร์กช็อปกันเยอะมาก เวิร์กช็อปกับผู้กำกับ เพื่อหาว่าเรารู้จักปัณณ์อย่างไร แล้วเราจะถ่ายทอดความเป็นปัณณ์ออกมาจากตัวแสดงได้อย่างไร จากตัวเราให้คนรู้สึกว่า เออ นี่คือปัณณ์นะ เราก็เวิร์กช็อปหนักมากๆ แล้ว read through บท เยอะเหมือนกันครับ

เฟริสท์ : ของผมก็อย่างที่จาบอก คือเราสองคนพอเป็นตัวหลักในเรื่องนี้ครับ เราต้องเวิร์กหนักกับตัวละครมากๆ ด้วยความต่างมากๆ ของตัวละครกับตัวเรา ของผมจะมีการไปดูสัตว์อย่างม้าครับ เพราะม้าจะมีมาดแบบเราจะรู้สึกว่าม้าดูสง่าโดยธรรมชาติ ก็หยิบเอามาใช้กับตัวละครนี้ได้ เราก็ดูการเคลื่อนไหวของม้า การยืน การขยับตัว การวิ่ง ทำไมทุกอย่าง ทุกอิริยาบถถึงดูสง่าจัง อันนี้เราก็เอามาในหนึ่งพาร์ทของสัตว์ครับ

แล้วก็อีกหนึ่งพาร์ทคือเราก็ไปสังเกตคนครับว่าทำไมคนๆ หนึ่งที่อาจจะอายุเท่ากัน แต่ทำไมคนนี้ดูโตจังเลย เท่าที่ผมดูคือเขามีความนิ่ง กว่าเขาจะพูดออกมาได้คือเขาต้องคิดก่อน แล้วเขาไม่ได้อยากทำอะไรก็ทำเลย เขาจะมีความนิ่ง ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

หรือว่าอาจจะปรึกษาพี่ผู้กำกับ เขาจะให้คำแนะนำที่ค่อนข้างจะดีครับ อย่างเช่น เวลาเราเข้าไปในกอง พี่ผู้กำกับเขาจะย้ำเสมอกับผมว่าเป็นอชิต์ ทุกๆ การกระทำตั้งแต่ก้าวเข้ามาในกองเลย คือเขาจะไม่ให้ผมแบบ โอเค เราเป็นเฟริสท์อยู่ เราเข้าไปในกองแล้วเป็นตัวเฟริสท์นี่แหละ พอ 3 2 1 แอ็คชั่น ปุ๊บ ให้สวิตช์เป็นอชิต์ เขามองว่าไม่เอาแบบนี้ เพราะว่าเขารู้สึกว่าทำให้ตัวเฟริสท์เหนื่อย เดี๋ยวก็ต้องสลับเป็นเฟริสท์ เดี๋ยวก็ต้องสลับเป็นอชิต์ ฉะนั้นเราเป็นอชิต์ไปเลยตั้งแต่ก้าวขาเข้าไปในกอง แรกๆ อาจจะเหนื่อย แต่หลังๆ จะทำให้เราชิน แล้วเรารู้สึกว่า เอ๊ย! มันง่าย เราไม่จำเป็นต้องสวิตช์ทุกครั้งที่เข้าซีนอะไรอย่างนี้ครับ

แล้วเขาก็จะคอยมาเตือนทุกครั้งที่ผมหลุด แบบแอบเผลอคุยสนุกอะไรอย่างนี้ครับ ผมอยากจะบอกว่าจริงๆ ที่นี่ทำงานค่อนข้างเป็นระบบเป็นระเบียบ เขาจะวางไว้แล้วว่าฝึกอันนี้แล้วจะเหมาะสำหรับผม แล้วสิ่งนั้นก็ใช้ได้ในเรื่องของการทำงาน เขาก็เลยแบบ โอเค งั้นวางให้เฟริสท์เป็นอชิต์ตั้งแต่อยู่ในกองเลย มันจะได้ไม่ยาก แล้วก็ไม่หลุดออกจากตัวละครครับ

พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst
เหมือนให้เราอินกับตัวละคร จะได้แบบแสดงออกมาเป็นธรรมชาติ

เฟริสท์ : ใช่ครับ จะได้ชิน อยู่ในกองก็คือเป็นตัวละครเลย เวลาคุยกับเพื่อน เขาก็จะขอให้แบบน้อยหน่อย คุยได้ แต่ถ้าอย่าคุยแล้วหลุด คือผมรู้สึกโอเคตรงที่เขาพูดตรงดีนะ เราจะได้รู้เลยว่าความต้องการของเขาคืออะไร แล้วผมก็โอเค รู้สึกว่าสิ่งนี้ถูกต้องเลยและรู้สึกว่าเป็นมืออาชีพดีครับ

มาถึงการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของจากับเฟริสท์บ้าง ทั้งสองคนเคยร่วมงานกันมาก่อน แล้วการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง

จา : ก็รู้สึกสนุกครับ บทนี้เป็นในบทบาทใหม่ที่หลายๆ คนอาจจะไม่เคยเห็นเราในมุมมองหรือภาพในการแสดงแบบนี้เลย ซึ่งคาแร็กเตอร์เราก่อนนี้จะเป็นคาแร็กเตอร์นิ่งๆ แต่ว่าคาแร็กเตอร์นี้เป็นคาแร็กเตอร์ที่ค่อนข้างพลิกจากที่ทุกคนเคยเห็นเหมือนกัน ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ตื่นเต้น แล้วเราก็ทำงานด้วยกันมาเยอะเหมือนกันครับ

เฟริสท์ : อย่างที่จาบอกครับ คือต้องพูดก่อนว่าเราห่างจากการแสดงร่วมกันแบบเป็นตัวหลักคู่กันมาน่าจะเป็นปีแล้ว พอกลับมาเป็นตัวหลักอีกครั้งหนึ่ง ตอนแรกนึกว่าจะยาก คือโอเคเราเข้ากันได้ดี มันง่ายมาก เพราะว่าเราทำงานด้วยกันมาค่อนข้างบ่อยแล้วก็ทำงานด้วยกันมานาน แต่ว่าสิ่งที่ยากคือเรื่องของบทและบทละคร ฉะนั้นผมเลยรู้สึกว่าเราไม่ได้กังวลเรื่องของการเข้ากันของเราสองคน แต่ผมกังวลเรื่องของบทละครมากกว่า มันเลยโอเคที่เรื่องของการทำงานด้วยกันไม่ได้ยากขนาดนั้น

ปกติทั้งคู่มีวิธีการปรับเคมีกันอย่างไรบ้าง

จา : ผมไม่ได้ปรับเลยครับ หมายถึงว่าเรื่องของเคมีไม่ได้ปรับ แต่ปรับเรื่องของคาแร็กเตอร์ตัวละครมากกว่า เหมือนในการเวิร์กช็อปก็จะปรับไปในตัวอยู่แล้ว ทั้งตัวเราทั้งตัวละคร ถ้าเกิดบอกว่าผมมีวิธีไหนที่จะปรับในเรื่องของเคมี ก็คือไม่มีครับ เพราะว่าเราไปเวิร์กช็อปกัน ก็เหมือนแบบเป็นการปรับอยู่แล้วครับ

พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst

เฟริสท์ : ใช่ ผมคิดแบบเดียวกับจา เราเข้ากันได้อยู่แล้วในพาร์ทของชีวิตจริง แต่ว่าในพาร์ทของการแสดง พอเราสองคนไปเวิร์กช็อป เรารู้หน้าที่ของตัวละครแต่ละตัวแล้ว เรามีหน้าที่แสดงความเป็นตัวละครตัวนั้นออกไป โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าอีกฝ่ายเขาจะทำอะไร เพราะว่าในชีวิตจริงเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรใช่ไหมครับ เราก็แค่แสดงในหน้าที่แล้วก็บทบาทของเราอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว แล้วก็จะเข้ากันได้ดีโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าเราเวิร์กด้วยกันบ่อยครับ

แล้วถ้าย้อนกลับไปตอนที่เจอกันครั้งแรก ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีภาพจำอะไรต่อกันยังไง

จา : รู้สึกว่าเขาก็เป็นเฟริสท์เหมือนทุกวันนี้ครับ มีความน่ารัก แต่ตอนเจอครั้งแรกเขาก็เป็นคนนิ่งๆ อยู่นะ

เฟริสท์ : จาดูโตครับ ดูโตมาก อาจจะด้วยสรีระ แต่ผมว่าด้วยการแสดงออกบางอย่าง ก็ส่งเสริมทำให้ดูโตเหมือนกัน เพราะว่าเขาก็จะมีนิ่ง เขาเหมือนอชิต์มาก

เหมือนในซีรี่ย์สลับคาแร็กเตอร์กัน

เฟริสท์ : ใช่ เหมือนสลับคาแร็กเตอร์กัน ซึ่งผมก็ โอ้! ดูโตจัง ต้องได้แสดงกับรุ่นพี่แน่ๆ แต่จริงๆ เขาก็เป็นคนที่ขี้เล่นนะ ถ้าเขาอยู่กับเพื่อน เขาก็เป็นคนที่สนุกเลย ซึ่งตอนนี้ก็โตจากตอนนั้นมาก ความคิดก็โต เรื่องของการทำงานก็เติบโตขึ้น เหมือนเราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เอาจริงๆ เราอาจจะไม่ทันได้สังเกตว่าเราโตต่างจากเมื่อก่อนมากแค่ไหน แต่ผมว่าเราผ่านหลายอย่างมา เราโตจากวันแรกมาก ถ้าเราย้อนกลับไปดูวิดีโอวันแรก จะเห็นว่าปัจจุบันโตกว่าตอนนั้นเยอะเลยนะครับ

ถ้าลองนับๆ ดูรู้จักกันมากี่ปีแล้วคะ

เฟริสท์ : สามหรือสี่ปี ประมาณนั้นครับ

พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst
ถือว่ารู้จักกันมาหลายปีแล้วเนอะ รีวิวอีกฝ่ายหน่อยว่าเป็นคนยังไง มีเรื่องอะไรที่คนไม่รู้ เม้าท์ให้ฟังหน่อยค่ะ

เฟริสท์ : ผมว่าเขาเป็นคนที่ปล่อยมุกเก่ง น่าทึ่งอย่างหนึ่งก็คือถ้าสมมติว่าเขาให้เล่นซีนๆ หนึ่ง มีไดอะล็อกมา แต่พอจบไดอะล็อกแล้วบางทีเขาให้เรา improvise ผมจะไม่ค่อยถนัดเท่าไร แต่ผมรู้สึกทึ่งจาตรงที่เขาจะมีมุกแบบน่ารักๆ ตลอด อย่างเช่น ไหนลองแกล้งให้เฟริสท์ยิ้มสิ ถ้าสมมติคนให้ผมทำให้จายิ้ม ผมจะนึกไม่ออก เพราะ improvise ยากมาก แต่เขาจะเป็นคนกล้าเล่นกล้าทำ หรือแบบกล้าหยอกในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรอย่างนี้ครับ

หรือเวลาที่เขาอยู่กับเพื่อน เขาก็จะเป็นหัวโจกในการทำอะไรสนุกๆ ค่อนข้างจะเป็นตัวเขาในอีกโหมดหนึ่ง ในพาร์ทการทำงานก็จริงจังมาก แล้วก็จะมีเรื่องการหาความรู้ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาสามปี ผมเห็นเขาอ่านหนังสือเยอะเหมือนกัน ในขณะที่ตัวผมสามปีที่รู้จักกัน ผมยังไม่เคยเปิดหนังสือดู หรือว่าเปิดหนังสืออ่านเลย ส่วนใหญ่ผมก็ไถโซเชียล และเล่นเกมครับ (หัวเราะ) ผมชอบ TikTok เพราะว่าดูเพื่อความบันเทิงด้วย แต่บางอย่างก็มีความรู้บ้าง ไม่มีบ้าง ของผมอาจจะสายชอบฟัง ชอบดู ถ้าเป็นสายอ่านผมอาจจะไม่ค่อยถนัดเท่าไร

จา : จริงๆ ผมก็ดูหมดนะครับ ทั้งอ่านหนังสือและดูพวกคลิป แต่เหมือนในหนังสือจะมีแบบอย่าง เช่น งานวิจัย อะไรอย่างนี้ มันสามารถวัดผลได้ ผมก็เลยอ่านหนังสือควบคู่ไปด้วย ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่หนังสือแบบจริงจังมาก บางทีเป็นหนังสือแบบอ่านทั่วๆ ไป ครับ แล้วแต่อารมณ์และความอยากรู้ ณ ตอนนั้นเลยว่าอยากรู้เรื่องอะไรครับ

ถึงคิวจา ให้จารีวิวเฟริสท์บ้าง

จา : เขาก็เหมือนวันแรกที่เจอกันครับ แต่ก็เห็นความเติบโตของเขาในแต่ละเรื่องที่ผ่านมาครับ ผมว่าเฟริสท์ก็เหมือนเดิม น่ารักเหมือนเดิมอย่างที่ทุกคนเห็นครับ

พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst
มาพูดถึงการถ่ายทำในเรื่องนี้บ้าง ตอนเข้ากองนี้ครั้งแรก บรรยากาศเป็นอย่างไร

เฟริสท์ : ผมจำซีนแรกได้ ซีนแรกคือซีนที่ยากที่สุด เอ๊ะ! ไม่แน่ใจ แต่ว่าความทรงจำผมรู้สึกว่าซีนแรกคือซีนที่ยากที่สุด คือซีนที่เปิดตัวอชิต์แล้วก็โดนจ่อด้วยอาวุธ ซีนนี้เป็นซีนที่ยากมากครับ เพราะว่าเหมือนพี่ผู้กำกับเขาจะค่อนข้างสตริกต์กับซีนนี้มาก เพราะเป็นซีนเปิดตัวละครอชิต์แล้วก็ตัวเพื่อนๆ ครับ เขาก็จะซ้อมซีนนี้ในห้องซ้อมบ่อยมาก เป็นทั้งซีนอารมณ์ โดยในซีนจะทั้งหมดมีสามคนครับ สองคนเป็นแบบอารมณ์จ๋าๆ เลย ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคอมเมดี้ ฉะนั้นต้องแบบทำให้ซีนออกมาลงตัวให้ได้ เขาก็จะซ้อมนี้ซ้อมหนักมาก เป็นสิบๆ รอบครับ แล้วซ้อมจริงตลอด

พอมาถึงวันแรก ตื่นเต้นมากครับ ผมเป็นคนที่ตื่นเต้นกับทุกอย่างครับ อะไรที่เริ่มหนึ่งใหม่ ผมจะตื่นเต้น ไม่ว่าจะผ่านงานมาเท่าไรแล้วก็ตาม ถ่ายซีรี่ย์เรื่องใหม่ก็ตื่นเต้น ถ่ายครั้งแรกก็ตื่นเต้น แต่ว่ามันเป็นข้อดีที่เราได้ซ้อมเยอะๆ ทำให้ถ่ายทำโฟล เราไม่ต้องคิดเยอะ ไปถึงเราใส่เป็นตัวละครไปเลย

จา : ผมจำซีนแรกไม่ได้นะ แต่จำความรู้สึกได้ว่าเป็นความตื่นเต้นมาก เพราะเป็นผลงานเรื่องใหม่ที่เป็นคาแร็กเตอร์ใหม่ ซึ่งเราไม่รู้ว่าเราจะสามารถถ่ายทอดอย่างที่ผู้กำกับต้องการได้หรือเปล่า มันจะมีความประหม่า ความตื่นเต้น ความกลัวผิดกลัวถูก อะไรอย่างนี้ครับ

แต่เมื่อเราซ้อมมาแล้ว พอมาถึงวันจริง เราก็แสดงแบบที่เราได้เหมือนทำการบ้านมา ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผมจำได้ประมาณสามซีนแรกของวันถ่ายวันแรกว่ารู้สึกตื่นเต้น พอหลังจากนั้นก็รู้สึกว่าเราเริ่มโฟลแล้ว เราพอจับทางตัวปัณณ์ได้แล้วว่าจะไปในทิศทางไหน เขาจะรู้สึกอย่างไร แสดงออกมาอย่างไรครับ

Be Mine SuperStar, พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, Be Mine SuperStar พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst
แล้วปกติบรรยากาศในกองเป็นอย่างไร สนุกสนานเฮฮาไหม

เฟริสท์ : เอาจริงๆ แล้วผมว่าบรรยากาศในกองสนุก สนุกอยู่แล้วด้วยตัวจา เพราะว่าจาก็สนุกกับเพื่อนๆ ได้ แต่ผมเป็นคนแบบไม่เชิงอมทุกข์ แต่ต้องคีปคาแร็กเตอร์ ตอนแรกเราก็รู้สึกอยากสนุกไปกับเพื่อน แต่ด้วยงาน ถ้าเราคีปคาแร็กเตอร์จะส่งผลดีกับงาน เราก็ทำจนชิน เราทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกว่า เอ๊ย! โอเคนะ อาจเพราะว่าผมเป็นคนสตริกต์กับงานมาก

ผมรู้สึกว่าการที่เราจะทำอะไรชิ้นหนึ่ง สิ่งนั้นก็เป็นโกลอีกหนึ่งอย่างของการเป็นนักแสดงที่ดี หรือว่าการเป็นมืออาชีพในการแสดง ซึ่งจุดนี้เป็นโกลในชีวิตผมเหมือนกัน ผมรู้สึกว่า ไหนๆ ก็ทำแล้ว ก็ไปให้สุดเลย หมายถึงเขาให้เราเป็นคาแร็กเตอร์ ก็เอาเลย คีปคาแร็กเตอร์ไปเลย อยากรู้เหมือนกันว่า การแสดงมีอะไรบ้าง จะไปสุดได้แค่ไหน

ผมเคยเห็นดาราต่างชาติที่เขาอินกับตัวละครมากๆ ผมเคยรู้สึกว่าเป็นไปได้เหรอ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร คือผมไม่รู้หรอกว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าผมได้สัมผัสมัน ก็คงเป็นสีสันหนึ่งของการเป็นนักแสดง ซึ่งผมพร้อมที่จะทำ แล้วก็ ไม่มีคำถามต่อการทำงาน เพื่อนๆ สนุกไป ส่วนผมก็คีปคาแร็กเตอร์ไป

แล้วพอเราต้องคีปคาแร็กเตอร์ แต่คนอื่นเขาสนุกกันในกองได้เต็มที่มีอึดอัดไหม

เฟริสท์ : แรกๆ จะอึดอัดตรงที่เราจะเผลอไปเล่นกับเพื่อน หรือเผลอไปคุยกับทีมงานสวัสดิการที่เป็นทีมอาหาร ผมเป็นคนชอบทัก ชอบคุย เพราะรู้สึกว่าทำให้เราคลายความตื่นเต้นด้วย แต่ว่าในกองเรามักจะโดนสกัด พี่ผู้กำกับก็จะเลือกว่า “เฟริสท์” แค่นั้น เลยว่าต้องทำอย่างไร หลังจากนั้นเราต้องคอยเตือนตัวเองว่าอย่าลืมว่าเราทำอะไร หลังจากนั้นก็สบายครับ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำเพื่อต้องการให้งานออกมาดี ฉะนั้นผมรู้สึกว่าอึดอัดไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไปข้างนอกก็ลัลล้าได้ครับ

จา : บรรยากาศในกองสำหรับผมต้องบอกว่าสนุกมากครับ ทั้งโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับทีมงานทุกๆ คนต่างเหมือนพี่น้องกันครับ เราคอยซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน จะมีการแลกเปลี่ยนกัน อะไรที่แนะนำได้ก็แนะนำกัน อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยกัน มีความเป็นพี่น้องในกองถ่ายเรื่องนี้ ผมคิดว่าตรงนี้เลยทำให้เกิดความสนุก ทำการทำงานโฟล เหมือนเขาทำให้เราสามารถถ่ายทอดตัวละครปัณณ์อย่างที่ทุกคนเห็นออกมาได้ครับ

พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst
แล้วเรื่องนี้ผู้อำนวยการสร้างคือพี่ไก่ วรายุฑ ตอนเจอครั้งแรกสั่นไหม

เฟริสท์ : ผมนอบน้อมสุดๆ ผมทำตัวไม่ถูก เพราะว่าเราก็พอรู้จัก เราอาจจะดูละครน้อย แต่เรารู้จักชื่อพี่ไก่ วรายุฑ ว่าเขาคือใคร พอเจอตัวจริงก็รู้สึกว่าทำตัวไม่ถูก เราไม่รู้ว่าเราจะสามารถพูดคุยกับเขาได้มากน้อยแค่ไหน กลัวว่าแบบทำอย่างนี้จะดูไม่ดีนะ แต่ว่าสุดท้ายแล้วพี่ไก่เป็นคนที่เฮฮา ตลก

ถึงกระนั้นเวลาทำงานคือฟิกซ์มากเลย แล้วผมว่าเป็นข้อดีมากๆ รู้สึกว่าในเรื่องงาน ถ้าทำแบบนี้ได้ทุกอย่างจะออกมาดี พี่ไก่จะมาคอยจัดชุดให้เลยครับว่า ชุดนี้ไม่ได้ ไม่เอา ลงมาทำเองทุกอย่างแบบจัดชุด ดูชุด ดูหน้าเซ็ต หลังๆ เขาก็ใจดีกับนักแสดงด้วย ผมว่าพี่ไก่ก็เป็นคนที่สนุกสนานเฮฮาอีกคนหนึ่งนะครับ ถ้าสมมติว่าใครได้สัมผัสตัวจริง พี่ไก่เป็นคนที่สนุกครับ

จา : อย่างแรกเลยต้องขอขอบคุณพี่ไก่ที่เลือกเราสองคนมาเล่นในเรื่อง Be Mine Superstar แล้วก็พี่ไก่เป็นคนสนุกสนานเฮฮาครับ พี่ไก่จะเหมือนอยากพูดคุยกับเด็กๆ เราก็พูดคุยเล่นกัน ตอนแรกเราคิดว่าพี่ไก่จะมีมาดแบบดูวางตัวเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า แต่จริงๆ เขาเปิดรับมากเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นเด็กก็ตาม เขาพร้อมที่จะแชร์ความคิดในสิ่งที่เขาผ่านมาก่อน เขาสามารถเข้ากับคนรุ่นใหม่ได้ แล้วพอผลงานออกมาดี เขาก็มาบอกกับเราว่าดีมาก รู้สึกว่าพี่ไก่เป็นคนที่ใส่ใจทั้งนักแสดง และทีมงานทุกคนเลยครับ อยากขอบคุณพี่ไก่ครับ

นอกจากได้ร่วมงานกับพี่ไก่แล้ว ยังได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่หลายคนเลย

เฟริสท์ : ใช่ครับ มีพี่ดุ๊ก พี่ดาด้า พี่ธงธง

จา : พี่ดาว แม่ตุ๊ก ดวงตา

เฟริสท์ : การร่วมงานกับพี่ๆ นักแสดงรุ่นใหญ่ก็จะคล้ายๆ กับพี่ไก่เลยครับ แรกๆ กดดัน กลัวทำเขาช้า กลัวเล่นไม่ได้ แต่พอถึงเวลาเข้าฉากด้วยกันจริงๆ แล้ว สุดยอดแห่งความสนุก เมื่อไรที่พี่ๆ เขาได้รวมกัน โห! ทำให้ผมเล่นยากขึ้น เพราะว่าผมกลั้นขำไม่หยุด แล้วผมเป็นคนกลั้นขำไม่ได้ สุดท้ายผมก็ปล่อยขำไปเลย เพราะเดี๋ยวพี่ผู้กำกับเขาไปตัดเอาผมออกเอง เขาเล่นกันสนุกและตลกมาก

หรือบทที่ต้องเป็นซีนฟาด เขาก็ฟาดกันแบบสุดๆ ผมต้องไปยืนดูเพราะสนุกจริงๆ ต้องขอบคุณพี่ๆ บางทีพี่เขาก็ช่วยสอนด้วย บอกว่าแบบนี้ดีนะ ลองแบบนี้ดูสิ ขอบคุณพี่ๆ เขามากๆ เลยครับ

พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst

จา : ของผมก็จะมีได้เข้าฉากกับพี่ดุ๊ก, พี่ดาว, แม่ตุ๊ก ดวงตา, พี่ธงธง เข้าด้วยกันเยอะมาก ผมรู้สึกว่าพวกนักแสดงรุ่นใหญ่ทำให้เราเล่นได้ง่ายขึ้นครับ เหมือนเขารับส่งอารมณ์กับเรา ผมรู้สึกเลยว่าเขาพูดสื่อความหมายจนเรารับรู้ได้ถึงสิ่งที่เขาจะสื่อ แล้วก็เราสามารถรีแอ็กกับสิ่งที่เขาบอกไปได้ เขาทำให้เรารู้สึกว่าผมเป็นปัณณ์ได้มากขึ้น ผมแสดงความรู้สึกได้มากขึ้น เพราะตัวพ่อแม่ผมที่เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่เหล่านี้จริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นแม่ตุ๊ก ดวงตา ที่เล่นเป็นคุณย่า หรือพี่ดุ๊ก ภาณุเดช ที่เล่นเป็นพ่อผม พี่ดาวที่เล่นเป็นแม่ผม ทุกคนต่างทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้รับความอบอุ่นจากคำพูดหรือไดอะล็อกของเขาเพียงไม่กี่ประโยค ต้องขอบคุณมากๆ เลยครับ

เมื่อกี้เห็นบอกว่าพี่ๆ มีสอนด้วย ได้วิชาอะไรจากการร่วมงานกับพี่ๆ นักแสดงรุ่นใหญ่มาบ้างที่เราสามารถนำปรับใช้ในการเป็นนักแสดงได้

เฟริสท์ : อันหนึ่งที่ผมได้แน่ๆ คือผมถามเลยว่าทำไมพี่จำบทเร็วจัง พี่ๆ เขาจำบทเร็วมาก เร็วที่แปลว่าเร็วจริงๆ บทยาวเป็นตับอย่างนี้ แป๊บเดียวจำได้ทั้งหมดเลยครับ ผมว่าสิ่งนี้เป็นอีกสกิลหนึ่งที่นักแสดงควรมีนะครับ เขาบอกผมว่าเฟริสท์แค่ต้องทำความเข้าใจว่าซีนๆ นี้ คำพูดนี้เขาพูดถึงอะไรแค่นั้น ถ้าเข้าใจ เฟริสท์ก็จะพูดมันออกมาได้ เพราะว่าเราเข้าใจมันแล้ว ฉะนั้นลองไปทำดู เหมือนตอนสอบ วิชาประวัติศาสตร์อย่างนี้ ผมไม่เคยเข้าใจเลย ผมอ่านเพื่อสอบล้วนๆ คือรู้ว่าอะไรคืออะไร พอสอบเสร็จปุ๊บ มันหายหมดเลย แต่ถ้าเกิดเราเข้าใจ มันจะฝังอยู่ในหัวเรา อันไหนที่เราพูดไม่ติดปาก เขาบอกให้พูดวนสักสามครั้ง จะดีขึ้นครับ

จา : ส่วนใหญ่พี่ดุ๊ก พี่ดาว แม่ตุ๊ก ก็จะบอกว่าผ่อนคลายๆ ไม่ต้องกลัวเล่นกับแม่นะ ไม่ต้องกลัวเล่นกับพี่นะ ผ่อนคลายเลย น้องทำการบ้านมายังไง เล่นแบบนั้นเลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการสอนให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ได้ตื่นเต้นกับเขามากกว่าครับ นี่คือสิ่งที่เขาสอนเรา

เรื่องนี้มีไปถ่ายที่ต่างประเทศด้วยใช่ไหมคะ ไปถ่ายที่ประเทศไหน แล้วเป็นอย่างไรบ้าง

เฟริสท์ : ไปถ่ายที่ประเทศญี่ปุ่นครับ

จา : หนาวมากครับ เพราะตอนไปถ่ายทำเป็นช่วงหน้าหนาวพอดี แล้วก็พายุเข้าพอดี น่าจะช่วงเดือนมกราคม อุณหภูมิ 14 องศาเลยครับ เราต้องเล่นกลางหิมะเลย ก็รู้สึกว่ามีซีนสวยๆ เยอะ เดี๋ยวให้ทุกคนรอดูดีกว่า ผมรู้สึกว่าเราถ่ายกันหลายรอบมากเลยครับ

Be Mine SuperStar, พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, Be Mine SuperStar พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst
แล้วตอนถ่ายตัวสั่นไหม ไปถ่ายช่วงหน้าหนาวพอดี

เฟริสท์ : ตัวสั่นแต่ปากแข็งเหมือนปลาถูกฟรีซไว้ครับ เราต้องคอยขยับปากตลอด ถ้าเกิดกล้องไม่จับเรา สมมติเราเล่นกันสามคน ถ้าเกิดเราหยุดพูดแล้ว เหมือนเป็นตาของจาต้องพูดกล้องก็จะไม่เห็นเราหมด เราสามารถขยับก่อนได้ เพราะว่าเดี๋ยวผู้กำกับเขาจะไปตัดเอง เราต้องคอยขยับตลอด เพราะแบบมันแข็งโป๊ก หนาวมาก แล้วจะบอกว่าหิมะตอนที่เริ่มซา สวยมากครับ

ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติกคอเมดี้ จะได้ถ่ายทอดออกมาในลักษณะไหนคะ

เฟริสท์ : ความสนุกและตลกอาจจะเกิดการตัวละครทางฝั่งเพื่อนที่อยู่โอบล้อมรอบตัวอชิต์ ก็จะมีทั้งปัณณ์ ทั้งเพื่อนอชิต์ เพราะว่าแก๊งเหล่านี้เขาก็จะเป็นพ่อสื่อแม่สื่อคอยช่วยให้เราสองคนได้สมหวังกัน หรืออาจจะมีมุกบางอย่างที่ทำให้ซีรี่ย์กลายเป็นคอมเมดี้ได้ เช่น พี่ดีเจดาด้ากับพี่ธงธง เขารับส่งกันแบบตลกมาก คือผมไม่รู้ว่าเขาแบบคิดได้อย่างไรผมเลยรู้สึกว่าอันนี้เป็นอีกกิมมิกหนึ่งที่ทำให้ซีรี่ย์มีความเป็นคอมเมดี้มากขึ้นครับ

ส่วนความโรแมนติกในบทก็จะใส่เต็มเหมือนกัน อย่างที่จาบอกบทคุณพ่อ บทคุณแม่ และบทคุณย่า เขาก็จะมีส่งความรู้สึกของความเป็นพ่อเป็นแม่จริงๆ เหมือนเขาเป็นพ่อแม่เราจริง มันส่งถึงกันจริงๆ หรืออาจจะเป็นเรื่องของตัวอชิต์และปัณณ์ กับความสัมพันธ์ของเราสองคน ทุกคนจะรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละครว่าถ้าสมมติเรามีแฟนก็จะเป็นแบบนี้ เหมือนรักแรกของฉันเลย ในเรื่องจะทำให้คนดูรู้สึกรีเลทไปกับตัวซีรี่ย์ได้ด้วยครับ

นอกจากจากับเฟริสท์จะเป็นนักแสดงแล้ว ยังร้องเพลงประกอบซีรี่ย์เองด้วย เล่าถึงเบื้องหลังการทำเพลงหน่อยค่ะ

จา : เริ่มจากตอนอัดเลย บอกก่อนว่าพี่ไก่เป็นคนแต่งให้กับเรื่องนี้เลย เหมือนพี่ไก่ดูจากคาแร็กเตอร์ของปัณณ์กับอชิต์ แล้วก็เนื้อเรื่อง Be Mine Superstar พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง ดูว่าเนื้อเรื่องออกมาเป็นแนวอย่างไร เพลงสามารถแต่งได้อย่างไรบ้าง พี่ไก่เลยแต่งเพลง “First Love แอบรัก” ขึ้นมา ก็เป็นอารมณ์แบบน่ารักๆ เนอะ

ส่วนตอนถ่ายเอ็มวี จะมีต้องเต้นด้วย ซึ่งผมไม่ค่อยถนัดการเต้นเท่าไร ผมเลยมีความตื่นเต้น มีความเขินอาย เขาก็ยังส่งเราไปเรียนเต้น เพื่อที่จะเอามาเต้นในเอ็มวีโดยเฉพาะ บางทีก็จะมีความเขินอายจากคนที่ไม่เคยเต้นอะไรอย่างนี้เนอะ แต่ว่าสุดท้ายเอ็มวีก็ออกมาน่ารักดีครับ แล้วพอทุกคนชอบก็รู้สึกดีครับ

สุดท้ายนี้ฝากผลงานซีรี่ย์เรื่องนี้หน่อยให้แฟนๆ สุดสัปดาห์ได้ติดตามรับชมกันหน่อยค่ะ

จา : ทั้งเราสองคน นักแสดงทุกคน รวมถึงทีมงานทุกคนก็อยากขอบคุณที่คอยติดตามตั้งแต่อีพีแรกนะครับ แล้วก็อยากฝากทุกคนคอยติดตามในอีพีต่อๆ ไปด้วยครับ เรื่องนี้นอกจากเป็นแนวโรแมนติกคอมเมดี้แล้ว ยังมีการถ่ายละครซ้อนละคร การไปถ่ายต่างประเทศอีก อยากฝากให้ทุกคนติดตามเลยว่าภาพจะออกมาสวยแค่ไหน ฝากด้วยครับ

เฟริสท์ : อย่าลืมนะครับ ทุกวันจันทร์ เวลา 22.45 ทางช่อง 3 นะครับ และยังสามารถดูออนไลน์ผ่านทางแอป 3PLUS และดูย้อนหลังแบบ Uncut ได้ทาง iQIYI ด้วยครับ ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะครับ

Be Mine SuperStar, พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, Be Mine SuperStar พี่พระเอกกับเด็กหมาในกอง, จาเฟริสท์, จา พชร, เฟริสท์ ฉลองรัฐ, JaFirst

.

.

TEXT : ImJinah

PHOTO : นวพจน์ โพธิเกษม

แต่งหน้า : รมิดา จำรัสศรี

ทำผม : รัชนี รัศมี

ขอบคุณสถานที่ : ร้าน Black Canyon สาขา Search Studio

.

.

.

อัพเดตข่าวบันเทิงเอเชีย ซีรี่ย์เอเชีย ดาราเอเชีย ไอดอลเอเชียได้อีกเพียบที่สุดสัปดาห์ค่ะ

ญดา-ภณ-มีน สามนักแสดงนำจากกรงดอกสร้อย สลัดชุดย้อนยุคขึ้น Sudsapda Digital Cover

พูดคุยกับ TRINITY กับการเติบโตจนได้ร่วมงานกับศิลปินต่างชาติ และมุมมองต่อวงการ T-POP

พูดคุยกับ SHAUN และเจฟ ซาเตอร์ กับการโคจรมาทำเพลงด้วยกัน เล่าความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ร่วมงาน

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up