“วี วิโอเลต วอเทียร์” คือหนึ่งในนักร้องที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของความสามารถ ทั้งเสียงร้องและฝีมือในการแต่งเพลง รวมถึงมุมมองบางอย่างวีได้แฝงไว้ในบทเพลงของอย่างลงตัว
สุดสัปดาห์มีโอกาสได้พูดคุยกับถึงผลงานอัลบั้มเพลงไทยอัลบั้มแรก ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มชุดที่สองในชีวิตของวีอย่าง “Your Girl” ออกมา ทำให้พบว่าวีมีมุมมองในการใช้ชีวิตที่ดีและสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้เลย เรียกว่างานนี้ได้คุยตั้งแต่เรื่องราวสมัยเด็กจนเติบโตกลายเป็น “วี วิโอเลต” ในทุกวันนี้
สัมภาษณ์พิเศษกับ “วี วิโอเลต” เปิดเผยเรื่องราวตอนเด็กที่แสนน่ารัก
ขอย้อนกลับไปช่วงวัยเด็ก อะไรที่ทำให้วีชอบการร้องเพลงขึ้นมาคะ
ไม่แน่ใจเลยค่ะ หนูเดาเอาว่าน่าจะมาจากดิสนีย์ค่ะ หนูเป็นเด็กที่ดูการ์ตูนดีสนีย์มาตั้งแต่เด็ก และชอบเพลงในดิสนีย์ ไม่แน่ใจเหมือนกัน หนูมีความรู้สึกว่าหนูเกิดมาเพื่อร้องเพลงค่ะ (หัวเราะ)
ถ้าอย่างนั้น สมัยเด็กดูการ์ตูนแล้วชอบจินตนาการว่าตัวเองเป็นอะไรบ้าง
อุ๊ย! หนูเป็นทุกอย่างเลย หนูเคยเล่น Lion King กับลูกพี่ลูกน้องด้วย จนยายดุ เพราะหนูบอกว่าหนูจะเล่นเป็นแม่สิงโตเอง เธอเล่นเป็นลูกนะ แล้วหนูก็ไปกัดคอลูกพี่ลูกน้อง เพราะว่าในการ์ตูนเวลาสิงโตเขาคาบลูก เขาคาบกันที่คอ แล้วหนูก็ไปกัดเขา ลูกพี่ลูกน้องหนูก็เลยร้องไห้ ยายก็เลยมองว่าหนูไปแกล้งลูกพี่ลูกน้องทำไม แต่ในหัวหนู หนูรู้สึกว่านี่ไงหนูเป็นแม่สิงโต หนูต้องคาบลูกหนูสิ หนูเล่นทุกอย่าง เป็นทั้งมนุษย์ เป็นทั้งสัตว์ เป็นทุกอย่างในเรื่องเลยค่ะ
มีชวนคนในบ้านมาเล่นเป็นตัวประกอบด้วยมั้ยคะ
ไม่ขนาดนั้นค่ะ แต่ว่าพอเริ่มโตขึ้น เริ่มเล่นเหมือนพ่อแม่ลูกเนี่ยแหละ แต่หนูจะเริ่มคิดว่านี่คือการเล่นหนัง เล่นหนังกับน้องชายและก็เพื่อนบ้าน ซึ่งในการจะเข้าสู่การเล่นหนังอะ ต้องคิดคาแร็กเตอร์ของเราก่อนว่าคาแร็กเตอร์เราเป็นแบบไหน ตัวละครเราทำอาชีพอะไร โน่นนี่นั่น แล้วก็แต่งตัวยังไง และซีนเปิดของเราจะเป็นแบบไหน ต้องมีการฟรีซภาพ จะทำอะไรอยู่เพื่อแนะนำตัวละคร ก็เล่นอย่างนั้นค่ะ
ดูเป็นเด็กที่หัวมีความมาทางศิลปะมาก เล่นแบบมีการลำดับภาพด้วย
ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ก็คงแบบโตมาแบบนี้ล่ะมั้งคะ เพราะดูหนังเยอะ ฟังเพลงเยอะค่ะตอนเด็กๆ แล้วก็คงโตมาแบบซึบซับพวกนี้ตลอด จนช่วงประถมปลายๆ มัธยมต้นก็เริ่มอ่านหนังสือเยอะ อ่านหนังสือวันละเล่มเลย นิยายแจ่มใสอะไรอย่างนี้ ก็คืออ่านหนังสือ ติดหนังสือ จนประมาณม.2 เริ่มอยากเขียนหนังสือ อยากเล่าเรื่องของตัวเอง ก็เขียนเรื่อง แต่เรื่องที่เขียนมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ เป็นความรักใสๆ ในวัยนั้น เป็นสไตล์หนังสือแจ่มใส แล้วพอทำไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าแบบมันไม่ดีเลย ก็เปลี่ยน แต่ไปๆ มาๆ ก็มาเรียนภาพยนตร์
วีรู้สึกว่าทุกๆ อย่างที่วีทำ สุดท้ายแล้วมันเป็นศาสตร์ของการเล่าเรื่องหมดเลย ทั้งเพลงที่วีเขียน วีเริ่มเขียนเพลงตั้งแต่อายุ 15 มันเห็นชัดมากว่ามันคือการเล่าเรื่อง แต่มันก็แค่วิธีการเล่ามันคนละแบบ อย่างเช่นหนังสือก็แบบนึง หนังแบบนึง เพลงก็แบบนึง แต่ทุกอย่างคือการสื่อสาร หรือการเล่าเรื่องหมดเลย ก็เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันค่ะว่าทำอะไรแบบนี้มาเรื่อยๆ เพราะว่าวีว่าวีเป็นคนหลงใหลกับอารมณ์ของมนุษย์ว่ามันซับซ้อน วีเป็นคนเซนซิทีฟมากค่ะ เราดูหนังดูอะไร เราก็จะซึมซับอารมณ์เร็ว แล้วเรารู้สึกว่าสิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่สวยงาม เพราะมันทำให้ชีวิตเราดูมีคุณค่า มันดูน่าจดจำ ทั้งโมเมนต์ดีและไม่ดี วีรู้สึกว่าชีวิตมันดูโรแมนติกดีกับการที่เราได้สัมผัสอารมณ์หลายๆ อย่างในชีวิตนี้ค่ะ
อยากรู้ว่าช่วงวัยเด็กคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูวีสไตล์ไหนคะ
หนูรู้สึกว่าเขาปล่อยหนูทุกอย่างเลย เขาสนับสนุนทุกอย่าง อยากเรียนเปียโนใช่มั้ย ได้ลูกไปเลย อยากเรียนเต้นใช่มั้ย ได้ลูกไปเรียนเลย คือจะ put ได้หมดทุกอย่าง แต่ว่าสิ่งที่สำคัญคือแม่ก็จะเป็นคนพูดเสมอว่า ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ เพราะแม่หนูเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เขาก็จะมีความรู้สึกว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดกับการที่ลูกเราจะเติบโต สิ่งที่จะช่วยหนูได้จริงๆ โดยที่เขาจะไม่ต้องมาดูแลหนูแล้ว เขาก็เลยให้ความสำคัญกับการศึกษามากๆ เขาก็จะบอกกับวีว่า ไม่ว่าจะทำอะไรต้องตั้งใจเรียนนะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ ก็เลยเป็นสิ่งที่หนูถูกปลูกฝังมาตลอด แล้วรู้มาตลอดว่าการศึกษาสำคัญ
แล้วก็ส่วนหนึ่งคือหนูเป็นเด็กรักสวยรักงามมากตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็พอโตมาเรื่อยๆ มันจะมีประโยคนึงที่คนชอบพูดกันคือ “สวยแต่โง่” แต่เขาไม่ได้พูดถึงหนูนะคะ แต่มันเป็นประโยคคุ้นหูที่เราได้ยินกันมา มันเป็นคำที่เข้าหูเราแล้วรู้สึกว่า… หนูไม่อยากสวยแต่โง่ ตอนเด็กๆ “หนูมั่นใจว่าหนูสวย” (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นหนูไม่อยากสวยแต่โง่ หนูจะตั้งใจเรียน เพราะหนูจะสวยและฉลาด แค่นั้นเลยค่ะ ไม่อยากเป็นคนสวยแต่โง่ เพราะมันดูเป็นคำที่โหดร้ายเหมือนกันนะ แล้วตอนเด็กๆ ที่เราได้ยินแบบนั้นเราก็รู้สึกว่าเราจะไม่มีวันเป็นสิ่งนั้น เลยตั้งใจเรียนมากค่ะ
วีได้ยินคำนี้ประมาณช่วงอายุเท่าไหร่คะ
น่าจะตอนประถมเลยค่ะ เพราะว่าหนูรู้สึกว่าไม่มีใครอยากโง่นึกออกมั้ยคะ ก็เลยรู้สึกว่าเราไม่อยากโง่ เราอยากสวยฉลาด ก็เลยจะเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน แต่จะมีช่วงที่ไม่ตั้งใจเรียนอยู่นะคะ มันก็จะมีช่วงเป็นวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อนิดนึง แล้วพอเห็นเกรดตัวเองแล้วก็อุ๊ย! ไม่ได้แล้ว ต้องตั้งใจเรียน
ตอนสมัยเด็กๆ วีเป็นเด็กเรียนมากมั้ย?
ถ้าถามว่าเนิร์ดมั้ย ก็เนิร์ดค่ะ แต่ในเวลาเดียวกันก็ซ่ามากเลยนะคะ วีรู้สึกว่าวีเป็นเด็กปกติ วีก็ตั้งใจเรียน ด้วยความวีเรียนแล้ววีรู้สึกเรียนสนุก วีสนุกกับการเรียน เพราะมันเป็นเหมือน mission บางอย่าง ที่แบบการทำข้อสอบ เรารู้สึกสนุกมากๆ หรือโจทย์บางอย่าง หรือพอเรารู้ เราเข้าใจ เราเรียนแล้วเราจะรู้สึกสนุก เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่ม
แต่ในเวลาเดียวกันเราก็เป็นคนทำกิจกรรมเยอะมาก ชอบทำโน่นทำนี่ แล้วก็ชอบเที่ยว ชอบซ่า คือวีไม่รู้ว่าจะนิยามว่าอะไร ดี วีรู้สึกว่าวีเป็นเด็กปกติ มันไม่สามารถจำกัดได้ว่าพอเรียนแล้วเธอจะเป็นเด็กเรียนเท่านั้น วีรู้สึกว่าเราเป็นในสิ่งที่เราเป็น แล้วเราเป็นได้ทุกอย่างที่เราอยากเป็น วีก็เรียนด้วยแล้ววีก็ซ่าด้วย โดดเรียนมั้ยก็มี หนีเที่ยวมั้ย ก็มี แต่ว่าเรารู้หน้าที่ของตัวเราเองมากกว่า
แล้วโมเมนต์ที่เปิดโลกหนูมากๆ คือโมเมนต์ที่หนูไปเรียนที่แคนาดาปีนึง คือหนูรู้สึกว่า culture มันเปลี่ยนเยอะ แม้ว่าหนูจะเป็นลูกครึ่ง หนูโตมากับสังคมฝรั่งก็จริง แต่ว่าหนูโตในโรงเรียนไทย หนูโตในประเทศไทย หนูถูกปลูกฝังแบบไทยๆ ซึ่งตอนอยู่ไทยเราไม่ได้รู้สึกว่าเราไทยจ๋า แต่พอเราไปอยู่ที่ประเทศแคนาดา ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ ฉันไทยมากเลยนะ เพราะว่าฝรั่งเขาก็จะมีสุดโต่งในความอีกแบบนึง มันต่างกัน วัยรุ่นต่างชาติกับวัยรุ่นไทยจะมีนิสัยไม่เหมือนกัน แล้วเราก็อ๋อ! โอเคเป็นอย่างนี้นี่เอง
แล้วพอเราไปอยู่ที่นั่น ได้เห็นว่าคนที่นั่นโตกันขนาดไหน เพราะเพื่อนๆ ทุกคนทำงานพิเศษ ทุกคนรับผิดชอบตัวเองหมด เรารู้สึกว่าฉันอยู่บ้านที่ไทยสบายมาก วีรู้สึกชื่นชมในการดูแลตัวเองของชาวต่างชาติในความปัจเจกบุคคลของวัยรุ่นที่นั่น เราก็เลยรู้สึกว่าเออ! มันดูอิสระมากๆ กลับมาเราก็เลยแบบอยากจะเติบโตแบบนั้นบ้าง การไปอยู่นั่นทำให้โตขึ้นเร็วมาก เพราะว่าพ่อแม่ไม่อยู่ด้วย เราไปคนเดียว เราต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง เราเจอปัญหาอะไรเราต้องเผชิญเอง ต้องแก้ปัญหาเอง
คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนทุกอย่างเลยใช่มั้ยคะ พอลูกจะมาสายวงการบันเทิง มาร้องเพลง คุณพ่อคุณแม่ว่ายังไงบ้าง
ใช่ค่ะ ไม่ห้ามเลยไม่อะไรเลย อยากทำทำเลยลูก จริงๆ หนูเริ่มเล่นเอ็มวีตั้งแต่ตอนหนูอยู่ม.3 ค่ะ เดินๆ สยามอยู่แล้วบังเอิญเจอพี่แมวมองเอ้ย! สนใจมั้ย แล้วขอคอนแทกไว้ แล้วก็ไปเล่นเอ็มวี ซึ่งพอไปเล่นเอ็มวีแล้วก็รู้สึกสนุกดี แล้วก็ตื่นตาตื่นใจว่าอ๋อ! กองถ่ายมันหน้าตาเป็นแบบนี้ เพราะว่าวีไม่ได้อยู่กรุงเทพแบบในเมือง วีอยู่ลาดกระบัง ในตอนนั้นมันไม่ได้จะเข้าถึงกันง่ายขนาดนี้ แล้ววีเป็นคนชอบดูหนัง ชอบวงการบันเทิงโดยรวมอยู่แล้ว พอโมเมนต์ที่เราได้ไปเล่นเอ็มวี แล้วเราเห็นเบื้องหลังกองถ่าย เราว้าวมากๆ เพราะมันดูไกลตัวเราเหลือเกิน แล้วเราได้ไปเฉียดใกล้กับสิ่งนี้ ก็เลยรู้สึกตื่นตาตื่นใจ สนุกมากค่ะ
แสดงว่าวีก็รู้สึกอยากเข้าวงการมาตั้งแต่เด็กๆ เลยมั้ยคะ
ตั้งแต่เด็กๆ หนูอยากเป็นนักร้องมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยน ตอนเด็กๆ หนูก็เคยดู AF ดู The Star แล้วก็พูดกับแม่ว่าเดี๋ยวพอหนูอายุถึงหนูจะไปประกวด สุดท้ายจริงๆ ก็ไม่ได้ไปประกวด แต่เรานั่งดู The Voice ของต่างประเทศเยอะ แล้วพอเรารู้ว่าประเทศไทยจะมี เราก็เลยอะหรือยังไงลองดูมั้ย ขำๆ อะไรอย่างนี้ แบบไม่ต้องคิดเยอะ แต่ว่าก็ไปเองคนเดียวด้วยนะ ไม่ได้พาใครไป
ไม่มีใครไปเป็นเพื่อนเลยค่ะในวันที่ไปออดิชั่นรอบแรกก่อนจะรู้ว่าแบบจะได้ไปออดิชั่นรอบ Blind Audition เพราะว่ามันต้องออดิชั่นก่อนใช่มั้ยคะ ถึงจะรู้ว่ามีสิทธิ์เข้าไปรอบ Blind หรือเปล่า ซึ่งหนูก็ไปศูนย์ประชุมสิริกิตติ์คนเดียว ไปเลยค่ะ ไม่ได้บอกคนเยอะ เพราะว่าก็กลัวว่าถ้าเราไม่เข้ารอบ เราก็ไม่ต้องบอกเขา แค่นั้นเอง ก็ไปคนเดียว ดุ่มๆ เข้าไป
จากวันนั้นก็ทำให้คนได้รู้จักและทำให้คนตกหลุมรักเด็กผู้หญิงคนนี้ ยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้มั้ย
จำได้ค่ะ รู้สึกจะอ้วกค่ะ รู้สึกมวนท้องมากๆ มันตื่นเต้นไงคะ
แต่วีดูไม่ตื่นเต้นเลยนะ
ไม่จริงค่ะ ทุกคนบอกอุ๊ย! วีดูร้องอินมาก หลับตาร้อง ในหัวไม่ใช่อย่างนั้น ในหัวคือแบบร้องให้จบ ร้องให้จบ ร้องให้จบ อย่างนี้อะค่ะ ไม่สามารถโฟกัสกับเพลงได้ด้วยซ้ำ โฟกัสแค่ตัวเองและเพลงว่าแบบฉันจะร้องให้จบ ฉันจะร้องให้แบบไม่เพี้ยนมากก็โอเคแล้ว เพราะตื่นเต้นมากๆ ค่ะ ลืมตาไม่ได้ ลืมตาแล้วสติหลุด หลับตาร้อง หลับตาร้อง
แล้วทุกอย่างวันนั้นก็ดำเนินมาจนถึงวันนี้ รู้สึกจากวันนั้นจนถึงวันนี้ตัวเองเปลี่ยนไปมั้ย และเรียนรู้อะไรเยอะมั้ยคะ
เปลี่ยนค่ะ แต่หนูรู้สึกว่ามันเปลี่ยนเพราะด้วยวัยกับสิ่งที่เจอด้วยค่ะ มันก็ต้องเปลี่ยนหมดแหละ ถึงหนูจะไม่ผ่าน The Voice มา หนูก็คงเปลี่ยนในแบบของหนูเอง แต่ว่าในเมื่อเส้นทางของหนูมาทางนี้แล้ว หนูก็รู้สึกว่าหนูเปลี่ยน แล้วก็รู้สึกว่าหนูมาถูกทาง หนูรู้สึกว่าหนูกำลังค่อยๆ พัฒนาขึ้น และเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น และเป็นศิลปินที่น่ารัก และเก่งขึ้นค่ะ
รู้สึกยังไงที่จากเด็กวัยรุ่นคนนึงที่ไปประกวดแล้ววันนึงเราได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คน?
รู้สึกว่าชีวิตเรามันมีค่ามากเนอะ รู้สึกว่าการที่เราเกิดมา แล้วเราได้ inspire คนรุ่นใหม่ๆ หรือคนต่อๆ ไป มีคนมองเรามา แล้วมันทำให้เขาเดินหน้าชีวิตต่อได้ หรือเป็น inspire อะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเติบโตในแบบของเขา วีรู้สึกว่าการเกิดมาของวี หรือการมีอยู่ของวีมีค่า เพราะว่าเราได้ส่งผลดีต่อบุคคลอื่นด้วย อย่างเพลงของวีเอง ถ้ามันสร้างอิมแพ็คให้กับเขาได้ ช่วยเขาในโมเมนต์อะไรก็ตามจะเป็นโมเมนต์ที่ดีหรือไม่ดีแล้วเราได้อยู่ร่วมกับเขา วีรู้สึกมันได้สร้างแรงบันดาลใจแล้วมันทำให้เขาค่อยๆ พัฒนาในแบบของเขา วีก็รู้สึกว่าแบบวีเกิดมามีประโยชน์ในโลกใบนี้แล้วค่ะ
ปล่อยอัลบั้ม Your Girl ออกมาเป็นอัลบั้มไทยอัลบั้มแรก และอัลบั้มที่สองในชีวิต รู้สึกยังไงบ้าง?
รู้สึกภูมิใจมากค่ะ รู้สึกว่าครั้งนี้เป็นอัลบั้มที่หนูได้พัฒนาสกิลของตัวเองมากขึ้นด้วย แล้วก็ได้ออกจากกรอบของตัวเอง ได้ทดลองอะไรใหม่ๆ แล้ววีรู้สึกว่าการทำอัลบั้มมันดีอย่างนึงมากเลย มันเหมือนเราเขียนไดอารี่ มันเป็นชีวิตช่วงหนึ่งที่เราเอามาเล่า แล้วก็พอย้อนกลับไปดูตอนอัลบั้ม Glitter And Smoke มันเทียบกันเลยว่าเฮ้ย! เราเปลี่ยนไปยังไง มันเห็นเลยว่ามันเป็นยุคที่เปลี่ยนไปของเรา
วีอยากจะเล่าหรืออยากจะสื่อสารอะไรในอัลบั้มนี้ถึงผู้ฟังบ้างคะ
วีรู้สึกว่าเหมือนอัลบั้มนี้มันฮีลวีแบบที่วีบอก แล้ววีรู้สึกว่ามันเป็นเมสเสจที่ดีมากๆ เลยกับคนในสังคมปัจจุบันด้วย เพราะวีรู้สึกว่าหลายๆ ครั้งเราจะชอบกดดันตัวเอง หรือบางครั้งเราเล่นโซเชียลมีเดียแล้วเราเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นแบบช่วยไม่ได้ แล้วบางครั้งมันอดไม่ได้ที่เราจะรู้สึกเราดีไม่พอกับอะไรหลายๆ อย่าง
แล้วหนูก็รู้สึกว่าตัวหนูเอง หนู need คนมาบอกว่าเธอดีพอนะ เธอไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเทียบกับใคร เป็นตัวเองแบบนี้อะดีแล้ว หรือเป็นการบอกตัวเองว่าใจเย็นๆ แบบ it’s ok ไม่ว่าเธอจะรู้สึกอะไรอยู่ it’s ok ใจเย็นๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ต้องไปเปรียบเทียบ ทุกคนมีไทม์มิ่งของตัวเอง ทุกคนมี pace ของตัวเอง แล้วมันเลยทำให้เราแบบค่อยๆ calm ตัวเองลง แล้วก็ค่อยๆ เขียนเพลงเพื่อฮีลตัวเองไปด้วยแหละ
แล้ววีว่าคนในสังคมอะต้องมีหลายครั้งที่รู้สึกแบบวีแน่นอน แล้ววีก็รู้สึกว่าถ้าเพลงนี้มันจะช่วยบอกให้เขารู้สึกดีขึ้นกับตัวเองได้เหมือนกัน วีก็จะรู้สึกแฮปปี้มากๆ เพราะว่าอัลบั้มนี้จะเป็นอัลบั้มที่พูดถึงการรักตัวเองเป็นหลักเลย ผ่านทั้งความสัมพันธ์กับตัวเองและความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ หรือเรื่องความรักก็ตาม เพราะวีมองว่าความรักมันเป็นสิ่งนึงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตมนุษย์ แล้วเราก็รู้สึกว่าบางครั้งเรารักคนที่ไม่เหมาะกับเรา เราอยู่ในความสัมพันธ์ที่มันไม่ค่อย healthy แล้วเราไม่ได้รักตัวเองมากพอที่จะเดินออกมา หรือเราอาจจะรักตัวเองอยู่แหละ แต่เราแค่ยังไม่เรียนรู้วิธีที่จะรักตัวเองให้แบบเคารพตัวเองหรือ respect ตัวเองในแบบที่เราสมควรจะได้รับด้วยเหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่วัยรุ่นต้องค่อยๆ เรียนรู้กันเอง
ตอนวีเด็กๆ วีก็ไม่ได้คบกับคนที่นิสัยดีกับวีขนาดนั้นเสมอไป แล้วมันทำให้เราไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเราอยู่ตรงนั้นทำไม แต่เราก็อยู่เพราะเรารักเขา แต่สุดท้ายแล้วแบบมันก็ดันทำร้ายเราเหลือเกิน ทำร้ายความรู้สึกเรา เพราะฉะนั้นวีเลยรู้สึกว่าบางครั้งเราต้องการที่จะได้ยินว่าเธอต้องรักตัวเองยังไงนะ เธอสมควรจะได้รับอะไร เธอควรจะรู้คุณค่าของตัวเองยังไง ซึ่งอัลบั้ม Your Girl พูดถึงสิ่งเหล่านี้ค่ะ
แล้วมุมมองความรักของวีในวัย 29 เป็นยังไง เติบโตขึ้นตามประสบการณ์ชีวิตของตัวเองมั้ย?
วีรู้สึกว่าวียังมองความรักเหมือนเดิมตั้งแต่แรกไม่เปลี่ยนเลย วีรู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งที่ดี แล้วก็เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์มากๆ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีได้ เพราะความรัก เราเกิดมา เราก็ได้รับความรักจากครอบครัวเราแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ดีแน่นอน ถ้าความรักมันจะไม่ดีแบบความรักในฐานะแฟน แปลว่าอันนี้มันถูกปนเปื้อนด้วยอย่างอื่น มันไม่ได้ความรักที่บริสุทธิ์ทั้งหมด
แต่สิ่งที่มองเปลี่ยนไปเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ มันคือวิธีการมากกว่าค่ะ พอเราค่อยๆ เติบโตมาก็ค่อยๆ เข้าใจมากขึ้น อ๋อ…ความรักดีๆ เป็นแบบนี้ อ๋อ…จริงๆ ความรักมันควรจะสบายๆ นะ มันไม่ควรสวิงขึ้นลงขนาดนั้น มันค่อยๆ เรียนรู้ไปอะค่ะ เพราะเรารู้อยู่แล้วความรักมันสิ่งที่ดี แต่ว่าความรักในฐานะคู่รัก เราก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่าแบบไหนมันถึงจะดีสำหรับเรา หรือความรักในฐานะเพื่อน เราก็จะรู้ว่าจะปรับนิสัยยังไงให้อยู่ด้วยกันได้ เราจะเข้าใจกันมากน้อยขนาดไหน อันนี้มันก็เป็นความรักที่เรามีให้กันกับเพื่อนๆ แล้วเราก็ค่อยๆ โตไปด้วยกัน ค่อยๆ เรียนรู้กันใหม่เรื่อยๆ ทุกวันค่ะ
โมเมนต์ไหนที่วีรู้สึกมีความสุขเวลาอยู่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับคนที่เรารัก?
วีรู้สึกว่ามันอยู่ได้ทุกวันเลย มันอยู่ที่เราจะมองเห็นมันหรือเปล่า มันจะมีบางวันที่อย่างเช่นล่าสุดวีไปเกาหลีมากับเพื่อนๆ แล้วเราได้นั่งกินอาหารอร่อยๆ ด้วยกัน แล้วเราก็รู้สึกอาหารอร่อยมาก ชอบอาหารมาก แล้วก็มองหน้าเพื่อนๆ แล้วก็แบบเฮ้ย! ชอบที่เราได้กินสิ่งนี้กับเพื่อนๆ เราจัง เราได้แชร์ความสุขนี้ด้วยกัน มันเลยมีความหมาย
หรืออย่างกับแฟนเอง สมมติเราบอกว่าเฮ้ย! เราทำของหาย แล้วเราโทรไปเล่าให้ฟังว่าเธอ เราทำของสำคัญมากหาย ไม่เป็นไรนะ it’s ok ไม่เป็นไรนะ ไม่โกรธเลยอะไรอย่างนี้ เราก็จะรู้สึกชอบว่าแบบนี่คือเป็นเมจิกโมเมนต์อีกอันนึง ทั้งๆ ที่มัน ไม่ได้มีอะไรเลย มันเป็นเรื่องของการแชร์กันมากกว่า ที่มันทำให้เรารู้สึกว่าการได้แชร์แบบความรู้สึกไม่ว่าจะความสุข ความทุกข์ หรือความอะไรก็ตาม โมเมนต์นั้นมันมีค่าค่ะ
เขาเป็นคนสบายๆ ใช่มั้ยคะ
ใช่ค่ะ เก้าเป็นคนสบายๆ หนูไม่เคยเจอความรักที่สบายๆ มาก่อน หนูจะเจอความรักที่ต้องสู้ ต้องไฟท์แล้วมันก็จะมีความสวิงทางอารมณ์เยอะมากว่าแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวโอ๊ย! ทุกอย่างมันจะเว่อร์ อยู่ๆ วันนึงกลับมาจากสนามบินได้รับดอกไม้ ได้อะไรแบบนี้ มันดูเทพนิยายมาก มันดูไม่ใช่ชีวิตจริงนิดนึงอะค่ะ
พอเราโตขึ้นเราได้เรียนรู้ความรักรูปแบบใหม่ อ๋อ…จริงๆ เราไม่ได้ need อะไรพวกนั้นเลย เรา need ความสบายใจ เราอยู่ด้วยกันแล้วเราสบายใจ แค่นั้นพอ มันเหมือนมันค่อยๆ เรียนรู้กันแหละมั้งคะ แต่หนูรู้สึกว่าในวัยนึงอะมันสนุกนะกับการที่มีแฟนแล้วก็แบบมันหวือหวา แล้วมันสนุก ชีวิตมันเว่อร์ดีๆ หนูชอบ (หัวเราะ)
สุดท้ายอยากให้วีฝากผลงานหน่อยค่ะ
ฝากอัลบั้ม Your Girl ด้วยนะคะ เป็นอัลบั้มไทยเต็มๆ มีทั้งหมด 10 เพลงนะคะ ไปฟังกันได้เลยทุกสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม แล้วก็มันเป็นอัลบั้มที่วีภูมิใจนำเสนอ แล้ววีก็ตั้งใจทำงานออกมาให้ทุกคนได้ฟัง แล้วมันเต็มไปด้วย positive Vibe ที่วีรู้สึกว่าทุกคนฟังแล้วจะได้รับสิ่งดีๆ กลับไปแน่นอน หรืออาจจะไม่ได้รับข้อคิดหรืออะไรก็ตาม แต่อย่างน้อยอาจจะได้กำลังใจอะไรกลับไปบ้าง หรือทำให้รู้สึกดีหรือฟีลดีขึ้นมาบ้าง ลองไปฟังดูค่ะ
เรียกว่าพอได้คุยกับวีแล้ว ทำให้เราเองก็ได้รับมุมมองหรือแง่คิดอะไรดีๆ กลับไปเหมือนกัน โดยเฉพาะการมองเห็นคุณค่าของตัวเอง และการเห็นคุณค่าของโมเมนต์เล็กๆ น้อยที่เกิดขึ้นกับคนรอบตัวที่เรารัก และขอบอกว่าเพลงวีเพราะทุกคน แนะนำให้ไปฟังกันนะคะ
TEXT : ImJinah
PHOTO : เนาวพจน์ โพธิ์เกษม
อัพเดตข่าวบันเทิงเอเชีย ซีรี่ย์เอเชีย ดาราเอเชีย ไอดอลเกาหลีได้อีกเพียบที่สุดสัปดาห์ค่ะ
D Gerrard ชื่นชมไบร์ท วชิรวิชญ์ หลังได้โคจรมาร่วมงานกันในเพลง “My Ecstasy”
อูกี & ชูฮวา สองสมาชิกแก๊งมักเน่ไลน์ (G)I-DLE ที่ต้องจากบ้านเกิดและครอบครัวมาทำงานในเกาหลี!
WEi บอยแบนด์เกาหลีรุ่นใหม่ ที่พกพาความดีงามเบอร์ล้าน และดาเมจแรงกระแทกตาเบอร์สุด
“ร้านของเก่า” กับ 4 นักแสดง 4 ประเทศ ความแตกต่างที่เคมีลงตัว!
ชาอึนอูเล่าเบื้องหลังถ่ายปกสุดสัปดาห์ พร้อมสปอยล์งานแสดงเรื่องใหม่ในสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ!