พูดถึง #ครีมหมอกุ้ง เชื่อว่าสาวๆ ในแวดวงบิวตี้จำนวนไม่น้อยต้องรู้จัก ในฐานะสกินแคร์สำหรับผู้มีปัญหาฝ้าและสิวชื่อดังในโลกออนไลน์ สุดสัปดาห์อยากพาคุณผู้อ่านไปรู้จัก พญ.กรวิกกา พัฒนะปราน CEO & CO-Founder KVKX THAILAND กับเส้นทางของคนที่มีดีเอ็นเอเป็นหมอแต่สามารถนำพาธุรกิจสกินแคร์ผ่านจุดตั้งต้นที่ไม่ง่ายจนเติบโตมาถึงวันนี้
บรรยากาศในการสัมภาษณ์ครั้งนี้เต็มไปด้วยความสนุก เพราะมุมมองต่อปัญหาและพลังในการทำงานที่เหลือล้นของเธอ แม้เจ้าตัวจะบอกว่าตัวเองเป็น Workaholic แต่จากการได้พูดคุยกัน เรารู้สึกว่าเธอคือสาว Workaholic ที่มีความสุขสุดๆ
…เราเชื่อว่าบทสัมภาษณ์นี้จะสร้างพลังงานและมุมมองบวกให้กับหลายๆ คน มาสัมผัสเอเนอร์จี้นี้ไปพร้อมกันค่ะ
จากเจ้าของคลินิกความงามสู่ CEO แบรนด์สกินแคร์ชื่อดัง
“เริ่มจากเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่แบรนด์ออนไลน์เกิดขึ้นแรกๆ เลย แต่ยุคนั้นเป็นยุคที่คนทำแบรนด์สีเทาเยอะ ใส่สารอันตรายลงไปในครีม ถ้ายังจำกันได้ สมัยนั้นสิวเสตียรอยด์ดังมาก กุ้งทำคลินิกก็เจอคนที่มีปัญหาแบบนี้เยอะ ทำให้รู้สึกว่าอยากสร้างตลาดสีขาวที่คนมีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่สามารถทาครีม 1-2 วันแล้วหน้าใส อยากทำสกินแคร์ที่ดี ไม่สร้างปัญหาให้ผู้ใช้ ถ้าทำได้เราอาจช่วยคนกลุ่มนี้ได้ในวงกว้างกว่าคนไข้ในคลินิก
จุดเริ่มต้นของ KVKX Thailand มาจากแค่นี้เลย แค่เชื่อว่าถ้าทำให้ดี ให้ความรู้ควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของยุคเทาๆ นั้นได้”
ความรู้คู่สกินแคร์ : 2 ปีกับการล้างความเชื่อว่าทาครีม 7 วันแล้วฝ้าหาย
“ความยากในการทำแบรนด์ KVKX Thailand อยู่ที่การสู้กับตลาดสีเทา ในยุคนั้นการทำครีมออกมาแล้วบอกว่า “ฝ้าไม่หายขาดนะ” ใครจะมาซื้อ ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยน Mind Set ของผู้ที่บริโภคให้เขาเข้าใจว่า การใช้ครีมบำรุงผิวต้องใช้เวลา และฝ้าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ดูแลให้ดีขึ้นได้ ซึ่งกุ้งใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าคนจะเริ่มเข้าใจ
“ตลอดเวลาไม่เคยคิดล้มเลิกความตั้งใจนี้เลย ด้วยความที่เรามีสายเลือดความเป็นหมอ แม้จะมาทำสกินแคร์ก็ยังติดสายเลือดความเป็นหมอที่อยากจะเปลี่ยนความคิดคนให้เข้าใจโรคฝ้าอย่างถูกต้อง กุ้งใช้วิธีให้ความรู้เขาบ่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ได้คิดว่าทำสกินแคร์ออกมาขาย แต่คิดว่าเราขายความรู้คู่สกินแคร์ พูดซ้ำๆ ทุกวันด้วยคีย์เวิร์ดเดิมๆ จนวันหนึ่งทุกคนก็เข้าใจว่าฝ้าไม่หายขาด รู้ว่าครีมที่เห็นผลใน 1-7 วัน มันใส่สารเสตียรอยด์ ใส่ปรอท ใส่ไฮโดรคลีโมนที่เป็นอันตราย
ในส่วนของการทำตลาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าคลินิก สำหรับกุ้งถือว่าเป็นความท้าทายมากกว่า เหมือนเราออกจาก Comfort Zone มาสู่ธุรกิจในภาพที่ใหญ่ขึ้น”
ความโดดเด่นของ KVKX Thailand & Vikka Skincare
“กุ้งชอบพูดคำนี้นะ อะไรก็ตามที่ดีที่สุดในโลก เราจะไปเอามันมาให้คนไทยได้ใช้ในราคาจับต้องได้ น่าจะเป็นวิสัยทัศน์ที่เราทำมาตลอด อะไรที่ดีที่สุด Innovative ที่สุด กุ้งจะไปหามา ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม
“ยกตัวอย่างแบรนด์ KVKX Thailand กุ้งวางแนวทางชัดเจนเลยว่าต้องเป็น Innovative ต้องเป็น Ingredient ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และต้องผลิตในต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์ของ KVKX Thailand ทุกตัวจึงผลิตที่ต่างประเทศ ไม่มีตัวไหนผลิตที่ไทยเลย Made in France, Made in Italy, Made in Korea, Made in Japan ทั้งนั้น
“จริงๆ ขายราคานี้ได้กำไรน้อย ต้องใช้เรื่องของปริมาณมาช่วย เราต้องสั่งมาเป็นล็อตใหญ่ ยอมวัดดวง แต่คุ้มค่าตรงที่เรามั่นใจได้ว่าสินค้ามาจากแหล่งผลิตที่แท้จริง มีกระบวนการผลิตที่ดี และมั่นใจได้ในมาตรฐาน ความจริงผลิตในเมืองไทยก็ได้เหมือนกัน แต่เราเชื่อว่าต้นแบบเขาเป็นพิมพ์เขียว เขาต้องทำได้ดีที่สุด ก็เลยเลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด กำไรน้อยก็สู้
“ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ของ Vikka Skincare จะเน้นสิว เจาะกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยลงมา กุ้งให้กำเนิดแบรนด์นี้ในช่วงโควิดครั้งแรกเมื่อต้นปี 2563 เป็นช่วงที่ถูกปิดคลินิก 2 เดือนครึ่ง เห็นช่องว่างว่าคนที่มีปัญหาสิวยังต้องการการดูแลแม้ว่าจะอยู่ในช่วงล็อคดาวน์ เลยใช้ช่วงนั้นในการพัฒนาสินค้าที่เรามีในคลินิกให้เป็นเวชสำอางที่สามารถวางขายในออนไลน์ได้และใช้ง่ายขึ้น กลายเป็นแบรนด์ Vikka Skincare ภายใต้การดูแลที่ให้ความรู้เรื่องสิวควบคู่กัน
“แม้ทั้ง 2 แบรนด์จะเจาะลูกค้าคนละกลุ่มแต่มีคีย์เหมือนกัน คือ ใช้ Ingredient ที่ผ่านการคิดค้นวิจัย สินค้าผ่านการทดสอบจริงก่อนวางขายในท้องตลาด และการใส่ Ingredient ที่ไม่ใช่แค่ใส่เพื่อให้ชื่อว่าใส่ของดี แต่ต้องใส่ในปริมาณที่ Active หรือเห็นผล ทำให้ทั้ง 2 แบรนด์ประสบความสำเร็จ”
อินเนอร์สาวรักสกินแคร์ = Passion ในการทำงาน
“ส่วนหนึ่งที่ทำให้สนุกการพัฒนาแบรนด์สกินแคร์ในมือตลอด เพราะเป็นคนชอบสกินแคร์มากกก ซื้อสกินแคร์เยอะมาก ทั้งถูก แพง และแพงมากๆ บางแบรนด์ไม่มีขายในไทยก็สั่งจากเมืองนอก แล้วก็ชอบศึกษาหาความรู้เรื่องส่วนผสมและงานวิจัยใหม่ๆ ต้องพูดว่าเป็น Passion เลย ดังนั้นตอนที่คิดจะทำสกินแคร์เลยไม่ยาก เพราะมีความรู้ความเข้าใจทั้งในฐานะของผู้ผลิตคิดค้นและผู้ใช้ รวมทั้งมีความรู้เรื่องส่วนผสมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสกินแคร์อยู่แล้ว กลายเป็นสนุกมากกว่า ได้เลือกส่วนผสมและเทคโลโลยีที่ชอบมาใส่ในผลิตภัณฑ์ของเรา ได้ออกแบบแพ็คเกจสกินแคร์ด้วยตัวเอง” (ยิ้ม)
3 เคล็ดลับสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ
“กุ้งคิดว่าต้องเริ่มต้นจาก Passion ก่อน ไม่อย่างนั้นไปต่อยาก แต่บางคนอาจจะเจอ Hidden Gem จากสิ่งที่ไม่ใช่แล้วมี Passion ก็ได้ แต่กุ้งโชคดีตรงที่ Passion กับสิ่งที่ทำตั้งแต่แรกบวกกับสายเลือดของความเป็นหมอที่จริงจังกับการให้ความรู้ที่ถูกต้อง เลยเป็นจุดแข็งที่ทำให้เราพาแบรนด์มาถึงจุดนี้
“อีกสิ่งสำคัญคือ ความมีวินัย ทำอย่างสม่ำเสมอ กุ้งไม่เคยเหนื่อยกับสิ่งที่ทำและทำอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นคนสู้ยิบตา และตั้งใจทำงานสุดตัว ถ้าใครมาเห็นการทำงานจะรู้ว่าทำไมถึงประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะโชคดี แต่เพราะไม่มีตรงไหนที่กุ้งไม่ทำเอง กระทั่งโลโก้ CI ของแบรนด์ แพ็คเก็จจิ้ง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทำแอด กราฟฟิก เลือกสื่อ ดูเองหมด ยิงแอดยังยิงเองเลยค่ะ ทำให้เราเห็นและเข้าใจทุกส่วนของงาน รู้ว่าตรงไหนทำให้ดีขึ้นได้อีก
“สุดท้ายคือ มีความจริงใจ ทุกคนทำธุรกิจก็ต้องหวังผลกำไร การที่เรามีความจริงใจกับลูกค้าจะทำให้ไม่ไขว้เขวไปกับผลกำไรจนละเลยมาตรฐานของตัวเอง จุดยืนกุ้งชัดเจนมากว่าไม่ได้อยากรวยแบบขายได้ 1 ล้านขวดแล้วจากไป แต่อยากสร้างชื่อ อย่างน้อยถ้าวันหนึ่งตัวกุ้งไม่อยู่ก็อยากให้คนจดจำกุ้งในภาพของคนที่ทำสกินแคร์รักษาฝ้า-รักษาสิวที่มีคุณภาพดี เหมือนสตีฟ จ็อบส์ ที่เขาจากไปแล้วแต่ผลงานมาสเตอร์พีชยังอยู่ …นี่คือคีย์ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของกุ้ง”
ครอบครัวคือเบื้องหลังความสำเร็จ
“ทัศนคติในการทำงานของกุ้งมาจากครอบครัวค่ะ พ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวย ฐานะปานกลางค่อนข้างธรรมดา พ่อเคยบอกว่าป๊าไม่มีสมบัติให้นะ เพราะเขามีเท่าไหร่ก็ทุ่มให้การศึกษาลูกๆ หมด เลยเป็นแรงผลักดันให้อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นเพื่อให้ที่บ้านสบาย หรือนิสัยที่ไม่เคยท้อ สู้ตลอด ก็เพราะเราเห็นพ่อกับแม่สู้มาทั้งชีวิต
“พูดได้ว่าครอบครัวคือพื้นฐานที่ทำให้กุ้งมีวันนี้ เขาทำให้เรามีความทะเยอทะยาน เป็นแรงผลักดันให้เราเห็นทุกอย่างเป็นโอกาสและพุ่งชนตลอด แม้แต่การเลือกเรียนหมอก็เพราะพ่อทั้งที่ตอนนั้นไม่ได้สนใจด้านนี้เลย แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปก็จะเลือกเรียนหมออยู่ดี เพราะรู้สึกว่ามีความสุขในทุกวันของการทำงานจริงๆ
“นอกจากนี้ พ่อแม่ยังเป็นคนคอยบอกปัญหาหรือแง่มุมด้านลบที่คนอื่นอาจมองไม่เห็นหรือไม่ได้พูดกับเรา เช่น ทำแบบนี้ไม่ดีนะ เธอตรงเกินไป เธอใจร้อนเกินไป ฯลฯ พูดแบบนี้ถ้าเขามาอ่านเจอจะบอกว่าไม่จริง ไม่เห็นเธอจะฟังเลย (ยิ้ม) เพราะเวลาเขาพูดกุ้งจะดูเหมือนไม่ฟัง บางทีก็ทะเลาะกัน แต่จริงๆ กุ้งฟังนะ คิดในสิ่งที่เขาพูดทุกครั้ง แค่ดื้อเงียบ” (หัวเราะ)
ความสุขในแบบฉบับสาว Workaholic
“กุ้งไม่ค่อยมี Work Life Balance เท่าไหร่ เป็น Workaholic วันหนึ่งสมมตินอน 8 ชั่วโมง นอกเหนือจากนั้นคืองาน แต่ถ้าวันไหนเป็นวันหยุดจะอยู่กับครอบครัวและไม่แตะงานเลย โชคดีที่มีพ่อแม่คอยซัพพอร์ตทุกอย่าง ทำให้ทุ่มกับงานได้เต็มที่ ไม่เคยต้องห่วงเรื่องลูก เรื่องบ้านเลย
“ถ้าถามว่าทำงานขนาดนี้เครียดไหม ไม่นะ เพราะความสุขของกุ้งคือการทำงาน รู้สึกว่ามาสเตอร์พีซในชีวิตกุ้งที่ได้เกิดมาเป็นคนคือการทำงาน เลยรู้สึกว่าไม่เครียด เอ็นจอยกับการทำงาน มีเอนเนอจี้สูงมาก น่าจะเพราะเรากำลังทำในสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว ความสุขก็เลยอยู่ในงานนั่นแหละ พลังบวกอยู่รอบๆ ตัวนี่เอง ไม่ต้องไปหาชาร์จพลังจากที่ไหน เวลาทำงานแล้วเห็นผลเล็กๆ อย่างเช่น ลูกค้ามาบอกว่ามีหลายคนชมว่าเขาสวยขึ้น หรือหนูหาสกินแคร์มาตั้งนาน ไม่น่าเชื่อเลยว่าของราคา 390 บาทจะดีขนาดนี้ ก็เหมือนได้รีบูสต์ตัวเองแล้ว”
การดูแลตัวเองในฐานะคนทำสกินแคร์
“กุ้งว่าการคิดบวก-พลังบวกสำคัญมากๆ และมันมาจากข้างใน ส่วนเรื่องสกินแคร์ ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้สุขภาพผิวยังดีอยู่ อายุสามสิบกว่าแล้วยังไม่มีฝ้าเลย เป็นเพราะกุ้งทามอยส์เจอไรเซอร์กับกันแดดตั้งแต่จำความได้ ขนาดตอนนั้นที่บ้านไม่มีเงินและเป็นคนไม่รักสวยรักงามเลยนะ แต่ไม่รู้ว่าใครปลูกฝัง จำได้ครีมกระปุกแรกที่มีคืออโลเวราเจลกับกันแดด ดังนั้นถ้ามีใครมาถามกุ้งว่าสกินแคร์ที่ควรจะใช้คืออะไรก็จะตอบว่า มอยส์เจอร์ไรเซอร์กับกันแดดนี่แหละ
“เคล็ดลับในการใช้สกินแคร์ของกุ้งคือต้องมีวินัย บางคนคิดว่าใช้สกินแคร์ราคาแพงๆ แล้วผิวฉันต้องดีกว่าคนที่ใช้สกินแคร์ถูกๆ ความจริงไม่เสมอไป การที่เราจะผิวดีต้องใช้สกินแคร์ถูกจุด ถูกกับปัญหาของเรา และมีวินัยในการใช้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทา 1 กระปุกแล้วเลิก
“ส่วนตัวกุ้งต่อให้ทำงานหนัก กลับบ้านดึกแค่ไหน ไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตามบนโลกนี้ แต่ต้องทาสกินแคร์กับกินวิตามินที่เหมาะกับร่างกายของเรา …ถือเป็นการจบวันด้วยการดูแลผิวพรรณและสุขภาพไปในตัวค่ะ”