ช่วงนี้เราจะเห็นบุคลากรทางการแพทย์ตบเท้าลงมาร่วมสนามกับเหล่าอินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพและความงามแทบทุกแพลตฟอร์ม จนพูดได้ว่าเหมือนคนไทยได้ใกล้หมอมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็มี หมอเจด – นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ คุณหมออารมณ์ดีเจ้าของเพจ “หมอเจด” ที่เริ่มเส้นทางอินฟลูฯ ในช่วงโควิด ก่อนจะพัฒนาทิศทางคอนเทนต์จนเป็นที่รู้จักในฐานะคุณหมอที่เข้าใจผู้หญิง
…วันนี้สุดสัปดาห์มีโอกาสได้คุยกับ หมอเจด – นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ในบรรยากาศสบายๆ ที่ กรวิกกา คลินิก เรื่องสุขภาพ-ความงาม ทั้งมะเร็งในผู้หญิงไทย How-to ห่างไกลเบาหวาน ไปจนถึงการอัพความมั่นใจของสาวๆ
จากคุณหมอ #พลังใจโคราช ที่มียอดดูไลฟ์วันละกว่าสองหมื่น สู่การเป็นหมอที่เข้าใจโรคผู้หญิง
“แฮชแท็ก #พลังใจโคราช เป็นเหมือนแท็กประจำตัวผมไปแล้ว เพราะมีคนเอารูปผมไปจัดอาร์ตใส่แท็กนี้เหมือนผมจะไปลงการเมือง เขาน่าจะทำสนุกๆ แต่คนแชร์ไปเยอะมากๆ” หมอเจดเล่าพร้อมเสียงหัวเราะแล้วโชว์รูปพลังใจโคราชให้เราดู และเท้าความถึงการมาทำเพจและไลฟ์ให้ความรู้ว่าเริ่มต้นในช่วงโควิดระบาดหนัก
“ปี 63 ที่โควิดระบาดในไทย ผมเชื่อว่าทุกคนจำระลอกแรกได้หมด ช่วงที่ทุกคนเต้น TikTok เมียผมก็นั่งทำบราวนี่ เกิดกลุ่มจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์มาร์เก็ต ปัญหาตอนนั้นคือมีคนพูดว่าหมอเก่งทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือคุยกับคนไข้ไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นเราก็เปิดคลินิกมา 6-7 ปี แล้ว รู้สึกว่าเราก็ทำออนไลน์ได้ดีระดับหนึ่ง ผมเลยไปคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชว่าสิ่งสำคัญที่ทางเราควรต้องทำคือการสื่อสารกับประชาชนในโคราชนะ แล้วก็นั่งทำคลิป นั่งไลฟ์ในเพจโรงพยาบาลมหาราช แรกๆ ก็ไม่ได้เวิร์คเท่าไหร่เพราะใครๆ ก็ออกมาทำและไม่มีใครรู้จักเรา กระทั่งมีคลัสเตอร์ทองหล่อที่มาพร้อมกับสงกรานต์ ระดับความเครียดมันเพิ่มขึ้น ช่วงก่อนสงกรานต์เป็นช่วงที่พีคที่สุดของโคราช ผมก็เป็นคนรายงานคลัสเตอร์หมูกระทะ คลัสเตอร์โรงเหล้าต่างๆ ตอนนั้นทุกคนเลยจับตาไลฟ์จากเพจโรงพยาบาลมหาราช
“ช่วงพีคๆ นี่คนโคราชราวสองหมื่นคนต้องดูผมตอนสามทุ่มทุกวัน เป็นแบบนี้ติดต่อกัน 4-5 เดือน ชีวิตเหมือนดารา คนเจอหน้าแล้วอยากถ่ายรูปด้วย”
หลังจากชุลมุนกับเรื่องโควิดมานานจนกลายเป็น “หมอเจด พลังใจโคราช” หมอเจดก็มีโครงการเพื่อสังคมออกมาเรื่อยๆ อย่าง Just Listen ที่มาในแนวคิด “การฟังคือพลังที่ยิ่งใหญ่” ซึ่งจัดให้เด็กมัธยมและมหาวิทยาลัย เพราะช่วงนั้นมีเด็กๆ ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองหลายเคส จากนั้นก็มีโครงการ Korat Basic Life Support ที่ให้ความรู้เรื่องการช่วยชีวิตเบื้องต้นซึ่ง หมอกุ้ง-กรวิกกา ภรรยาของคุณหมอเป็นผู้ผลักดัน เพื่อส่งต่อความรู้ในการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก่ประชาชนทั่วไป
ในส่วนของการไลฟ์ให้ความรู้หมอเจดก็ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง แต่ปรับแนวทางมาเป็นการให้ความรู้เรื่องมะเร็งและเบาหวาน โดยเฉพาะมะเร็งที่พบมากในผู้หญิง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “หมอเจด – คุณหมอที่เข้าใจผู้หญิง”
เข้าใจและห่วงใยสุขภาพผู้หญิง
มะเร็งเต้านมกับความเสี่ยงทางพันธุกรรม
“มะเร็ง No.1 ของผู้หญิงยังไงก็มะเร็งเต้านม สิ่งที่จะช่วยผู้หญิงจากเรื่องนี้ได้คือการคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง และมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค เช่น ปัจจุบันเพบว่า 10% ของมะเร็งเต้านมในโลกนี้เกิดจากการสืบทอดทางกรรมพันธุ์ อย่างเคสของดาราดัง แองเจลีน่า โจลี่ ที่มีแม่เป็นมะเร็งเต้านม พอเจาะเลือดไปตรวจก็พบว่าตัวเองมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ แต่อีก 90% ที่เหลือเราก็พอจะรู้ว่าความเสี่ยงเกิดจากอะไรได้บ้าง เช่น โรคอ้วน การรับเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงมากน้อยแค่ไหนในช่วงชีวิต คือ คนที่เป็นเมนส์ตั้งแต่อายุน้อยๆ หรือหมดเมนส์ตอนอายุเยอะๆ คนกลุ่มนี้จะรับเอสโตรเจนเยอะ และอีกหนึ่งความเสี่ยงก็คือการสูบบุหรี่
“นอกจากนี้ ทุกคนควรรู้ว่าการเป็นมะเร็งเต้านมไม่จำเป็นต้องเป็นแค่ในเนื้อหน้าอกท่านั้น มันอาจจะแสดงอาการที่ผิวหนังได้เหมือนกัน โดยเฉพาะผิวหนังที่อยู่ๆ ขึ้นเป็นปื้นแดงซึ่งหลายคนคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือการเป็นแผลที่หัวนมซึ่งบางคนอาจคิดว่าแพ้กาวจากที่แปะจุกหรือบราปีกนก เดี๋ยวก็หาย ทำให้หลายเคสกว่าจะมาถึงมือแพทย์ก็กลายเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ดังนั้นต้องสังเกตอาการเหล่านี้ร่วมด้วย หรือหากจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกาวก็ควรเลือกที่มีคุณภาพหน่อย และไม่ควรใช้นานเกิน 3-4 ชั่วโมง”
ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม
- การทำเมมโมแกรมเยอะเสี่ยงมะเร็ง ในความเป็นจริงการจะเสี่ยงต้องทำมากกว่า 100 ครั้งในชีวิต ซึ่งโดยทั่วไปเราแนะนำให้คนไทยทำอย่างมากปีละ 1 ครั้ง ดังนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ชีวิตนี้จะได้ตรวจถึง 100 ครั้ง
- คนอกเล็กมีความเสี่ยงน้อยกว่า ความจริงผู้ชายแท้ๆ ที่ไม่มีเนื้อหน้าอกก็มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้เหมือนกัน
- การเสริมหน้าอกเพิ่มความเสี่ยง ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติว่าการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็งเต้านม แต่สิ่งที่ไม่ควรทำเลยคือการฉีดสารเหลวแปลกๆ หรือฉีดซิลิโคนเหลวเข้าไปเพื่อเสริมขนาด
มะเร็งปากมดลูกป้องกันได้
“อันดับ 2 ของมะเร็งในไทยคือมะเร็งปากมดลูก ซึ่งโรคนี้เป็นมะเร็งที่เซอร์ไพร้ส์วงการมากเพราะมันป้องกันได้ เป็นมะเร็งที่ทางการแพทย์เชื่อว่าในอีก 20-30 ปีน่าจะหมดไปจากโลกเพราะ 99% ของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า HPV ซึ่งในปัจจุบันมีวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ซึ่งป้องกันโรคมะเร็งปาดมดลูกได้ถึง 95% สำหรับคนไทย ดังนั้นถ้าเราระดมฉีดให้เด็กตั้งแต่อายุ 9-10 ขวบที่ยังไม่รู้จักคำว่าเซ็กส์ มันก็จะป้องกันได้ค่อนข้างเยอะ ซึ่งขณะนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนเพื่อกำจัดโรคนี้ให้หายไป”
ข้อควรรู้เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก
- ไวรัส HPV ไม่ได้มากับเซ็กส์เท่านั้น ในห้องน้ำสาธารณะก็อาจมีเชื้อไวรัส HPV แฝงได้ เช่น ลูกบิด ก๊อกน้ำ สายฉีดก้น
- ทุกเพศมีโอกาสติดไวรัส HPV และการใส่ถุงยางไม่ได้ป้องกัน HPV (แต่การใส่ถุงยางยังคงสำคัญเพราะป้องกันเอดส์กับหนองในบางอย่างได้) เมื่อติดไวรัส HPV แล้วจะเป็นมะเร็งหรือไม่ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน ซึ่งหากเป็นเพศชายแม้จะไม่มีปากมดลูก หากติดเชื้อก็อาจพัฒนาไปเป็นมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งตรงหนังหุ้มอัณฑะ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปาก ลำคอ ทอนซิล (กรณีติดเชื้อผ่านออรัลเซ็กส์)
- มีเซ็กส์มาแล้วก็ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ได้ ปัจจุบันวัคซีนมะเร็งปากมดลูกสามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยมีเซ็กส์และไม่เคยมีเซ็กส์ และถึงคุณเคยติดเชื้อแล้วก็ยังสามารถฉีดได้ เพราะการติดเชื้อด้วยตัวเองกับการรับภูมิจากวัคซีนมันกระตุ้นภูมิคนละแบบ คุณหมอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เป็นรายคนไป
“ผมแนะนำให้มีการรณรงค์ให้ทุกคนทุกเพศทุกวัยได้ฉีดวัคซีน HPV โดยเฉพาะผู้หญิงอายุตั้งแต่ 9-10 ขวบ เพราะการฉีดวัคซีนหนึ่งครั้งป้องกันได้แสนแปดมะเร็ง โคตรคุ้ม ที่สำคัญมีงานวิจัยบอกว่าคนที่ฉีดตั้งแต่เด็ก โตมาภูมิคุ้มกันก็เหลือตั้ง 95% ไม่ต้องฉีดกระตุ้น สรุปก็คือจะช้าหรือเร็ว ทุกคนควรฉีดวัคซีนตัวนี้” หมอเจดทิ้งท้ายอย่างจริงจัง
เข้าใจข้อกังวล+ความมั่นใจของผู้หญิง
“ส่วนตัวผมเป็นหมอที่รักษามะเร็งเต้านมอยู่แล้วก็เลยคิดถึงการดูแลคุณภาพชีวิตหลังการรักษามะเร็งด้วย จึงไปศึกษาเพิ่มเติมด้านการเสริมหน้าหน้าอกหลังจากการตัดเต้านมเพื่อรักษามะเร็งที่เกาหลี 6 เดือน เพื่อมาดูแลผู้หญิงที่รักษามะเร็งเสร็จแล้วแต่กลับเสียความมั่นใจในเรื่องสรีระความเป็นหญิงไป ซึ่งเคสการเสริมหน้าอกหลังการรักษามะเร็งจะค่อนข้างซับซ้อนกว่าการเสริมหน้าอกเพื่อความงาม แต่จากการที่ผมรับทำทั้ง 2 แบบก็พบว่ามีความยากกันคนละแบบ เคสประเภทแรกยากตรงสรีระที่เปลี่ยนไป ส่วนเคสประเภทหลังยากตรงความคาดหวังที่สูงกว่ามาก เราก็ต้องมีความเข้าใจผู้หญิงทั้ง 2 กลุ่มเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ตรงจุด”
นอกจากนี้ คุณหมอเจดยังเล่าว่าการทำตาก็เป็นหนึ่งในหัตถการที่ชื่นชอบ เพราะเป็นอีกอย่างที่ช่วยแก้ปัญหาและเสริมความมั่นใจให้คนไข้ไม่ต่างจากการเสริมหน้าอก
“เรื่องสวยๆ งามๆ ที่กรวิกกาคลินิกเราก็ทำทุกอย่าง แต่จริงๆ ผมชอบทำตาที่สุด อยากให้คนดูเด็ก แต่ก็ไม่ได้มองเรื่องสวยงามอย่างเดียว มองเรื่องฟังก์ชันด้วย เพราะการผ่าตัดตานอกจากเรื่องความสวยงามยังช่วยแก้ปัญหาสุขภาพได้ด้วย เช่น บางคนเมื่ออายุมากขึ้นมีปัญหาหนังตาตกจนบดบังการมองเห็น หรือหนังตาตกจนขนตาม้วนทิ่มตาทำให้น้ำตาไหลไม่หยุด มีขี้ตา ก็สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดหนังตาได้”
เบาหวานภัยร้ายใกล้ตัวที่หมอเจดอยากเตือน
นอกจากความเข้าใจผู้หญิงทั้งเรื่องสุขภาพและความมั่นใจแล้ว อีกหนึ่งคอนเทนต์ที่โดดเด่นในเพจหมอเจดคือคอนเทนต์เกี่ยวกับโรคเบาหวานที่คุณหมอนำประสบการณ์จริงของตัวเองมาถ่ายทอดเพื่อเป็นความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คน
“เมื่อก่อนผมหนัก 110 กิโล เป็นเบาหวานมา 7 ปี ตอนนั้นมีปัญหากับการใช้ชีวิต ปวดฉี่บ่อยต้องอั้นเวลาทำงาน หรือจะแนะนำคนไข้ให้ลดน้ำหนักก็พูดยากเพราะตัวหมอเองก็ยังอ้วน ยังติดน้ำหวาน แต่มาปรับพฤติกรรม-ลดน้ำหนักได้สำเร็จตอนมีลูกคนที่สอง เริ่มคิดได้ว่าถ้าเราเป็นอะไรไปลูกจะอยู่ยังไง เมียก็สวยด้วยเดี๋ยวโดนทิ้งจะทำไง” หมอเจดเล่าไปหัวเราะไปก่อนจะสรุป Fast Fact เกี่ยวกับเบาหวานที่เข้าใจง่ายสุดๆ ให้เรานำมาฝากคุณผู้อ่าน
5 G ต้องรู้ พร้อมสู้เบาหวาน
Good Food ลดน้ำตาลเข้า = ลดงานให้อินซูลิน
“การลดน้ำตาลเข้าคือเลือกกินที่ดี แบ่งเป็น 2 อย่างคือ Low Carb กินแป้งให้น้อยที่สุด ไม่เกิน 50 กรัม/วัน เทียบเท่ากับข้าว 2-3 ทัพพี + ลดน้ำตาลแฝงที่มาในรูปแบบน้ำหวานต่างๆ นานา น้ำที่ทุกคนไม่ควรกินคือน้ำผลไม้ ถ้ากินผลไม้ธรรมดาเรากินทีละหนึ่งลูกหรือหนึ่งกำมือ ไม่เป็นเบาหวาน แต่น้ำผลไม้คือการคั้นส้มเกือบครึ่งโลเพื่อให้เรากินหนึ่งขวด อันนี้ไม่ควร แถมบางคนก็ไปใส่กลิ่น ใส่น้ำตาล ใส่น้ำเชื่อมเพิ่มอีก อันนี้ไม่เวิร์ค รวมทั้งชานม น้ำอัดลมจะซีโร่ไม่ซีโร่มันก็กระตุ้นอินซูลินได้หมด
“สิ่งสำคัญคือ Good food before good fast ให้กินของที่ดีก่อน แล้วค่อยทำ Fasting (การอดอาหารเป็นช่วงๆ) ไม่ใช่ห้ามกิน แต่ลดให้น้อยที่สุด เรื่องนี้ทำยาก ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หมอเองก็เคยเป็น แต่สุดท้ายเราต้องเลือก ถ้ากินของดีได้ จะไม่เจอปัญหาน้ำตาลคั่งแล้วสะสม”
Good Fast ตอกบัตรให้อินซูลินทำงานเป็นเวลา
“เมื่อคุณลดน้ำตาลได้แล้ว คุณก็จัดเวลาให้น้ำตาลทำงานได้ดีขึ้น นั่นคือการทำ Fasting สมมติเจ้านายให้ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงบ่ายสามพอ คุณก็จะมีความสุขกับการทำงาน ทำงานได้เต็มที่ใช่ไหมอินซูลินก็เหมือนกัน จะทำให้อินซูลินกลับมาทำงานแบบเด็กดี ต้องให้งานน้อยๆ ให้เขาทำงานตรงเวลา เปรียบเทียบการทำงานกับการทำFasting คือกินแค่แปดโมงเช้าถึงบ่ายสาม หลังจากนั้นอย่าไปกินอะไรที่เป็นน้ำตาล ไม่ได้ห้ามกินกาแฟดำ ชา น้ำเปล่า ชาเขียว พวกนี้กินได้แต่ต้องไม่มีน้ำตาล อินซูลินก็จะมีช่วงเวลาพัก มีความสุข ร่างกายเราก็จะกลับมาปกติ”
Good Exercise ถ้าอินซูลินทำงานหนักไป ก็หาใครมาช่วยหน่อย
“การเสริมสร้างกล้ามเนื้อสำคัญ ถ้าป่วยเบาหวานอย่าไปอยากมีกล้ามแขนใหญ่ๆ ไม่จำเป็น ควรเสริมกำลังขาก่อน เริ่มจากการสควอท ลุกนั่งง่ายๆ ก็ได้ มีเปเปอร์เยอะแยะที่บอกว่าสควอท 10 ครั้ง 3 เซต ช่วยลดระดับน้ำตาลได้ดีกว่าเดิน 30 นาทีด้วยซ้ำ กล้ามเนื้อมันเป็นประตูที่จะรับน้ำตาลเข้ามาเก็บ เป็นตัวช่วยของอินซูลิน พองานน้อยลง ทำงานเป็นเวลา แถมมีคนมาช่วยอีก แค่นี้อินซูลินก็หายดื้อแล้ว”
Good Mood ตัดวงจรเครียด-หิว-กิน!
“ความเครียดเป็นอีกอย่างที่ทำให้น้ำตาลสูง พอเครียดฮอร์โมนตัวนึงจะหลั่งเราจะหิว หิวแล้วจะกิน เพราะงั้นถ้าไม่เครียดก็ไม่เกิดวงจรนี้ บางคนบอกว่าเครียดก็ไปนั่งสมาธิ ฟังเพลง อ่านหนังสือ ไม่ก็ดูซีรีส์ แต่หมออยากให้ลองดูซีรีส์ไปเดินไปจะยิ่งดีขึ้นอีก”
Good Sleep นอนดี เยียวยาร่างกาย
“การนอนที่ดีทำให้เกิดปฏิกิริยาหลายอย่าง อย่างโกรทฮอร์โมนหลั่งสี่ทุ่มถึงตีสอง ทำให้หน้าเด็ก โกรทฮอร์โมนจะคอยสลายไขมันให้กลายเป็นแหล่งพลังงาน ถ้าหลั่งเยอะ ไขมันพวกนี้จะออกไปได้ ซึ่งการที่ไขมันจะออกไปได้ต้องไม่มีอินซูลินหลั่งออกมา แปลง่ายๆ ว่าไม่ควรกินหลังหกโมงเย็น ถ้ากินหกโมงเย็น สองทุ่มสามทุ่มอินซูลินจะหมดละ เพราะอาหารกับอินซูลินอยู่ได้ไม่เกินสองชั่วโมง สี่ทุ่มเข้านอน เที่ยงคืนโกรทฮอร์โมนหลั่ง จบ ยิ่งนอนนาน จะยิ่งได้ Fasting ไปแล้วแปดชั่วโมง เป็นการสร้างวงจรดีๆ ให้ร่างกายได้”
“ถ้าให้สรุปเรื่องสุขภาพหมอขอพูดง่ายๆ ว่า เวลาซื้อรถมายังเอารถไปตรวจเช็กตามกำหนดเวลาได้ แล้วทำไมร่างกายเราแท้ๆ เราถึงไม่ใส่ใจจะดูแลเหมือนที่เราดูแลรถล่ะ” หมดเจดทิ้งท้ายการสัมภาษณ์อย่างน่าคิด