“ผี” ใครไม่กลัวคงไม่เชื่อ แต่บางคนไม่เชื่อกลับกลัวมากก็มีเช่นกัน จะว่าไปแล้วคนส่วนใหญ่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์เจอวิญญาณแบบซึ่งๆ หน้ามาก่อน ต่างจากคนดังเหล่านี้ที่ล้วนมี ประสบการณ์หลอน มาแล้วทั้งนั้น บางคนหนักหนาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่บางคนก็ผ่านมาเพื่อเป็นประสบการณ์ให้ได้จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องเล่าผีๆ ของ บุ๋ม-ปนัดดา, สายป่าน อภิญญา, โอม ค็อกเทล, ปั้นจั่น ปรมะ, ดีเจนุ้ย, ดีเจโป้ง และเพชรจ้า จะเป็นยังไง ไปฟังพวกเขาเล่าพร้อมกันเลย
บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี
“สมัยก่อนความที่ยังเด็ก เราก็คิดว่าการเห็นผีหรือมีสัมผัสพิเศษเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนเห็นกัน ผู้หญิงในตระกูลอย่างคุณแม่ น้า พี่สาว ก็มีเซ้นส์เช่นกัน อย่างตอนบุ๋มอายุประมาณ 14 ปี น้าฝันเห็นเราเลือดออกปาก จึงบอกให้ไปทําบุญและรดน้ํามนต์ หลังจากนั้นบุ๋มก็ประสบอุบัติเหตุ รถยุบไปเลย แต่ไม่เป็นอะไรมาก แค่ปากแตกนิดหน่อย ซึ่งก่อนชนเราได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกมาจากข้างหลัง เลยดึงเข็มขัดมาคาด คาดปุ๊บรถชนเลย มานึกว่าถ้าไม่ได้ยินเสียงผู้หญิงเตือน ป่านนี้คงตายไปแล้ว
“ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกและเห็นมากขึ้น ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยที่เอแบค เพื่อนชอบทักว่าเมื่อกี้เจอแกเดินสวน ทําไมไม่ทักทายกันเลย คือจะมีคนเห็นฝาแฝดบุ๋มเยอะมาก น้าเล่าว่านอนอยู่ในบ้านมีคนหน้าตาเหมือนบุ๋ม ไว้ผมตรงยาว มีหน้าม้า เปิดประตูเข้ามาจ้องนิ่งๆ แล้วปิดประตูออกไป คุณแม่ก็เคยเจอ คือเวลาบุ๋มขับรถกลับบ้าน ครอบครัวจะกําชับว่าห้ามออกจากรถ เพราะเคยโดนอุ้มลักพาตัว ต้องรอให้คนมาเปิดประตู ขับรถเข้าบ้านปิดประตูรั้วแล้วค่อยลงจากรถ มีวันหนึ่งบุ๋มมาถึง รอให้คนมาเปิดประตู มองขึ้นไปเห็นแม่ยืนตรงระเบียงบ้าน กําลังชี้นิ้วมาทางรถแล้วพูดกับเราอยู่ ก็คิดในใจ เอ๊ะ! แม่บ่นอะไร พอเข้าบ้านไปแม่บ่นยกใหญ่ว่าออกมายืนนอกรถทําไม บุ๋มเลยเถียงว่า เปล่าค่ะแม่ ตอนนั้นฝนตก ถ้าออกมายืนชุดนักศึกษาต้องเปียกแล้วสิ ทีนี้ทุกคนเงียบเลย
“เคยคุยกันในครอบครัวแล้วสันนิษฐานว่า บุ๋มอาจจะมีแฝดซึ่งเสียไปแล้ว เพราะตอนท้องคุณแม่เคยเลือดออก และคนในตระกูลมีแฝดเยอะ เพราะเธอคนนั้นหน้าเหมือนบุ๋มเลย แต่เป็นคนดุ ไม่ค่อยยิ้ม มาย้อนคิดไปว่าเสียงผู้หญิงที่เรียกก่อนเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นน่าจะเป็นเสียงเตือนจากเธอเหมือนกัน
“หลังจากนั้นบุ๋มก็เห็นอะไรแบบนี้หนักขึ้นในลักษณะที่ต่างกันไป บางครั้งก็เป็นเงาดําบ้าง รูปร่างชัดเจนบ้าง บางคนยืนร้องไห้ บางทีขับรถอยู่ก็มีผู้ชายวิ่งออกจากบ้านหลังหนึ่งมาคว้าประตูรถเพื่อจะเข้ามา บางคนข้ามถนนโดนรถชนตาย ซึ่งผ่านไปแถวนั้นทีไรบุ๋มจะเห็นเขาข้ามถนนอย่างนั้นทุกครั้ง คือถ้าเห็นเงาวูบๆ จะรู้เลยว่าวันนี้วันโกน พรุ่งนี้วันพระ
“ครั้งหนึ่งบุ๋มเห็นผู้ชายเกาะหลังแฟนคลับ เลยเอามือไปปัดออก เขาก็มาเกาะเราแทน ตอนนั้นบุ๋มไม่รู้ว่าไม่ควรทําแบบนั้น เพราะทุกคนต่างมีเจ้ากรรม-นายเวรเป็นของตัวเอง เขาเลยทวงถามว่าขัดขวางทําไม สิ่งที่ช่วยได้คือทําบุญแล้วอุทิศให้วิญญาณดวงนั้น ขออโหสิกรรม ขอโอกาสให้น้องคนนั้นได้ทําสิ่งดีๆ นี่คือการสร้างทานบารมี และไม่เข้าไปยุ่งกับวิบากกรรมของใคร
“สิ่งที่บุ๋มเห็นเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ซึ่งบุ๋มไม่รู้จะบอกกับใครดี ฉะนั้นคนใกล้ตัวเท่านั้นถึงรู้ เคยไปถ่ายละครต่างจังหวัด ต้องค้างโรงแรมแห่งหนึ่ง บุ๋มนอนคนละเตียงกับเลขาฯ กลางดึกก็เปิดไฟดวงเล็กๆ อ่านการ์ตูน จู่ๆ ก็เห็นผู้หญิงใส่ชุดขาว ผมดําหยิกยาว ยืนมองหน้า ถามว่า ‘มึงเห็นกูใช่มั้ย’ เราอธิษฐานจิตกลับไปว่า ‘ไม่เห็นๆ’ ทีนี้เสียงตะคอกกลับมาเลยว่า ‘มึงเห็นกูใช่มั้ย!!’ เท่านั้นแหละ สะกิดเลขาฯ ชวนกันออกไปอยู่หน้าล็อบบี้โรงแรมจนเช้า จนพี่นีโน่ (เมทนี บุรณศิริ) มาเล่าให้ฟังว่า เคยมีรุ่นพี่นักแสดงมาพักที่นี่เมื่อหลายปีก่อน นอนๆ อยู่ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ แล้วมีผู้หญิงชุดขาวผมหยิกดํายาวมานอนคว่ำหน้าอยู่ตรงหัวไหล่ คือเจอหนักกว่าบุ๋มอีก สืบไปสืบมาจนรู้ว่าเธอเป็นคุณครู โดนหลอกมาฆ่าข่มขืนแล้วเอาศพไว้ใต้เตียง ไม่ยอมไปเกิด คงเพราะมีความโกรธแค้นอยู่
“บางครั้งบุ๋มโดนหนักถึงขั้นเขามาโดนตัว ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเกินไปนะ มีอยู่ปีหนึ่งบุ๋มไปทําบุญครบรอบสึนามิ ใส่สูทคลุมเสื้อตัวใน วันนั้นฝนตกหนักมาก เสื้อเปียก ก็เลยถอดสูทออก ปรากฏว่ามีรอยนิ้วมือห้านิ้วที่ต้นแขน หรืออย่างตอนไปล่าท้าผีที่สุสานโสเภณีกับรายการคนอวดผี บุ๋มเห็นวิญญาณตรงกับที่อาจารย์เจนเห็น และเดินไปห้องที่ผู้หญิงถูกทรมาน เห็นโซ่ 2เส้นแล้วรู้สึกแสบๆ ที่หลังพิกล จากนั้นบุ๋มเห็นวิญญาณผู้หญิงยืนกระชากโซ่ เราร้องกรี๊ด เข่าอ่อน ทรุดลงไปกับพื้น จนแท็ค (ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม) ต้องมารับออกไป เชื่อมั้ยว่าพอเปิดเสื้อดูเห็นเป็นรอยแดงยาวที่กลางหลังเลยค่ะ”
—————
ดีเจนุ้ย ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร
“นุ้ยกลัวผีมากชนิดที่อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องมีพี่ มีแม่อยู่ด้วย จะให้มานั่งหลอนหรือนอนคนเดียวในห้องไม่เอาเลย แต่ด้วยอาชีพต้องเดินทางและจําเป็นต้องค้างคืนแปลกที่ตลอด เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตเหมือนกัน เพราะนุ้ยไม่สามารถนอนร่วมกับคนอื่นได้ แต่พอนอนคนเดียวก็กลัวผีอีก ฉะนั้นนุ้ยจะเปิดไฟ เปิดทีวีทั้งคืน ไปไหนมาไหนจะพกหนังสือสวดมนต์ นิมนต์พระองค์เล็กๆติดตัวไปด้วยแล้ววางไว้ข้างหมอน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อฝังหัวที่ต้องทําทุกครั้งคือ วางรองเท้าสลับหัวท้ายกันหน้าประตู โยนเหรียญเข้าใต้เตียงเพื่อซื้อที่ ถ้าเตียงใหญ่หรือมีอีกเตียงว่างก็จะวางกระเป๋า วางของเพื่อไม่ให้มันโล่ง
“มีครั้งหนึ่งนุ้ยไปทริปฮานอย-ฮาลองเบย์ คนอื่นนอนคู่อยู่ชั้น 4 ส่วนนุ้ยนอนเดี่ยวอยู่ชั้น 8 คนเดียว พอเปิดห้องเข้าไปเท่านั้นแหละ คุณพระคุณเจ้าช่วย ห้องใหญ่โตหรูหรามาก แต่เซ้นส์นุ้ยบอกว่าห้องนี้อยู่ไม่ได้ เลยโทร.หาไกด์ว่าอยากได้ห้องเล็กๆ ชั้น 4 แต่ก็เต็มหมด พอตกดึกนุ้ยนอนไม่ได้จริงๆ มันแปลกๆ เลยลงไปหาไกด์ที่ชั้น4โดยไม่รู้ว่าเขาอยู่ห้องไหน เลยเคาะประตูหาทุกห้องจนเจอ และขอแลกห้องกัน นุ้ยนอนห้องเขา ไกด์2คนขึ้นไปนอนห้องนุ้ยแทน ตื่นเช้ามาไกด์เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนมีลมหายใจรดต้นคอทั้งคืน คิดว่าเพื่อนอีกคนมานอนข้างๆ หันไปปรากฏว่าเพื่อนนอนไกลตัวมาก
“อีกเรื่องเกิดขึ้นที่บ้านเมืองกาญจน์ เรารู้กันว่าพ่อนุ้ยเลี้ยงกุมาร วันหนึ่งพ่อไปซื้อไม้จากเขมรมาสร้างบ้าน จากนั้นก็สร้างตึกแถว 3 ชั้นเพิ่มด้านหน้า เพื่อทํากิจการค้าขายอะลูมิเนียม พร้อมกับเป็นบ้านพักอาศัย เลยยกบ้านไม้ให้ช่างอยู่ ปรากฏว่าเขาอยู่กันไม่ได้ เพราะโดนก่อกวนมาก ซึ่งช่วงที่เราอยู่แม่มักได้ยินเสียงโครมครามจากชั้น 2 ตลอด วิ่งขึ้นไปคิดว่าของร่วง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายต้องนิมนต์หลวงพ่ออุตตมะให้มาเทศน์ ว่าถ้าอยู่บ้านเขาก็อย่าก่อกวน จากนั้นค่อยสงบราบรื่น
“ส่วนบ้านตึกแถว วันดีคืนดีนุ้ยอยู่ในห้องนอนกับแม่และพี่ชาย ได้ยินเสียงประตูรีโมตข้างล่างเลื่อนขึ้นครืด… คิดว่าพ่อกลับบ้านแล้ว จากนั้นมีเสียงเคาะประตูห้องนอน ก๊อกๆ จึงไปเปิดให้ แต่กลับไม่มีใครเลย นุ้ยปิดกลับอย่างเร็ว กระโดดขึ้นเตียงถาม ‘แม่! ใครเคาะอะ’ มองไปที่ช่องใต้ประตูก็ไม่มีเท้าใคร สักพักพ่อเดินขึ้นมา เลยถามว่าเมื่อกี้เคาะประตูหรือเปล่า พ่อตอบว่าเปล่า เพิ่งมาถึง นุ้ยเลยเดาได้ว่าน่าจะเป็นกุมารมาล้อเล่น
“มีเหตุการณ์หนึ่งที่นุ้ยเห็นกับตาแบบจําไม่ลืมคือ บ้านนุ้ยอยู่นอกตัวเมืองกาญจน์ ระหว่างทางขับรถจะกลับบ้าน ถนนจะมืดๆ เงียบๆ ข้างทางเป็นป่า พ่อขับ พี่ชายนั่งหน้า นุ้ยนั่งกับแม่ข้างหลัง สักพักแม่พูดขึ้นมาว่า ‘ระวังๆ มีคนจะข้ามถนน’ นุ้ยก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่กลางถนน เป็นเงาผู้หญิงดําๆ แต่หัวโล้น ที่รู้ว่าเป็นผู้หญิงเพราะเห็นใส่เสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าถุง ตัวสูงประมาณ 190 เซนติเมตร จังหวะนั้นมีรถจี๊ปฝั่งตรงข้ามขับสวนมา พอรถจี๊ปขับผ่านไปก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว สรุปพ่อกับพี่ชายไม่เห็น แต่นุ้ยกับแม่เห็น กลัวจนไม่รู้จะทําอะไร เลยกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักแม่”