THE DHAMMA MAN อุ๋ย บุดด้าเบลส

Alternative Textaccount_circle
event

แล้วรู้สึกอย่างไรกับคนที่เขาทำบุญด้วยเงินจำนวนมาก เพราะเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนกลับมามากเช่นกัน
ก็เป็นสิทธิ์ของเขา เขาอาจจะไม่ได้ศึกษาให้ดีในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าก็บรรยายว่าถ้าทำบุญเพื่อหวังผลมันได้นะครับ แต่เป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุดเลย ขณะที่การทำบุญโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนได้อานิสงส์มากกว่ามากมาย แล้วก็มีการทำบุญแบบที่ไม่ต้องใช้เงินสักบาท อานิสงส์มากกว่าด้วยซ้ำ อานิสงส์ในที่นี้ต้องเข้าใจให้ชัดก่อนว่าเป้าหมายของศาสนาพุทธคือหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ที่บอกว่าอานิสงส์สูงกว่าคืออะไรที่ส่งให้ไปสู่เป้าหมายนั้น แต่ถ้าคุณหวังว่าอานิสงส์คือร่ำรวยเงินทอง อันนั้นอาจจะได้ผลต่างกันสำหรับผม แค่คุณอภัยทานได้ หรือให้ธรรมะเป็นทานแก่คนมันประเสริฐกว่าการบริจาคแต่เงินแล้วหวังว่าจะได้กลับอีก แต่ทั้งนี้เวลาเห็นเขาบริจาคเยอะ ๆ ก็อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าเขาทำบุญด้วยเงินเท่านั้น กิริยามันเหมือนกันคือยกเงินเป็นปึกเป็นสิบล้านถวายวัด แต่เราไม่มีทางรู้ว่าในใจเขาเจตนาเป็นอย่างไร ถ้าเจตนาเขาหวังว่าจะนำเงินนั้นมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เผยแผ่ศาสนาด้วยจิตบริสุทธิ์ อานิสงส์ย่อมต่างจากคนที่ถือเงินจำนวนเท่ากันแล้วยกให้วัดเพราะหวังว่าจะได้สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ หรือได้ผลบุญกลับมาด้วยการที่ธุรกิจของเราจะเจริญก้าวหน้า ผลต่างมันคนละเรื่องเลยนะ การหวังจะได้กลับคือการทำเพื่อยึด ทำเพราะอยาก
สวนทางกับศาสนาพุทธที่บอกว่าทำเพื่อละ จาคะคือบริจาค เป็นการสละออกยุคนี้เป็นยุคทุนนิยม บริโภคนิยม การมองบุญเป็นสินค้าแล้วใช้เงินซื้อมันสะดวก ไม่ต้องมานั่งประพฤติปฏิบัติเพื่อทรมานตัวเอง อย่างที่บอกว่าอานิสงส์ที่สูงกว่าทานคือศีล นี่ผมไม่ได้บอกว่าทานทิ้งได้นะ เพราะทาน ศีล และภาวนา ทั้งสามอย่างนี้เอื้อกันหมด แต่พูดถึงอานิสงส์แล้วศีลเป็นต้นเหตุมากกว่าทาน คือทำตั้งแต่เหตุเลยป้องกันไม่ทำบาป ละบาป บุญยังทำทีหลังได้อย่างโจรไปปล้นเงินเขามาหรือโกงเงินสหกรณ์มาก็ทำบุญที่วัดได้ แต่ว่าการถือศีล ไม่ขโมย ไม่เบียดเบียน นี่คือต้นเหตุเลย

เมื่อสักครู่คุณบอกว่ามาสนใจปฏิบัติธรรมหลังจากที่บ้านไฟไหม้ อยากรู้ว่าชีวิตก่อนที่จะมาสนใจเรื่องธรรมะเป็นอย่างไรครับ
ก็เป็นแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป เที่ยว สูบบุหรี่ กินเหล้าเมายา เริ่มตั้งแต่ ม.5 สำมะเลเทเมาตามสไตล์ ไม่หนักหน่วงหรือหลุดโลกมาก แต่ก็ดื้อผมเถียงกับแม่ตั้งแต่เล็กจนโต ตวาดแม่เป็นกิจวัตรเป็นพวกบ้าเหตุบ้าผล ผมชอบตัดแบบบ้า ๆ บอ ๆ
พอที่โรงเรียนไม่ให้ก็มาทะเลาะกับแม่แทบจะฆ่ากันตาย (หัวเราะ) หรืออย่างง่าย ๆ อย่างเรื่องที่แม่เชื่อหมอดูกับคนเข้าทรง ก็เถียงกันบ้านระเบิด แม่ชอบบอกว่าหมอดูบอกว่าอย่าทำแบบนั้นแบบนี้ “ดวงเรามันทำไม่ได้หรอก” อย่างตอนผมจะทำเพลงหมอดูก็บอกว่าผมไม่เหมาะหรอก ทำงานบริษัทหรือในองค์กรดีกว่าหมอดูหลายคนทายอดีตแล้วตรง แต่อดีตมันคือเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว อาจจะมีอะไรบอกได้ ถ้าแต่เป็นเรื่องอนาคต ถ้าบอกแล้วเราจะตั้งใจทำมาหากิน
ทำไม ก็แล้วแต่ดวงไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าบอกว่าดูตามราศีงั้นคนทั้งโลกเหมือนกันได้แค่ 12 แบบเหรอเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกับผมถ้าเกิดราศีเดียวกันดวงก็ต้องเหมือนกันหมดสิ ผมก็เถียงกับแม่ไปอย่างนี้

ได้เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เหมือนที่หลายคนนิยมเปลี่ยนไหม
ไม่ครับ ตอนคบกับแฟนบางคนเขาก็พยายามให้ผมเปลี่ยนเบอร์ จะได้ช่วยเรื่องหน้าที่การงานและความรัก ผมไปหาคนดูศาสตร์ตัวเลขที่แฟนคนก่อนผมชอบไปหา บอกเขาว่าเลขไหนที่กาลกิณีที่สุดใช้แล้วจะป่วย งานไม่มี เอามา ผมจะใช้ เขาบอกว่าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก มันผิดจรรยาบรรณอาชีพเขา “ถึงมีก็ไม่ให้” ผมบอกแฟนว่าเอามาเลยนะถ้ามี ผมจะใช้และจะดูว่าจะเป็นไรไหมส่วนตัวผมเชื่อว่าการกระทำของตัวเราเองเป็นตัวกำหนด ของพวกนี้อาจจะทำให้บางคนมีกำลังใจมากขึ้นในการใช้ชีวิต นั่นก็เป็นสิทธิ์ของเขา เขาเปลี่ยนเบอร์มา ฟังคนที่ดูตัวเลขพูดแล้วทำให้มีกำลังใจในการทำมาหากิน กระตุ้นกำลังใจ มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่สำหรับผมแล้วใจผมไม่รับเพราะฉะนั้นของแบบนี้ก็มากระตุ้นใจผมตอนทำงานไม่ได้หรืออย่างเรื่องดูดวง ไม่ว่าจะบอกว่าเป็นหลักสถิติอะไรก็แล้วแต่ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมันสามารถทำนายได้ ผมเคยเจอคนที่ดูโดยไม่ถามวันเดือนปีเกิดเลย เขาใช้วิธีนั่งสมาธิแล้วมาแตะตัว แต่สามารถบอกได้ว่าผมมีพี่น้องกี่คน บ้านอยู่ไหนเข้าประตูบ้านแล้วห้องน้ำอยู่ใต้บันไดทางซ้ายหรือขวา รู้จนน่าตกใจ เขาทำนายอนาคตผมไว้ มีหลายเรื่องที่ไม่ตรง มีจริงแค่บางอัน เรื่องนี้ผมเชื่อว่าอะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันมีบางอย่างที่สามารถบอกให้รู้ได้ ส่วนอนาคตที่เขาบอกได้ผมว่าเขาดูจากนิสัยและสันดาน อดีตเราเป็นคนนิสัยแบบไหนมันอาจจะทำให้เราไปเจอเหตุการณ์แบบนั้นได้ในอนาคตผมเชื่อว่าวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนอนาคตได้ก็คือการเปลี่ยนนิสัยและสันดานนี่เอง ถามว่าการจะเปลี่ยนสันดานและความเคยชินเดิม ๆ ทำได้อย่างไร ก็ด้วยการปฏิบัติธรรมไงครับ การปฏิบัติธรรมคือการรู้จักตัวเอง เห็นข้อเสีย มีสติยั้งทันไม่ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ เช่น ขับรถอยู่แล้วโมโห แต่ก็ไม่ลงไปมีเรื่องเพราะมีสติยับยั้งได้ เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ลงไปชกกับเขา แต่นั่งอยู่ในรถแล้วปล่อยผ่านไป แค่นี้เส้นทางชีวิตก็คนละเรื่องแล้วสำหรับผมนี่คือการเปลี่ยนดวงได้จริง ๆ

 

สวดมนต์ไหมครับ
ผมไม่ชอบสวดมนต์ จะสวดเวลาที่ต้องไปวัดทำพิธีพร้อมกับคนอื่น แต่ถ้าในเวลาปกติแทบไม่สวดเลยมีคนที่ไม่เชื่อเรื่องการสวดมนต์ โดยบอกว่าแค่นั่งท่องภาษาบาลี จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของเขา อย่างที่บอกว่าบางเรื่องผมจะไม่บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะยังอยู่ระหว่างพิสูจน์ แต่ก็เห็นประโยชน์ อย่างพระไตรปิฎกที่มานั่งเถียงกันหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปเป็นร้อยปีแล้ว เชื่อถือได้อย่างไร คำสอนของท่านเชื่อถือได้เพราะมาจากการสวดนี่แหละครับ ให้พระ 500 รูปที่เป็นพระอรหันต์สวดต่อ ๆ กันมาเพื่อป้องกันการบิดเบือน คน 500 คน ตอนหลังเป็นพัน สวดพร้อมกันซ้ำ ๆ จนขึ้นใจ เพราะสมัยก่อนยังไม่มีการบันทึกเป็นตัวหนังสือ นี่เป็นวิธีสืบทอดพระพุทธ-ศาสนาอย่างหนึ่งและเป็นการทำให้ภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษาที่ตายแล้ว คือไม่มีการพัฒนาแล้วยังคงอยู่พระไตรปิฎกมีการแปลจากบาลีเป็นภาษาเยอรมัน เป็นภาษาอังกฤษ เป็นไทย คือมีต้นกำเนิด ถ้าแปลจากบาลีเป็นไทย ไทยเป็นอังกฤษ อังกฤษเป็นเยอรมัน แปลต่อมาเรื่อย ๆโอกาสบิดเบี้ยวเยอะ ผมเชื่อว่าการสวดเป็นการล็อกให้คำสอนยังคงอยู่ แต่คำสวดที่เป็นของแต่งใหม่ทีหลังแบบที่เราสวดกันอยู่ทุกวันนี้มีผิดเยอะสำหรับผมมองว่าคำสวดแต่งใหม่มีประโยชน์อย่างเดียวคือทำให้เกิดสมาธิเบื้องต้น สำหรับคนที่ไม่ถนัดทำสมาธิ การสวดมนต์แล้วจดจ่อกับบทสวดมนต์ก็เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งบางคนสวดมนต์บางบทเพื่อหวังรวยก็เป็นความเชื่อ ถ้ามีบทสวดที่สวดแล้วรวยผมคงสวดทุกวัน บางคนรู้สึกว่าสวดแล้วดีมีกำลังใจ ก็อย่างที่บอกว่ามันเป็นอุบายอย่างหนึ่งถ้าทำให้เขามีกำลังใจในการทำงานและทำมาหากินมันก็ดี แต่ต้องระวังการไปติดอุบายจนลืมคำสอนถ้าเป็นอย่างนั้นผมว่าเป็นโทษมากกว่าตอนนี้กระแสบูชาพญานาคมาแรงคิดเห็นอย่างไรครับสำหรับผมซึ่งเป็นชาวพุทธถือว่าพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ เป็นไตรสรณะแล้ว นับถือสามอย่างนี้ก็พอ เรื่องอื่นผมไม่สนใจ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่เพราะเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเชื่อ ในพระไตรปิฎกที่บอกว่าพญานาคทำอย่างนั้นอย่างนี้ จิตของผมยังไม่สามารถรับรู้ของแบบนั้นได้ เหมือนเรื่องสัญญาณไวไฟ ถ้าเป็นเมื่อร้อยปีที่แล้วคนบอกว่าไม่มี ผมเองก็ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นสาระ เพราะรู้แล้วก็ไม่ได้ทำให้ผมทุกข์น้อยลง มีแต่ทำให้ทุกข์มากขึ้นด้วยถ้ามัวแต่มานั่งสงสัย

เขาว่าที่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธดูเสื่อมลงเพราะการบวชทำได้ง่ายเกิน
ก็จริงส่วนหนึ่ง ถ้าไปดูพระวัดป่าสมัยก่อนอย่างหลวงปู่ชา เวลาที่พระฝรั่งจะมาบวชต้องอยู่ในผ้าขาวปีสองปี พระวัดป่าแนวเถรวาทของไทยที่ต่างประเทศบางวัดก็ยังเป็นแบบนั้น คืออยู่จนพร้อมแล้วถึงจะบวชได้ โดยที่เจ้าอาวาสเป็นผู้ดูว่า
นิสัยพร้อมไหม มีความเห็นตรงทางไหม พร้อมที่จะนำผ้ากาสาวพัสตร์คลุมตัวแล้วไปเดินขอข้าวเขากินไหม ตอนขานนาคก่อนบวช เขายังถามเลยว่าเป็นเรื้อนหรือเปล่า พิการหรือเปล่า เพราะสมัยนั้นมีโรคระบาด บางคนไม่ได้อยากบวชเพราะนับถือพุทธศาสนาจริง แค่อยากมารักษาโรคฟรีจากหมอชีวกโกมารภัจจ์ ท่านถึงต้องมีการขานนาคหรือถามว่าพ่อแม่อนุญาตไหม เพราะสมัยก่อนพระพุทธเจ้าท่านบวชทุกคนจนมาถึงตอนที่ท่านจะบวชให้พระราหุลลูกชายของท่าน ความที่ไม่มีใครสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อท่านเลยบอกว่าขอเถอะต่อไปถ้าจะบวชให้ใครควรถามว่าพ่อแม่อนุญาตไหมมีการตั้งเป็นกฎ สะท้อนว่าการบวชสมัยก่อนยังมีขั้นมีตอน มีการสกรีนคนปัจจุบันก็มีการสกรีน แต่สกรีนผิด ๆ เช่นบางวัดบอกว่าต้องเรียนจบปริญญาตรี ผมคิดว่าปริญญาไม่ได้วัดได้ว่าคนพร้อมที่มาประพฤติปฏิบัติเพื่อคนอื่น คนที่เรียนจบปริญญาตรีแล้วมองไปในทางมิจฉาทิฏฐิมีมากมาย ขณะที่คนเรียนไม่จบแต่มีสัมมาทิฏฐิก็เยอะแยะ พระไตรปิฎกก็ไม่ได้ระบุไว้ แล้วศาสนาพุทธทำลายเรื่องชนชั้นวรรณะด้วยซ้ำ เห็นความเป็นมนุษย์เท่ากัน ขณะที่ศาสนาพราหมณ์สมัยก่อนยังแบ่งชนชั้นวรรณะตามพระวินัย

 

อ่านต่อหน้าถัดไปค่ะ

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up