THE DHAMMA MAN อุ๋ย บุดด้าเบลส

Alternative Textaccount_circle
event

เป็นกะเทยก็บวชไม่ได้

เหตุผลคือเกิดความกำหนัด เขาไม่ให้พระแตะตัวผู้หญิง ขณะที่กะเทยคือมีความรักและชอบพอเพศเดียวกัน ถ้ามารวมอยู่ด้วยกันมีปัญหาแน่นอนเรื่องความกำหนัด ถ้าบอกว่าศาสนาพุทธปิดกั้นเพศ ไม่ใช่นะครับ สมัยพุทธกาล ทุกเพศสามารถบรรลุธรรมได้ โสเภณี คนจน ฆราวาสทุกคนบรรลุธรรมได้หมด เพียงแต่มาครองเพศบรรพชิตไม่ได้ เป็นพระสงฆ์ไม่ได้ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในหมู่คณะอย่างคนที่เป็นกะเทยก่อนบวชเขาจะถามว่าชอบเพศเดียวกันไหม ถ้าตอบว่า อามะ ภันเต ซึ่งหมายถึง “ใช่” ก็บวชไม่ได้ แต่ถ้าชอบเพศเดียวกันแต่ตอบว่า นัตถิ ภันเต ซึ่งหมายถึง “ไม่” ก็
เท่ากับโกหก ถ้าว่าตามพระวินัยถือว่าศีลขาดตั้งแต่นั้นแล้ว ไม่ได้มีความเป็นพระสงฆ์ตั้งแต่ขั้นตอนแรก

ถ้ามองตามยุคสมัยปัจจุบันเป็นหลัก คิดว่าควรมีการคัดกรองคนที่จะบวชอย่างไรดี…ควรมีสอบไหม
ผมว่ามีสอบก็ดีนะ น่าจะมีการสอบปากเปล่าเหมือนนั่งคุยกันว่ามาบวชทำไม ต้องเข้าใจว่าเมืองไทยเราสังคมมันหล่อหลอม ทุกคนเข้าใจว่ามาบวชเพื่อเอาบุญ ขณะที่พระฝรั่งบวชแล้วเข้าใกล้แก่นของพระพุทธศาสนา เพราะเขาไม่ได้หวังว่าจะมาบวชเอาบุญ แต่มาบวชเพื่อหาทางพ้นทุกข์ หรือทำอย่างไรให้ทุกข์น้อยลง ให้รู้จักตัวเอง และมองหาสิ่งที่เป็นแก่นสารของชีวิต คนไทยบางคนมองว่าโกนหัวห่มจีวรได้บุญแล้ว หรือบุญเกิดขึ้นทันทีซึ่งไม่ใช่ ในสมัยพุทธกาล การบวชเป็นเรื่องใหญ่เหมือนถูกตัดออกจากกองมรดก เหมือนถูกตัดออกจากตระกูล จะไม่ได้เจอหน้ากันอีกแล้วในชีวิตนี้เหมือนตายจากกัน แต่ทุกวันนี้กลายเป็นบวชเป็นพิธี สำหรับผมนะ ไปปฏิบัติธรรม 10 วันอย่างจริงจังบางทียังจะเข้าใกล้แก่นพระพุทธศาสนามากกว่าคนที่บวชพระเป็นปีอีกเวลามีคนมาบอกผมว่าจะบวช ผมบอกเลยว่าคุณไปหาหนังสือ บวทำไม ของท่านพุทธทาสมาอ่านก่อน ในนั้นจะบอกว่าบวชทำไม วินัยและกิจของสงฆ์ที่ต้องทำมีอะไรบ้าง แล้วถ้าไม่ทำมีผลเสียอย่างไร เมื่อก่อนผมก็เข้าใจว่าการโกนหัวห่มจีวร ผ่านพิธีอุปสมบทก็ได้บุญ พอเป็นพระก็อย่าทำผิดศีล ให้อยู่เฉย ๆ หรือออกไปบิณฑบาตกลับมาสวดมนต์และนั่งสมาธิบ้าง แค่นี้ก็บุญกุศลมหาศาล แต่ท่านพุทธทาสบอกว่าการออกไปบิณฑบาตแล้วกลับมานั่ง ๆ นอน ๆ ก็เหมือนไปหลอกข้าวเขามากินฟรี เอาจีวรมาหากิน มันก็ใช่ที่คุณจะบอกว่าถึงไม่บวชก็มีเงินกินข้าว มีอาชีพมีฐานะ แต่ถ้าคุณเลือกที่จะมาเป็นพระ มาห่มจีวรมาขอข้าวเขากิน คนที่ให้ข้าวเขาก็หวังว่าจะได้บุญกุศลจากเรา แล้วบุญกุศลเราทำหรือยัง ถ้ายังไม่ได้ทำ ก็เหมือนเราเอาจีวรและเอาความเป็นพระไปหลอกข้าวเขากินฟรีไปวัน ๆ ซึ่งบาปกรรมมาก

แล้วพระที่ดีเป็นแบบไหน

ก็ต้องรู้ตัวเองก่อนว่ามาบวชเพื่ออะไร ต้องอยากขัดเกลากิเลสตัวเองเพื่อเข้าถึงแก่นศาสนาพุทธมากที่สุด คำว่าแก่นของศาสนาพุทธคือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ถ้าไปยึดก็จะทุกข์ ถามว่าทำอย่างไรถึงจะคลายความยึดมั่นถือมั่น วิธีก็มีอยู่ให้ปฏิบัติตามวิธีนั้น ถ้าเดินตามทางนั้นอย่างเข้มงวดด้วยความเข้าใจก็ถือว่าเป็นพระที่ดี ถ้ารอให้กิเลสหมดก็คงไม่มีใครได้บวช เป็นพระก็ยังมีกิเลสอยู่ เขาถึงมีวิธีประพฤติปฏิบัติเพื่อขัดเกลามาฝืนธรรมชาติของมนุษย์ ทั้งเรื่องเซ็กซ์ เรื่องกินเรื่องนอน การทำตามใจ การมีตัวตน คนที่คิดว่าจะมาบวชเพื่อสบาย ได้พักผ่อน คิดผิด

เคยมีความคิดที่จะบวชไหมครับ

ผมเคยบวชมาสองครั้งแล้วครับ แต่บวชยาวยังตอบไม่ได้ เห็นมาหลายองค์แล้วที่บอกว่าจะบวชตลอดชีวิต ถ้าตั้งธงแบบนั้นแล้วอยู่ยาก แต่หลายองค์ที่บวชยี่สิบสามสิบพรรษาหรือพระวัยรุ่นที่บวชเกินห้าพรรษา บอกว่าเราไม่รู้ว่าจะบวชจนถึงเมื่อไหร่ แต่อยู่ได้ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ พระที่ตอบแบบนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ได้นาน แต่ที่ตั้งธงไว้ส่วนใหญ่อยู่ได้ไม่นาน เหมือนไปอยู่กับอนาคต

เคยคุยกับเพื่อนหัวแข็งคนหนึ่ง เขาบอกว่าศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ ยกตัวอย่างเรื่องที่บอกว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเดินได้ถ้าได้เจอคนคนนี้ จะบอกอะไรกับเขา

ผมว่าดีครับที่เขารู้สึกแบบนี้ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ให้ตั้งคำถาม ไม่ได้ให้เชื่อหมด เรื่องที่เขาสงสัยมันก็สมควร ผมเองก็เคยสงสัย แต่สุดท้ายแล้วเราเอาแก่นอะไรของศาสนาพุทธล่ะเอานิทานที่พูดถึงการกำเนิดพระพุทธเจ้ามาทำให้ตัวเองพ้นทุกข์หรือ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เห็นต้องสนใจเลยเอาวิธีสอนที่บอกให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปอยู่กับอดีตหรืออนาคตมาใช้ในการดำเนินชีวิตไม่ดีกว่าหรือ แก่นคือสิ่งที่คุณควรสนใจส่วนเรื่องที่สงสัย ถ้าคุณจะไม่เชื่อก็เป็นสิทธิ์ของคุณเลย เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องศรัทธา บางคนชอบอ่านเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เพราะถูกจริต นั่นก็เป็นการปลุกศรัทธาอย่างหนึ่ง บางคนฟังแล้วกลัวนรก อยากไปสวรรค์ ก็ทำให้เขาไม่กล้าทำบาปมันก็เป็นอุบายอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเอามาเป็นเป้าหลักเลยจะกลายเป็นว่าไปผิดทาง

ความเชื่อเกี่ยวกับนรก – สวรรค์สำหรับคุณเป็นอย่างไร
ผมไม่ได้เชื่อว่าเป็นสถานที่ แต่เชื่อว่าเวลาที่เราโกรธเกลียดหรือแค้นใครมาก ๆ แล้วนั่งนึกนั่นคืออยู่ในนรกแล้ว มันทำให้รู้สึกทุกข์ ขณะเดียวกันเวลาให้อะไรใครแล้วเขารู้สึกดี มีประโยชน์ในชีวิตเขา หรือเวลาทำสมาธิแล้วสงบได้จริง ๆ ผมก็รู้สึกว่าอยู่ในสวรรค์แล้วผมเชื่อว่าจิตเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง วันหนึ่งถ้าตายไป รูปดับไปแต่จิตยังเป็นอยู่ เวลาเกิดอารมณ์โกรธมันก็เป็นอารมณ์ที่อยู่ในจิตเรา ตอนเรายังไม่ตายก็ทำงานด้วยจิต เพราะร่างกายไม่ได้เป็นอะไรนี่ เวลาเราโกรธ จิตจะสั่งจนร่างกายมีอุณหภูมิร้อนขึ้นมาเอง แต่ถามว่าถ้าไม่มีกายอยู่แล้วอารมณ์ของจิตที่โกรธ แค้น ทุกข์ยังมีอยู่ไหมผมเชื่อว่ายังมีอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าร่างกายดับไปแล้วอารมณ์ที่ยังเป็นแบบนั้นอยู่ก็เหมือนพาเราไปอยู่ในนรก เป็นจิตที่เป็นพลังงานที่มีความทุกข์ ความโกรธ ความแค้น แต่ไม่ใช่เรื่องสถานที่

แล้วอย่างความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายล่ะครับ

ผมเชื่อ แล้วตั้งสมมุติฐานเองว่าตามหลักศาสนาพุทธก็น่าจะมีอย่างนั้นจริง เพราะมีคนที่ระลึกชาติได้ทั่วโลกเป็นร้อยๆ คน สารคดีอย่างDiscovery ก็เคยทำ พิสูจน์ได้เยอะแยะ เช่น เขาพากลับไปบ้านเดิมแล้วบอกเล่าเรื่องราวได้หมดทุกอย่าง มันมีแบบนี้เป็นร้อย ๆ เคสจากทุกทวีปทั่วโลก แต่มันอาจจะขัดกับหลักของศาสนาอื่นที่บอกว่าตายแล้วสูญ แต่มันก็พิสูจน์ได้ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้วว่ามันมีคนที่ทำได้จริง เชื่อว่าการตายแล้วกลับมาเกิดเป็นเรื่องปกติ และศาสนาพุทธเชื่อว่าคำว่าตายไม่มี มีแต่เปลี่ยนสถานะไปเรื่อย ๆจากมนุษย์เป็นหมา เป็นแมว เป็นสัมภเวสี เป็นเปรต เป็นเทวดา วนไปเรื่อย ๆเรื่องนี้เหมือนที่มีคนถามหลวงปู่ชาว่าชาติหน้ามีจริงไหม แล้วท่านตอบว่า “งั้นถามโยมกลับว่าพรุ่งนี้มีจริงไหม” พอโยมตอบว่าพรุ่งนี้มีจริง ท่านก็บอกว่า “งั้นพาอาตมาไปดูพรุ่งนี้หน่อยได้ไหม”มันก็ไม่ได้ ก็ต้องรอจนถึงวันนั้น หรือบางคนเขาอาจจะมีความสามารถไปดูได้ เขามีปัญญา แต่เรายังไม่มีตรงนั้น เหมือนเรื่องที่พิสูจน์ว่าไวไฟมีจริงไหมในสมัยก่อน แบบเดียวกันเลยครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีปัญญาพิสูจน์ได้ จึงไม่สามารถฟันธงได้ว่ามีหรือไม่มี แค่ตั้งสมมุติฐานว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้น

มองเรื่องนิพพานอย่างไร

นิพพานคือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในอะไรแล้วละทิ้งวัตถุภายนอกได้หมด เห็นว่ากายนี้ ใจนี้ไม่ใช่ของเรา สำหรับผมเป็นเรื่องยาก ผมยังมองขั้นต่ำกว่านั้นคือเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี ของพวกนี้ยังดูแล้วหวังได้ เพราะโสดาบันขั้นแรกคือปิดประตูอบายภูมิ ไม่ลงนรกแน่นอน เป็นทางสู่นิพพานอีกไม่เกิน 7 ชาติตามที่พระไตรปิฎกบอกไว้ แล้วโสดาบันสามารถมีครอบครัวได้ ยังมีลูกมีเมีย ทำมาหากินปกติได้ในสมัยพุทธกาลแม้แต่โสเภณียังเป็นโสดาบันได้เลย ซึ่งคนที่จะเป็นโสดาบันได้คือมีศีล 5 ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยจิต เห็นว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ของเรารู้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากคนอื่น แต่เกิดจากเรา ต้นเหตุมาจากเรา

ถ้าให้ฝากธรรมะถึงคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เก็ตหรือไม่อินกับเรื่องนี้

อยากให้ศึกษาและปฏิบัติทั้งสองอย่างควบคู่กันมันจะทำให้เข้าใจได้เร็วขึ้นเยอะมาก ถ้าอ่านอย่างเดียวก็จะเป็นคนปัญญานำศรัทธา คิด วิเคราะห์ถาม ถกเถียง ไม่จบไม่สิ้น จะกลายเป็นยิ่งทุกข์มากขึ้นด้วย แต่ถ้าศรัทธามากกว่าปัญญาก็จะมีแต่ศรัทธา เชื่อ – กลัว เชื่อ – กลัว กลายเป็นงมงายเพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างต้องเสมอกันศรัทธาในที่นี้คือมีศรัทธาที่จะตั้งสมมุติฐานตามที่ศึกษามา พระไตรปิฎกบอกแบบนี้ พระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์สอนแบบนี้ ลองคิดตาม ลองตั้งสมมุติฐานไว้ด้วยศรัทธา ตามด้วยปัญญา ปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ว่ามันจริงหรือเปล่า แล้วค่อยมาสรุปผลถ้าคุณสรุปผลโดยอ่านหรือคิดตามเพียงอย่างเดียวไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ทดลองในชีวิตประจำวัน หรือไปลองปฏิบัติให้ถูกทางด้วยการนั่งสมาธิตามแนวสติปัฏฐาน 4 ส่วนการดูพระสงฆ์ ต้องดูด้วยว่าสิ่งที่ท่านสอนในพระไตรปิฎกมีไหม หรือเป็นวิชาที่เขียนขึ้นใหม่อย่างวิชาเพ่งนั่นเพ่งนี่ เห็นนั่นเห็นนี่ ก็ต้องศึกษาดู หาครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง คือเป็นพระที่สงบสมถะ เรียบง่ายตามวิถีพุทธ ดูจริยวัตรภายนอกก่อนแล้วค่อยดูคำสอน นี่จะเป็นตัวคัดกรองบางคนบอกว่าพระไตรปิฎกอ่านยาก ไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็ดูคำสอนจากพระที่มีปฏิปทาที่น่าเคารพเลื่อมใส นำคำสอนของท่านไปเทียบเคียงกับพระไตรปิฎกว่าตรงไหม ถ้าตรงก็ลองปฏิบัติตามคิดว่าน่าจะเป็นทางที่ถูกต้องและทำให้คุณเข้าใจธรรมะได้มากขึ้น

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ 

คู่รักดารา จับมือฝ่ามรสุมแม่ไม่ปลื้ม

ส่อง 5 ดาราที่เด็กโตมาแล้วแซ่บเว่อร์ !!!

7 ดาราดังเกาหลี ถ้าไม่เข้าวงการ น่าจะทำอะไรกันบ้างนะ

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up