THE DHAMMA MAN อุ๋ย บุดด้าเบลส

Alternative Textaccount_circle
event

บางคนเขาหันหน้าเข้าวัดเพราะมีทุกข์ จุดเริ่มต้นคุณเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่า
ก็ส่วนหนึ่งครับ ผมเป็นพุทธแบบเปลือก ๆ มาตั้งแต่เด็ก คุณแม่พาไปไหว้พระขอนั่นขอนี่ ไปบนบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะขอเสียเยอะ ก็ทำบุญใส่บาตรและถวายสังฆทานปกติผมมาเรียนรู้ว่าศาสนาสอนอะไรก็ตอนบ้านไฟไหม้ เห็นคุณแม่เครียดมาก จึงอยากลองทำให้ท่านสบายใจด้วยการไปปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันทำแน่นอนในโมเมนต์ปกติที่ผ่านมาอย่างมากก็แค่อ่านหนังสือธรรมะเพราะชอบอ่านหนังสือ สนใจหนังสือปรัชญาและแนวคิด แต่ไม่มีวันไปทรมานตัวเองด้วยการปฏิบัติธรรมแน่นอนผมไปที่ยุวพุทธิกสมาคมฯ คอร์สที่ปฏิบัติเป็นคอร์สห้ามพูดแปดวันเจ็ดคืน ได้ยินน้อง ๆและญาติๆ ที่ไปมาบอกว่าทรมานดี เลยคิดว่าอะไรที่ทรมานกว่าคงได้บุญมากกว่า คุณแม่ก็บอกว่าทำแบบนี้ได้บุญมากกว่าสร้างวัดทั้งวัดอีก การทำบุญสร้างวัดถ้ามีเงินมีมรดกก็ทำได้ ไม่ลำบาก แต่การไปปฏิบัติแบบนี้คนมีเงินบางคนก็ไม่ได้อยากมาทำ คิดว่าลองดูแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสรุปว่าเป็นเรื่องงี่เง่าหรือเปล่า ตอนเป็นเด็กผมมองเป็นเรื่องงี่เง่า แค่นั่งหลับตา เดินช้าๆ จะได้อะไร ไม่ชอบเลย ไม่เคยคิดจะไป

ผลของการไปปฏิบัติ

ก็เปลี่ยนเลยครับ เหมือนไปกลัดกระดุมใหม่ ผมรู้สึกว่าผมกลัดกระดุมผิดมาตั้งแต่แรกในมรรคมีองค์ 8 (ว่าด้วยเรื่องหนทางดับทุกข์) สัมมาทิฏฐิคือการมองเห็นที่ถูกต้องหรือทัศนคติ ถ้าเห็นผิดก็จะตามมาด้วยคิดผิด คิดผิดก็จะพูดผิด พูดผิดก็จะทำผิด ทำผิดก็จะเลือกอาชีพผิด คือผิดไปหมดเลย แต่ถ้าการมองเห็นแรกหรือทัศนคติแรกถูก พอมองเห็นถูกก็จะคิดถูก คิดถูกก็จะทำถูก ทำถูกก็จะพูดถูก เลือกอาชีพถูก ที่รู้สึกเหมือนไป กลัดกระดุมใหม่ เพราะได้มองตรงทาง รู้ว่าศาสนาพุทธทำให้เห็นว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรและทำไปทำไม ก็เลยรู้แล้วว่าที่ไปนั่งหลับตาทำทำไม และมีความจำเป็นอย่างไรในชีวิต เป็นเรื่องไร้สาระหรือเป็นบุญสะสมแต้มที่ตาเปล่ามองไม่เห็น สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ประกอบการตัดสินใจในหน้าที่การงานหรือในการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผมมาก

สำหรับคนช่างสงสัยจะคิดว่าแค่นั่งหลับตาเฉย ๆ จะได้อะไร
สำหรับผมไม่ได้สนใจสิ่งที่เรียกว่าบุญที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สนใจปัจจุบันขณะที่ได้เลย การปฏิบัติทำให้ผมเรียนรู้ว่า เวลาทุกข์ ผมทุกข์มาจากตัวเองกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลย คือย้อนนึกถึงอดีต โหยหามันหรือไม่ก็กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง คือไปอยู่ในอนาคตกับอดีตไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน การนั่งหลับตาเป็นการฝึกให้รู้ว่าผมไปอยู่ในอดีตหรืออนาคตแล้วนะ หลังจากรู้แล้วว่าไปอยู่แล้วทุกข์ ก็เรียนรู้วิธีที่จะวางมันแล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แต่การพาตัวเองไปอยู่ในอดีตและอนาคตนั้นผมสะสมมาสามสิบกว่าปี ทำมาตั้งแต่เกิด การจะอยู่กับปัจจุบันได้จึงต้องฝึกให้ชิน นั่งหลับตา กำหนดลมหายใจความเปลี่ยนแปลงหลังไปปฏิบัติมีมาก ทำให้รู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนยังมีอะไรมากกว่านั้นอีก ท่านสอนธรรมะสำหรับฆราวาส สอนว่าเราสามารถนำมาแอพพลายในชีวิตประจำวันได้อย่างไร ถ้าเรายังอยากมีครอบครัวปกติ ยังต้องกินต้องใช้ หาเงินหาทองมาเลี้ยงดูพ่อแม่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ท่านสอนไว้ ผมก็พยายามดำเนินตามผมไม่ได้เชื่อทั้งหมด แต่พยายามตั้งสมมุติฐานตามที่ท่านบอกแล้วทดลองทำตามเพื่อดูว่ามันจริงหรือไม่จริง ส่วนเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ตอนเด็ก ๆ ผมจะไม่เชื่อเป็นหลัก พอโตมาแล้วได้ศึกษาก็รู้ว่ามันมีมากกว่าคำว่าเชื่อกับไม่เชื่อ มันยังมีคำว่า “อยู่ระหว่างการพิสูจน์” คือไม่ได้ฟันธงว่ามันมีหรือไม่มี แต่อยู่ระหว่างการเรียนรู้ เปรียบเทียบกับสัญญาณไวไฟ สมัยร้อยปีที่แล้วคนมองไม่เห็น ไม่มีใครพิสูจน์ได้ก็คิดว่าไม่มี แต่ทุกวันนี้มันเปลี่ยนชีวิตทุกคน ถ้าแต่ก่อนมีคนฟันธงว่าไม่มี ๆ ถึงตอนนี้คนนั้นก็ผิด แต่ถ้าฟันธงตั้งแต่ตอนนั้นว่ามี คนก็จะถามว่า “อ้าว แล้วมันอยู่ไหนล่ะ” เพราะมองไม่เห็น ผมว่าบางอย่างมันมีอยู่จริง แต่ความสามารถและปัญญาของเรายังไปไม่ถึง ก็อย่าเพิ่งสรุป ให้เรียนรู้ต่อไปอย่างเรื่องการรู้ใจคน การระลึกชาติ หูทิพย์ตาทิพย์ มานั่งพูดก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อสำหรับบางคน แต่กับบางคนก็บอกว่าเชื่อ มีจริงแน่นอน เคยพิสูจน์ มีคนทำได้จริงมาแล้ว เป็นเรื่องที่เถียงกันไม่รู้จบแต่ผมว่านี่ไม่ใช่สาระที่ทำให้หายทุกข์ มานั่งเถียงกันยิ่งทุกข์เข้าไปอีกนำวิธีที่เขาสอนแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ได้ในชั่วขณะ เช่น การอยู่กับลมหายใจ ตั้งสติกับปัญหาแล้วค่อยหาวิธีแก้มาใช้ดีกว่าหรืออย่างเรื่องการเต็มที่ในเหตุแล้วปล่อยวางในผลตามหลักพุทธผมเข้าใจผิดเยอะ บอกว่าปล่อยวาง “เวลาทำงานอย่าซีเรียสมาก อย่าคิดเยอะ ไม่ต้องเพอร์เฟ็กต์หรอก” แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ศาสนาพุทธสอนให้เต็มที่ในเหตุแล้วปล่อยวางในผล คือในเมื่อเราทำอย่างเต็มที่แล้ว ผลจะออกมาอย่างไรมันควบคุมได้ พอรู้แล้วจะได้ไม่ทุกข์ มันเป็นเรื่องยากที่จะทำ แต่มีประโยชน์ถ้าทำได้ แล้วเรื่องนี้ผมว่ามันมีประโยชน์กับการทำงาน หรือกับชีวิตรักก็ตาม ใจคนบังคับกันไม่ได้ถ้าเขาไม่ได้รักหรือเคยรัก แต่ถ้ามันหมดไปในวันหนึ่งก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา พูดมันง่าย แต่ทำน่ะยาก แต่ถ้าเข้าใจ ก็เหลือแค่พยายามทำ

ก่อนหน้านี้เคยแอบคิดว่าที่คุณหันมาสนใจธรรมะเพราะอกหัก
ไม่ใช่ครับ แต่ธรรมะช่วยผมได้มากตอนอกหักถามว่าเสียใจมากไหม เสียใจมาก แต่ผมสามารถควบคุมกายไม่ให้เดินไปในทางที่อันตรายได้ ไม่เช่นนั้นผมอาจจะหันไปใช้ยาเสพติด ดื่มหนัก ใช้ยานอนหลับ หรืออะไรที่เป็นตัวช่วยทางลัดเพื่อดับทุกข์ชั่วขณะแต่ตามมาด้วยผลเสียตอนหลัง แม้มีธรรมะผมก็ยังทรมานกับความทุกข์ แต่ผมหนีออกมาได้ชั่วขณะด้วยการอยู่กับปัจจุบัน แม้จะโดนดูดกลับไปใหม่ ดึงกันไปกันมา เหนื่อย ทรมานมาก แต่ก็ช่วยดับทุกข์ได้เยอะ มันเป็นยาขมตอนทำแต่ให้ผลดีในระยะยาว

ถามเผื่อคนที่ยังทุกข์เพราะความรักหลังเลิกกัน ถ้าเราไปเห็นเขาอยู่กับคนอื่นต้องใช้หลักคิดอย่างไรให้ใจสงบ

โอย (ลากเสียงยาว) เวลานั้นหลักคิดอะไรก็ใช้ไม่ได้หรอกครับ ให้คิดเสียว่าดีแล้วที่เขาได้ไปอยู่กับคนที่เขาต้องการ ถ้าเราไม่มีในสิ่งที่เขาต้องการแล้วเขาเจอคนที่ให้ได้ก็ดี ผมไม่ได้คิดแบบนี้ได้ในทุกนาที แค่คิดได้ชั่วขณะ เพราะใจก็ยังมีความโหยหาอดีต อยากกลับไปเหมือนเดิม ย้อนคิดว่าถ้าวันนั้นเราทำแบบนี้ มันคงไม่เป็นแบบนั้นนี่แหละที่เขาเรียกว่าความฟุ้งซ่าน ความอยากได้อยากมี อยากเป็นยังรุนแรง ยังยึดมั่นถือมั่น รับไม่ได้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้มีเกิดก็ต้องมีดับ ทุกอย่างมีอายุขัยไม่ว่าความรักหรือความรู้สึก ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์ ความอินเลิฟมันมีอายุของมันอย่างมากก็สองปีสามปีพอหมดความอินเลิฟก็เป็นโลกของความเป็นจริงแล้วว่าเป็นทรูเลิฟหรือเปล่า พร้อมจะอยู่ต่อโดยไม่ได้อินเลิฟเหมือนตอนแรกและพร้อมจะปรับตัวไปด้วยกันได้ไหม หรือจะมองหาคนมาอินเลิฟต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าเราเข้าใจว่าความอินเลิฟมีอายุขัยของมันก็จะช่วยให้ทำใจได้ระดับหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าการอ่านหรือการคิดตามยังไงก็ไม่ได้ผลเท่าประสบการณ์ตรงจงเดินผ่านมันด้วยตัวเองผมว่าผู้ใหญ่หลาย ๆ คนหรือแม้แต่ตัวผมเอง

พอผ่านประสบการณ์นี้มาแล้วคราวหน้าเจออีกจะไม่ทุกข์เท่าเดิม การปฏิบัติธรรมคือการฝึกเดินผ่านประสบการณ์นั้น เรียกว่าเป็นทางลัด การปฏิบัติธรรมจะทำให้เห็นการเกิดและการดับของความคิดเรา ระหว่างที่นั่งอยู่ถ้ามีสมาธิจะเห็นความคิดที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้เรียกมันมาเลย อยู่ดี ๆ ก็คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงงาน คิดถึงคนรัก ถ้าเรามีสมาธิดีมีสติดี ตามดูเขา มันจะดับหายไปเองโดยที่เราไม่ได้ไปบังคับ ทำให้เห็นเลยว่าทุกอย่างมีเกิดก็มีดับพอเห็นอย่างนั้นบ่อยเข้า เมื่อเจอเหตุการณ์ในชีวิตจริงมันช่วยได้ กฎเดียวกันเลยคือกฎไตรลักษณ์เกิดขึ้นแล้วก็ต้องหายไป ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วคาอยู่อย่างนั้นตลอดกาล การปฏิบัติธรรมเป็นทางลัดทำให้เราเห็นการเกิดดับนี้บ่อย ๆ อยู่ที่ว่าเราขยันทำมันมากแค่ไหน พอเห็นจนชินชา เวลาเกิดเหตุการณ์นั้นในชีวิตจริง ต่อให้ผิดหวังจากอะไรมันก็ชิน

ย้อนกลับไปตอนออกรายการ ต่างคนต่างคิด มีคนมองคุณเป็นมารศาสนา

ผมเข้าใจ เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่เขาศรัทธาและเชื่อถืออยู่คือศาสนาพุทธที่ถูกต้อง “พาคนมาถือศีล ปฏิบัติธรรม ทำทาน
ก็ครบทุกอย่างแล้วทำไมจ้องโจมตี” เขาคิดแบบนี้ มองภาพแค่นี้ ไม่ได้มองภาพด้านเสีย ข้อดีของวัดพระธรรมกายมี แต่ข้อเสียก็มี ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว สามารถบิดศาสนาพุทธให้เปลี่ยนไปจนวันหนึ่งอาจจะโดนทำลายเหมือนสมัยพุทธกาลที่ศาสนาพุทธค่อย ๆ หายไปเพราะโดนบิดเบือนคำสอน ถ้าเขาไม่ได้มองมุมนี้ แต่มองแค่สั้น ๆ ว่ามานั่งหลับตา นั่งสงบ บริจาคเงินทำบุญพาคนถือศีลก็ดีแล้ว จะทำลายเขาทำไม ก็เข้าใจได้บางคนใช้ศรัทธานำปัญญา ซึ่งศรัทธาทำให้มนุษย์ทำได้ทุกอย่าง บางคนถึงกับยอมระเบิดพลีชีพ ฆ่าคนบริสุทธิ์ได้โดยอ้างคำว่าศาสนา เหมือนคำว่า
“ความรักทำให้คนตาบอด” มองข้ามข้อเสียไปหมด พร้อมจะหาเหตุผลมาซัพพอร์ตสิ่งที่ตัวเองทำเสมอว่าเป็นสิ่งที่ถูก เป็นสิ่งที่ดี ผมก็พยายามเข้าใจเขานะไม่ได้ไปโต้ตอบด้วยวาจาหยาบคายมี

คนแนะให้ออกซิงเกิ้ล บ้านหายเพราะขายให้วัด

(หัวเราะ) อย่างเพลง เพื่อนหายเพราะขายอ้อม ผมเขียนแนวหยิกแกมหยอก ออกแนวขำ ๆ แต่เพลงที่เกี่ยวกับธรรมกายเคยคิดที่จะทำหลายทีแล้วแต่ทำไม่ออกจริง ๆ สำหรับผมนี่คือเรื่องซีเรียส ไม่สามารถทำออกมาในมุมมองที่เฮฮาได้ มองว่าเรื่องนี้มีผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาในระยะยาว ถ้าทำเพลงตลก ๆ ออกมา น้ำหนักในการออกมาพูดก็จะไม่มี

เรื่องการให้ ถ้าถามว่าให้แค่ไหนถึงจะพอ
ต้องถามว่ามองอะไรเป็นหลัก ถ้าเป็นทางมหายานที่มองพระโพธิสัตว์เป็นหลักอย่างจีน ญี่ปุ่น การให้โดยเดือดร้อนตัวเองไม่มี อย่างพระเวสสันดรที่บริจาคลูกเมีย บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ถ้าอยากเป็นพระอรหันต์หรือเข้าแก่น
ของพระพุทธศาสนาเลยโดยไม่ต้องบำเพ็ญบารมีข้ามภพข้ามชาติจนเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้บอกว่าต้องให้จนตัวเองเดือดร้อน ผมเห็นชอบเอามาอ้างกันจังเลยเรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่บริจาคมากถึงขนาดน้ำผักดองยังเอามา
ถวายตอนที่ตัวเองเดือดร้อน ผมเห็นพระบางรูปเอามาอ้าง อยากให้ศึกษาให้ดีกรณีของอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่นำน้ำผักดองมาถวายกับน้ำหุงปลายข้าวนั้นเป็นเพราะทรัพย์ที่ฝังไว้ริมน้ำโดนน้ำพัดพาหายไป และให้เงินเพื่อนกู้แต่เพื่อน
ยังไม่เอามาจ่าย เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นช่วงช็อร์ตเงิน แต่ด้วยความที่เป็นคนที่มีศรัทธามากก็กลุ้มใจว่าการถวายของที่ไม่ประณีตเท่าที่มีอย่างน้ำผักดองกับปลายข้าวจะไม่สมควร แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องกลุ้มใจจิตที่ประณีตก็ประเสริฐแล้ว ไม่จำเป็นว่าของที่ให้ต้องประณีต มีคนนำเรื่องตรงนี้ไปอ้าง บอกว่าเห็นไหม ขนาดเขาไม่มีเขายังให้จนหมดตัว แต่ถ้าไปศึกษาให้ดีจะรู้ ถ้าเป็นพระแล้วเอาข้อนี้มาอ้างยิ่งไม่สมควรอยากให้กลับไปดูพระวินัยข้อหนึ่งที่ผมว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ ในสมัยพุทธกาลมีครอบครัวหนึ่งบริจาคจนหมดตัว แล้วมีคนที่อยู่นอกพระพุทธศาสนาวิจารณ์ว่าศิษย์ของตถาคตหรือพระสงฆ์ทำได้อย่างไรที่ปล่อยให้คนบริจาคจนหมดตัว ตัวเองเดือดร้อน ทำไมยังไปเอาของเขามา เมื่อมีคนไปกราบทูลพระพุทธเจ้าท่านจึงบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปให้หมู่สงฆ์ดูว่าตระกูลไหนหรือครอบครัวไหนที่บริจาคแล้วตัวเองเดือดร้อน คือเป็นคนที่ไม่มีทรัพย์ แต่มีศรัทธามาก ให้ตั้งตระกูลนั้นเป็นตระกูลเสกขะ ถ้าภิกษุรูปไหนไปรับของจากตระกูลนี้ให้ถือเป็นอาบัติถ้าท่านเห็นด้วยกับการให้จนหมดตัวท่านไม่มีทางที่จะตั้งไว้ในพระวินัยให้อาบัติ แต่ถ้าจะอ้างว่ายุคปัจจุบันไม่มีใครเขามาทำแบบนี้แล้วว่าคนตระกูลนี้เป็นเสกขะ อย่าไปรับของจากเขา ก็จริงครับไม่มีใครที่จะออกมาประณามว่าบ้านนี้เงินไม่มี อย่าไปรับของของเขา จะเป็นอาบัติ แต่วินัยข้อนี้ก็ชี้ให้
เห็นว่าท่านไม่ได้สนับสนุนให้คนทำบุญจนหมดเนื้อหมดตัว แล้วเรื่องการใช้เงิน ท่านสอนฆราวาสว่าเมื่อได้ทรัพย์มาให้แบ่งเป็นสี่ส่วน สองส่วนเก็บไว้ใช้ทำมาหากินต่อ ลงทุนซื้อถูกขายแพง หรือเอากำไรในวิชาชีพตัวเอง อีกสองส่วนแบ่งไว้ยามฉุกเฉินกับใช้กินอยู่ในชีวิตประจำวัน บำรุงศาสนา จ่ายภาษีเลี้ยงดูลูกเมีย ถ้าท่านต้องการให้คนบริจาคหมดท่านคงไม่สอนเรื่องการใช้เงินแบบนี้เอาไว้ถ้าจะพูดเรื่องการให้และการบริจาค ต้องพูดให้ครอบคลุมทุกแง่มุม ไม่ใช่เอามาอ้างกันอย่างเดียวว่านี่ไง คนนั้นบริจาคหมดตัวท่านไม่เห็นว่าอะไร ท่านมีญาณทัศนะต่างจากคนปกติ สามารถรู้วาระจิตของแต่ละคนว่าใครสามารถบรรลุธรรมขั้นไหนได้ กับบางคนท่านรู้ว่าบริจาคก็ไม่เป็นไรเพราะเป็นอริยบุคคล เป็นโสดาบัน ยังไงก็ไม่กลับมาเกิดต่ำกว่ามนุษย์แล้ว อีกไม่เกิน 7 ชาติก็บรรลุอรหันต์ ถ้าเชื่อตามหลักพระไตรปิฎกและหลักคำสอนก็จะมีแพตเทิร์นแบบนี้ เพราะฉะนั้นจะเอาคนคนเดียว เรื่องเรื่องเดียวมาอ้างว่านี่ไงเขาบริจาคหมดตัวท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ทำแบบนี้เหมือนพูดความจริงแค่ส่วนเดียวเพื่อต้องการให้ฝั่งตัวเองได้ผลประโยชน์ คล้ายกับคนเล่นการเมืองเลย

อ่านต่อที่หน้า 3 ได้เลยค่ะ

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up