คุยกับ เจมส์ จิรายุ – โบว์ เมลดา ถึงบทบาทล่าสุดที่ต้องคลุกวงในหอนางโลม และความเชื่อเรื่องมูเตลู

account_circle
event

คุยกับเจมส์ จิรายุ – โบว์ เมลดา ถึงบทบาทล่าสุดที่ได้รับในภาพยนต์โรแมนติกแ็คชั่นฟร์มยักษ์สายมูแห่งปีเรื่ง  โยธยา มหาละลวย” (Om! Crush on Me) งค่าย “โมโน ฟิล์ม” งานนี้ได้ผู้กับมากฝีมื  “ใหม่ภวัต พนังคศิริ” นั่งแท่นกำกับ เจมส์และโบว์จะมาถ่ายถดเรื่งราวความรัก มิตรภาพ และสายมูกันย่างเต็มิ่ม  นกจากนี้ยังมีเหล่านักแสดงหนุ่มๆ วัยคูล  ที่ร่วมสร้างความสนุกความประทับใจในเรื่งนี้กันีกเพียบ!  ก่อนที่ใครจะไปตีตั๋วชมมาฟังเจมส์กับโบว์คุยถึงเบื้องหน้าและเบื้องหลังของการทำงานที่ต้องคลุกวงในในหอนางโลม ผสมผสานเรื่องมูเตลู ต้องบอกว่าทั้งคู่ทุ่มเทกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากจริงๆ

เรื่องย่อ
เรียวสึ (เจมส์ – จิรายุ ตั้งศรีสุข) ชายหนุ่ม ที่มีความเป็นมาคลุมเครือ พ่อของเขาเป็นซามูไรที่ถูกทางการสังหารอย่างโหดเหี้ยม ส่วนแม่ของเขาถูกจับตัวไป และเขาได้รับการเลี้ยงดูโดยหลวงตา ซึ่งสอนให้เขาได้เรียนรู้วิชาการต่อสู้และเวทมนตร์คาถา เพื่อใช้ป้องกันตัวในวันข้างหน้า ในวันที่เขาต้องการตามหาแม่ และตามหานางในดวงใจ ออสร้อย (โบว์-เมลดา สุศรี) หญิงสาวที่เขาช่วยจากการจมน้ำ เมื่อครั้งไปช่วยหลวงตาซ่อมวัดในอโยธยา

เมื่อถึงเวลาที่ เรียวสึ จะต้องไป หลวงตาได้มอบหมายให้ ทอง (เกรท-สพล อัศวมั่นคง) เดินทางไปพร้อม เรียวสึ เพื่อคอยดูแลกันและกัน ระหว่างการเดินทางพวกเขาพบเจอเรื่องราวมากมาย เรียว จะสามารถตามหาทั้งแม่ และนางในดวงใจของเขาพบหรือไม่ เขาจะได้ใช้ วิชาต่อสู้ ป้อง บางครั้งอาจต้องพึ่งพามนตร์คาถาที่เรียวสึเรียนรู้ทั้งชีวิต เพื่อจะ ช่วงชิงตัวและหัวใจออสร้อย กลับมาเป็นของเขาได้อีกครั้ง


คุยกับ เจมส์ จิรายุ – โบว์ เมลดา ถึงบทบาทล่าสุดที่ต้องคลุกวงในหอนางโลม และความเชื่อเรื่องมูเตลู

เล่าถึงบทบาบที่เจมส์กับโบว์ได้รับใน “โยธยา มหาละลวย”

โบว์:  รับบทเป็น “ออสร้อย” เป็นสาวอยุธยาที่ทำงานอยู่ในโรงน้ำชา แต่เดิมเขาไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่มาอยู่ในโรงน้ำชาตั้งแต่แรก แต่มันมีเหตุการณ์ให้เขาต้องเข้าไปอยู่ในนั้น ออสร้อยทำอาชีพที่เสียงกับการถูกลวนลาม ก็เลยมีคาถาป้องกันตัวเองด้วย แบบไม่ให้ใครเข้ามาใกล้หรือทำอะไร และก็มีคาถาทำให้คนมาชื่นชอบหลงรัก ประมาณเมตตามหานิยม แต่ถ้าใครมีคาถาแกร่งกว่าก็จะเข้ามาหาเราได้ ก็คือสปอยล์จบแล้วมั้ยเนี่ย (หัวเราะ)

เจมส์:  เจ๋งอะ มีของดีอะ (หัวเราะ) ของผมรับบท “เรียวสึ” เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นที่มีความหม่นในชีวิต เขาต้องการหาคำตอบบางอย่าง เรียวสึถูกเลี้ยงมาโดยหลวงตา ซึ่งหลวงตาก็เป็นคนสอนวิชาอาคมเอาไว้ให้เรียวสึป้องกันต้นเอง และห้ามใช้สิ่งนี้ไปทำร้ายผู้อื่น วันหนึ่งเขาออกไปตามหาความจริงเรื่องพ่อแม่ ก็ไปเจอนางเอก ไม่เจอพ่อแม่แล้ว เจอผู้หญิงแทน (หัวเราะ) แล้วจากนั้นก็เกิดเป็นเรื่องราวความรัก

 

 

ทำไมเรื่อง “โยธยา มหาละลวย” ถึงมีคำจำกัดความว่าเป็นหนังรักสายมู

เจมส์:  เรื่องนี้ผู้กำกับได้เล่าอีกมุมในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ว่ายุคนั้นก็มีสีสันในมุมต่างๆ ไม่ใช่แค่เรื่องรบราฆ่าฟัน ช่วงชิงอำนาจ แต่ยุคนั้นเขาก็มีเรื่องเวทมนตร์ คาถาอาคม และเล่าถึงเรื่องราวของวัยรุ่นในยุคสมัยนั้น ที่ไม่ค่อยได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงสักเท่าไร เราจะได้เห็นว่าโรงน้ำชาหรือหอนางโลมในสมัยอโยธยาเป็นอย่างไร ซึ่งเราก็จะได้เห็นสีสันความสนุกในหอนางโลก ในยุคนี้คนอาจจะรับชมความบันเทิงด้วยการไปดูคอนเสิร์ต ไปดูหนัง ไปร้านนั่งชิล แต่คนยุคนั้นเขาไปโรงน้ำชาหรือหอนางโลมกัน ซึ่งเหมือนเป็นศูนย์รวมความบันเทิงครับ

เหตุผลที่ทำให้รับเล่นหนังเรื่องนี้

เจมส์:  แตกต่างจากแนวพีเรียดที่ผมเคยเล่นมาครับ หนังเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวพีเรียดในมุมมองใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ก่อนหน้านี้ผมเล่นพีเรียดแนวประวัติสาสตร์ล้วนๆ เรื่องนี้เป็นพีเรียดที่มีการหยิบยกประเด็นเรื่องเวทมนตร์ คาถาอาคมเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นสีสันของคนยุคนั้น เราก็ได้รู้ว่าคนเขาก็มูกันมานานแล้ว และเรื่องนี้ก็ได้สะท้อนให้เห็นภาพของวัยรุ่นยุคนั้น ได้เห็นมุมน่ารักๆ อีกหลายแบบของวัยรุ่นสมัยอโยธยา

โบว์  เรื่องราวน่าสนใจ รับเพราะเป็นหนังสายมู มีคาถาอาคม มีการเล่นของ คือคุณตาของโบก็มีคาถา เอาไว้รักษาคนป่วยนะ

เจมส์:  จริงป่ะ

โบว์:  จริง… เรียกว่าหมอธรรม เป็นหมอรักษาสมุนไพร ตาก็เคยเล่าว่า เรื่องแบบนี้มีจริงๆ เรื่องคาถา หรือการทำของใส่กัน คือหนังเรื่องนี้มีมุมใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ทำให้เราอยากเข้าไปอยู่จุดนั้น เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าสนุกดีค่ะ

 

 

 

แล้วเจมส์กับโบว์เชื่อเรื่องการมูเตลูหรือเปล่าคะ

โบว์:  เชื่อแหละ  เพราะเราก็สายมูเตลู เชื่อเรื่องสีมงคล เลขมงคล โบว์ว่าดีนะ ก็ช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น

เจมส์: ขนาดใส่สีมงคล ยังไม่ได้คนดีอย่างเธอเลย สำหรับผมจะเน้นทำบุญ และการช่วยเหลือมากกว่า ผมไม่เน้นอะไรเลย ไม่มีเลขสวย สีมงคลไม่ได้ถืออะไรเลยครับ

บทที่ได้รับเหมือนตัวจริงอย่างไรบ้าง

โบว์: สวยยย (หัวเราะเอิ๊กอ๊าก)

เจมส์:  ถ้างั้นผมก็ต้องหล่อแล้วแหละ ผมรู้สึกว่าเรียวสึหล่อคล้ายๆ ผม (ยิ้ม)

โบว์:  เหมือนกันตรงที่ออสร้อยทำงานสายบันเทิงร้องเพลงได้ โบว์ก็ทำงานในวงการบันเทิง ร้องเพลงได้ แสดงได้ แต่ความเรียบร้อยต่างกัน ออสร้อยเรียบร้อยมาก… สู้ชีวิต แต่อีกมุมหนึ่งออสร้อยก็ทำให้เราเห็นว่า ไม่มีใครเรียบร้อย 100%  ทำให้เห็นว่าการที่เราชอบใครก่อน จีบใครก่อนไม่ใช่เรื่องหน้าอาย เป็นเรื่องปกติ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วนะ ก็เลยรู้สึกว่าเหล่านี้เหมือนตัวโบว์เองนี่แหละ

เจมส์:    เรียวสึไม่มีอะไรที่ใกล้ผมเลย คือผมเป็นร่าเริง แต่เรียวสึมีคำถามในใจเยอะมาก ต้องการหาคำตอบในชีวิต ชีวิตหม่นๆ  ต้องเดินทางออกไปหาคำตอบให้ได้ ตัดภาพที่เจมส์คือร่าเริงทั้งวันครับ  แล้วนักแสดงรอบข้างของเราเฮฮากันหมด จะมีความคอมเมดี้ มากๆ เราเห็นเขาเล่นตลกกัน ตบมุกโบ๊ะบ๊ะ เราอยู่ในฉากก็อยากเล่นด้วย อยากไปฮากับเขา เพราะบทเราไม่ตลก เราต้องคีพความหม่นของเรียวสึไว้ (หัวเราะ)

 

เจมส์กับโบว์ได้มาร่วมงานกันครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้างคะ

โบว์:  ก่่่อนมาเจอกันหนูว่าไม่คาดหวังอะไรเลยค่ะ ไม่ถามใครด้วยว่าพี่เขาเป็นไง เจอหน้างานทีเดียว เจอปุ๊ปเออ… เขาน่ารักดีค่ะ ช่วงนั้นเขาเหนื่อย ปวดหลัง ปวดตัว แต่ถึงจะเหนื่อยจะปวดแค่ไหน แต่เป็นคนอารมณ์ดีตลอดเวลา ร้องเพลงให้ฟังตลอดดด

เจมส์:  โบว์น่ารักครับ เก่งมากครับ

โบว์:  พูดจริงป่ะเนี่ย

เจมส์:  จริง… โบว์น่ารัก สดใส ร่าเริง ประทับใจที่เขาเป็นคนเก่ง แสดงเก่งมาก หน้างานด้วยสถานการณ์ที่เร่งรีบ เราอาจจะไม่่มีเวลามากในการมาปั้นงานให้ออกมาดี แต่เขาก็สามารถทำได้เลย เ่ก่งมากครับ เพราะผมยืนมองเขาตลอด

เจมส์:  ทุกตัวละครน่ารักมาก

โบว์:  หนูสนิทกับทุกคน ไปเที่ยวด้วยกันได้หมด ทำงานเสร็จเรามีไปเที่ยวต่อกันด้วย เรื่องนี้ได้เพื่อนน่ารักๆ เพิ่มจากการทำงาน มีพี่เจมส์ไม่ได้ไปคนเดียว โบว์ประทับใจเพื่อนนักแสดงทีมนี้มาก ถึงเราจะเหนื่อยแค่ไหน เราก็ไม่เอาความเหนื่อยมาโยนใสกัน มีแต่โยนความสดใสมาให้กัน เอาพลังมาแชร์กัน

เจมส์:  เล่นกันเฮฮา สนุกสนาน จนพี่ๆ บอกว่าช่วยโฟกัสเรื่องงานกันด้วยได้มั้ย เล่นกันตลอดเลย (หัวเราะ)

โบว์:  คือจากที่ได้เจอเพื่อนๆ สนุก เฮฮา  หลังๆ เริ่มเครียดเพราะโดนด่าบ่อย (หัวเราะ)

เจมส์:  หยุดๆ หยุดเล่น! เสียงทีมงานคอยห้ามพวกเราจะมีมาเรื่อยๆ (หัวเราะ)

 

ได้ยินว่าเรื่องนี้เล่นคิวบู๊กันเอง เล่นจริงเจ็บจริงไม่ใช่สแตนอิน

โบว์:  หลังแอ่นกันเลยจ้าาา (หัวเราะ)

เจมส์:  ได้แผลทุกวัน เลือดออกทุกวัน (โชว์รอยแผลให้เห็น)

โบว์:  หมอกระเป๋าเข้าพี่เจมส์ทุกวัน (หัวเราะ)

เจมส์:  คือก่อนหน้านี้ ผมดันไปเจ็บสลักเพชรมาก่อน เรามีอาการบาดเจ็บมาก่อน แล้วพอต้องมาถ่ายฉากแอ็คชั่นเหมือนเราไม่ได้พักร่างกายเลย แล้วช่วงนั้นบู๊หนักมาก ผมถ่ายฉากบู๊ตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงหกโมงเข้า แล้วก็ตื่นสิบโมงเพื่อไปโรงพยาบาล ทำการอัลตร้าซาวนด์ คือเรานอนไม่ได้ครับม้นชาลงขา น่าจะเป็นการบาดเจ็บที่สุดในชีวิตแล้วครับ การได้แผลเลือดออกคื อปกติมาก

โบว์:  ส่วนหนูเป็นสาวบอบบางคอยให้คนอื่นช่วย (ยิ้ม)

เจมส์:  ผมเคยเตะภีมในซีนแล้วกลัวเขาโกรธมาก

โบว์:   ภีมบู๊กับพี่เจมส์หนักมาก ล้มก้นหลายรอบมาก แล้วภีมเป็นคนแรงเยอะมากค่ะ เวลาเข้าฉากที่ต้องโดนเขากระชาก แล้วเราต้องสะบัดออก เราสะบัดไม่ออกไง แรงเยอะมาก จนแบบปล่อยกูได้แล้ว ก็ยังไม่ปล่อย (หัวเราะ) แค่ซีนนั้นก็เป็นซีนเจ็บตัวแล้วนะ จับจนเราแกะไม่ออก เขาต้องแรงเยอะขนาดไหน ก็คือห้อเลือดเลยจ้า

เจมส์:  โดนฉุดกระชากลากถู ก็ต้องมีคนหล่อๆ อย่างผมไปด้วยเขาแหละถูกแล้ว (ยิ้ม)

 

ในมุมของนักแสดง จุดเด่นของ “อโยธยามหาละลวย” ที่ต่างจากหนังพีเรียดเรื่องอื่นๆ คืออะไรคะ

เจมส์:  ผมชอบที่เราได้เห็นมุมน่ารักในสมัยนั้น ชอบเรื่องของการจีบกันของหนุ่มสาวในยุคนั้น ความรักยุคนนั้นเป็นอะไรที่น่ารักดีนะครับ เขาต้องใช้เวลาในการติดต่อกันกว่าจะได้เจอกัน กว่าจะได้คุยกันแต่ละคำ ต้องแอบเฝ้ารอ แอบมอง เขาจะชอบเรามั้ยนะ ความสัมพันธ์ของความรักมันค่อยๆ เป็นค่อยไป ค่อยๆ เริ่มต้น

โบว์:  หนูชอบเสื้อผ้า เรื่องแฟชั่นในเรื่องนี้ค่ะ อย่างเรื่องผ้าก็จะมีดีเทล มีการแบ่งชั้นชนในยุคนั้น ใส่ผ้าชนิดนี้คือรวย มียศฐาบรรดาศักดิ์ ผ้าต้องดี ลายผ้าสวย มีการมอบแพรให้เป็นของกำนัน ซึ่งเป็นของนำเข้าในยคุนั้น เราได้เห็นแฟชั่นในยุคนั้นแล้วเราอิน เพราะหนูเป็นชอบดูลายผ้า ชอบเรื่องการทอผ้า ก็เลยอินง่ายค่ะ

คุยกับเจมส์ จิรายุ - โบว์ เมลดา

 

 

มีซีนไหนที่ชอบที่สุดในอโยธยา มหาละลวย

เจมส์:  สุดปังของผมคือฉากบู๊บนช้าง ทีแรกผมคิดว่าเล่นพีเรียดต้องขี่ม้า เราสบายแล้ว เพราะเราเคยเรียนมา แต่ทีมงานบอกว่า เรื่องนี้เจมส์ต้องขี่ช้างนะ ก็มีไปเรียนขี่ช้างสอนท่าทางการขี่ การขึ้นลงช้าง เพราะในเรื่องช้างเป็นพาหนะคู่ใจ ในฉากจะมีจังหวะที่ช้างจะก้มลงมารับเรา แล้วแล้วก็ขี้นฉากแล้วขี่ออกไป ฉะนั้นท่าทางจังหวะต้องได้ ที่บอกคือว่าชอบฉากบู๊บนช้าง ก็คือซีนนั้นผมต้องกระโดดจากคอช้างไปฟันคู่ต่อสู้ ดุดันมันดีครับ แฟนตาซีมากๆ ผมโชคดีที่เจอช้างเชื่องมาก เขาน่ารักมากๆ

โบว์:  ของโบว์คือฉากในน้ำ ทุกอย่างที่ต้องลงน้ำ เพราะเราลงน้ำเยอะและนานมาก ก็วันนั้นวันเดียวจะถ่ายฉากตัวเปียก ก็มีความยมอยู่ค่ะ  มีฉากหนึ่งถ่ายใต้น้ำ พี่เจมส์ลืมหนูไม่เรียกขึ้นไปด้วย (หัวเราะ)

เจมส์:  ฉากที่เรียวสึต้องว่ายลงไปใต้น้ำเพื่อไปช่วยออสร้อย คือเราก็ห่วงเขานะ ก็บอกกันว่าถ้าใครไม่ไหว ให้สะกิดพากันขึ้น ผมเป็นคนที่อยู่ใต้น้ำได้นาทีกว่าๆ เขาเป็นผู้หญิงน่าจะได้น้อยกว่า  แต่พอลงไปเจอกันกอดกันผมเริ่มไม่ไหว แต่กล้องยังถ่ายอยู่ ใจคิดไม่ไหวแล้วนะ เมื่อไรโบว์จะสะกิดส่งสัญญาณ อะ! ไม่สะกิดสักที คือไม่ไหวแล้ว อึดกว่าผมอีก ผมช็อคเลยที่โบว์ดำน้ำได้นานกว่าผมเยอะมาก  คือตอนนั้นโบว์คงคิดว่าเขาไหวเราก็ไหว ต่างคนต่างไหว แต่ความจริงผมไม่ไหวแล้วครับ

โบว์:  ฉากใต้น้ำนี่ก็ทรหดนะ คือมันไม่เห็นอะไร ตาพร่ามัวไปหมด แต่ต้องเล่นให้หน้าปกติ แสบตาแค่ไหนก็ทำให้ปกติเหมือนมองเห็น แล้วเราอยู่ในน้ำทั้งวัน กลับบ้านไปยังเหมือนรู้สึกว่าตัวเองยังว่ายน้ำอยู่ (หัวเราะ)

เจมส์:  หนาวนะครับ ขึ้นลงน้ำร่างกายมันจะเหวี่ยงๆ หน่อย

คุยกับเจมส์ จิรายุ - โบว์ เมลดา

 

สุดท้ายแล้วอยากถามว่าทีเด็ดของหนังว่า ทำไมคนต้องไปดู โยธยา มหาละลวย

โบว์:  ดูแล้วจะเกิดความรู้สึกว่าอยากมีของดีของขลังไว้กับตัวบ้าง คืออยากให้มาดูจริงๆ พี่เจมส์จิหล่อมาก มีหนุ่มๆ ถอดเสื้อเต็มเลย พี่โมสต์ วิศรุต ทำผมทรงแมนจูด้วย ทุกคนเปลี่ยนลุคกันหมดเลยค่ะ ผู้ชายเรื่องนี้จะใส่วิกผมยาวกันหมด แล้วสาวๆ ในหอนางโลมคือสวยหมดทุกคน หุ่นว้าวมาก เขาคัดกันมาแล้ว

เจมส์:  คือสวยกว่าโบว์ (หัวเราะ)

โบว์:  อะ! ไม่เถียง จริงค่ะ คือทุกคนสวยมาก

เจมส์:  ถ้าจะคาดหวังว่าจะเป็นหนังพีเรียดเดิมๆ คือผิดครับ อโยธยา มหาละลวย เรื่องนี้เป็นโรแมนติกแอ็คชั่นที่มีความวาไรตี้ แฟนซีด้วย ได้เห็นมุมมองประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยได้เห็น ได้เห็นความน่ารักของคู่พระนาง นางเอกสวย พระเอกน่ารักมากครับ เข้าฉายแล้วนะครับทุกโรงภาพยนตร์

คุยกับเจมส์ จิรายุ - โบว์ เมลดา

 

Photo: Sudsapda

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

คุยกับ มิว ศุภศิษฏ์ ถึงทุกข์สุขและการเรียนรู้ที่ต้องเจอในวงการบันเทิง

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up