เจเจ-กฤษณภูมิ กับภาพจำวัยเด็กที่แม่เหลือเงินร้อยบาท และคำสัญญาที่ต้องทำให้ได้
จากที่เป็นนักแสดง วันนี้เรียกว่าเจเจก้าวเข้ามาสู่การเป็นศิลปิน เป็นนักร้องเต็มตัวแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง
“ตื่นเต้นครับ พอได้มาศิลปินเดี่ยวเต็มตัวครั้งแรก เราก็ทำเป็นมินิอัลบั้มเลยครับ ทำออกมาเป็น Ep. ซึ่งมีทั้งหมด 4 เพลง เพลงแรกเป็น Introduction ชื่อว่า ‘นิมมาน’ เพลงก็จะเล่าชีวิตของผมตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ว่าผมเจออะไรมา ผ่านอะไรมาบ้าง เพลงที่ 2 ‘Very Very Sorry’ บอกถึงความรู้สึกผิด ส่วนหนึ่งก็เอาเรื่องของตัวเองมาเขียนเพลง ในความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นคนรัก หรือพ่อแม่ เพื่อน ผมรู้สึกว่า มีหลายครั้งที่เราทำผิดกับคนรอบตัว เราโดยที่เราไม่รู้ตัว เราทำให้เขาเสียใจและผิดหวัง เลยอยากจะขอโทษครับ
“เพลงที่ 3 ชื่อว่า ‘ระเบียง’ ผมเป็นคนขี้เหงานะ เพลงนี้จะพูดถึงความเหงา ความโดดเดี่ยว ต้องการใครสักคนมาอยู่ข้างๆ เป็นเพลงช้า ครับ เพลงที่ 4 ชื่อ ‘Your Number’ เพลงจังหวะมีเดียมสนุกๆ ประมาณว่าเราไปแฮงค์เอาท์ ไปเจอคนหนึ่งเราก็อยากจะเข้าไปทำความรู้จัก อยากเข้าไปจีบ เพลงสุดท้ายชื่อเพลงว่า ‘ฉลอง’ ทุกคนอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ละคนต่างก็มีความสำเร็จที่ต่างกันไป บางคนกว่าจะสำเร็จตามที่หวังไว้ ต้องต่อสู้มากๆ ทำไมเราไปไม่ถึงสักที ทำไมเราต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น เราไม่รู้หรอกว่าความเร็จนั้นจะอีกนานมั้ย แต่ถ้าเราย้อนกลับไปมอง เราก็เดินมาไกลมากแล้วนะ ฉะนั้นเราควรฉลองให้ตัวเองและขอบคุณตัวเอง”
แล้วเจเจมักทำให้ต้าเหนิงงอนด้วยเรื่องอะไร ที่บอกว่าเราไม่รู้ตัวหรือไม่ได้ตั้งใจ
“เบสิคๆ ครับ เดินไม่รอ กินข้าวไม่รอ มันเป็นเรื่องความไม่ใส่ใจ อืม… ก็ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจนะครับ แต่บางทีเราก็จะลีมดีเทล มันเป็นดีเทลเล็กๆ น้อยๆ แต่มันสำคัญกับความรู้สึก”
สำหรับการทำเพลง เจเจได้มีส่วนร่วมด้วยเยอะเลย อยากรู้ว่าใจเรามาตกหลุมรักการทำเพลงตั้งแต่เมื่อไรคะ
“ผมอยู่กับการทำเพลงตั้งแต่ขึ้นคอนเซปต์แต่ละเพลง เรามีการไปเข้า Song Camp ที่เขาใหญ่ อยู่กัน 5 วัน 6 ค่น มีทั้งโปรดิวเซอร์ ทีมนาดาวมิวสิค ไปเพื่อทำเพลงโดยเฉพาะ วันแรกที่ไปถึง ผมนั่งเล่าเล่าชีวิตให้พี่ๆทีมงานฟัง เขาก็จะเลือกเป็น Topic ไปแล้วก็เอามาทำเป็นเพลง
“พอเราเริ่มมาทำงานเพลง เป็นศิลปินเต็มตัว เราก็อยากจะเต็มที่ ไม่อยากเป็นแค่นักแสดงที่ร้องเพลงได้ เลยทำให้ผมไปศึกษา ค้นคว้าว่าการเป็นศิลปินที่ดีคืออะไร การเป็นศิลปินที่ดี มันควรจะเล่าเรื่องชีวิตของเราและประสบการณ์ของเราผ่านเพลงให้คนฟัง ฟังแล้วเขาสามารถเอาไป relate เรื่องของเขาได้ เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการค่อยๆ เริ่มมีส่วนร่วมในการทำเพลง ผมคิดว่าถ้าผมจะเป็นศิลปิน สิ่งที่ผมจะต้องทำคือ ผมจะต้องเขียนเพลงได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องเขียนโคลงออกมาได้ อาจจะไม่สมบูรณ์แบบเป๊ะๆ เพราะการไฟน่อลเพลง เราก็ต้องให้มืออาชีพมาช่วยตบ ช่วยเกลาอีกที”
ความสนุกของการเป็นศิลปินคืออะไรคะ
“ผมว่าการได้เป็นตัวเอง แต่ว่าความยากคือ การจะพรีเซนต์เพลงตัวเองให้มันน่าสนใจได้ยังไง เพราะที่ผ่านมาหลายๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับผมในด้านเป็นนักแสดง แต่ว่าครั้งนี้ ผมเปิดเผยตัวตนแบบ 100% ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ผมก็ชอบงานทั้ง 2 แบบนะครับ ทั้งนักร้อง นักแสดง ผมเลือกไม่ได้ (ยิ้ม)
เจเจเป็นคนเชียงใหม่ อยากให้เล่าชีวิตเด็กเชียงใหม่ให้ฟังสักหน่อย
“ผมซนมากครับ ตอนเด็กๆ พ่อผมจะไปทำงานต่างจังหวัด ผมจะอยู่กับคุณแม่ จนช่วงป.2 ป.3 มีน้องชายอีกคน คุณพ่อก็กลับมาอยู่ด้วย โตมาก็ชิลๆ ไปนั่นนี่ตามเพื่อน เฮฮา ซนๆ กันไป แต่ก็ไม่ได้มีอะไรโลดโผนมาก ด้านการเลี้ยงดูของครอบครัว คุณแม่ไม่ดุมาก แม่จะสายซอฟท์ๆ ตามใจ คุณพ่อก็ใจดีนะ แต่ก็จะมีความเคร่งด้วย ผมเลยโตมาแบบบาลานซ์ เราไม่ได้เป็นเด็กถูกตามใจ
“สมัยเรียนที่อยู่ที่เชียงใหม่ ผมเรียนโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ตั้งแต่อนุบาล 3 – ม.6 วัยเรียนคือสนุกมากเลยครับ ด้วยความที่เราอยู่ที่มาตั้งแต่เด็ก เลยทำให้เรารู้ทุกซอกทุกมุมของโรงเรียน มีเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล สนิทกันมาก มีความเป็นครอบครัว แล้วโรงเรียนเราก็จะมีเด็กที่หลากหลาย จึงทำให้ผมเรียนรู้ในการเข้าสังคมหลายแบบ หลายกลุ่ม”
พอวันหนึ่งต้องมาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ ปรับตัวเยอะมั้ยคะ
“เยอะมากครับ ช่วงแรกก็งงๆ มีความคิดถึงบ้าน ด้วยความที่เรามาจากต่างจังหวัด เราจะมีภาพจำว่า อยู่ในวงการบันเทิง เราต้องน่ารัก อย่าพูดเยอะ ทำให้การทำงานในวงการช่วงแรกของผมราบรื่นและผ่านไปด้วยดี บวกกับผมเป็นคนเข้ากับคนง่าย คอยถามนู่น ถามนี่ และเราโชคดีที่มีผู้ใหญ่คอยเอ็นดู คอยให้คำแนะนำ”
ฟังเพลงของเจเจทำให้รู้ว่า ชีวิตของเจเจไม่ได้ง่ายและราบรื่นอย่างที่หลายคนมองไว้
…โตในห้องเล็กๆกลางนิมมาน เห็นแม่ทำงานที่ธนาคาร เติบโตในทางที่ดีเพราะน้ำตาของพ่อและแม่หล่อหลอมคอยปูทาง
….ตอนที่แม่เหลือเงินอยู่แค่ร้อยเดียว ยิ่งทำให้ฉันอยากเติบใหญ่และก็พากเพียร ตั้งใจศึกษาแล้วก็ร่ำเรียน อนาคตที่สดใสจะได้มาเยี่ยมเยียน
“เนื้อเพลงนิมมานบอกเล่าชีวิตผมจริงๆ คือคนก็จะมีภาพผมในแบบที่ต่างกัน บางคนเห็นนามสกุล ก็… คิดว่าผมต้องนั่น ต้องนี่ ชีวิตสบายๆ มีครบ อยากได้อะไรก็ง่าย ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว ถามว่าผมอึดอัดมั้ย ก็อึดอัดนะ ที่คนมองนามสกุลผม แล้วก็คิดกันไปเองว่าผมต้องอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมก็ไม่ได้มีโอกาสเล่าให้ทุกคนฟังว่า ชีวิตผมผ่านอะไรมา ผมต่อสู้อะไรมาบ้าง
คือผมรู้สึกว่าไม่ว่าคุณจะนามสกุลอะไร เกิดมาในครอบครัวฐานะระดับไหน เราต่างก็ต้องสู้ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่เราเหนื่อยกันคนละแบบ พอผมมีโอกาสได้ทำงานเพลง จึงตัดสินใจนำเรื่องทั้งหมดในชีวิต ที่มันเป็นปมในใจของผมเอามาเขียนเป็นเพลงนิมมาน เพื่อที่จะให้ทุกคนได้รู้จักผมมากขึ้นจริงๆ
“ตั้งแต่ผมเกิดมาและจำความได้ ผมเห็นพ่อแม่สู้กันมาตลอด ช่วยกันสร้างครอบครัว ตอนเด็กผมอยู่คอนโดกลางนิมมาน เป็นห้องสตูดิโอทั่วไป คุณแม่ทำงานธนาคาร คุณพ่อทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมที่พัทยาหรือระยองนี่แหละ เราเห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานหนักมาตลอด
“ผมเคยพูดกับท่านว่า โตมาจะทำงานหาเงินเลี้ยงพ่อแม่นะ จะซื้อบ้านให้ แล้วเราก็จะอยู่ด้วยกัน เราคิดมาตลอดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมต้องทำให้เขาสบายให้ได้ เหมือนเป็นคำสัญญาที่ให้กับพ่อแม่ไว้ และคำสัญญานี้ผมก็ทำได้แล้ว เป็นความภูมิใจในชีวิตของผมอย่างหนึ่งเลย
“มีเหตุการณ์หนึ่งตอนที่ผมเด็กๆ ไม่น่าจะถึง 10 ขวบ เป็นช่วงที่หลังจากที่ย้ายจากห้องที่นิมมาน มาอยู่ที่บ้านเป็นหลัง มีคืนหนึ่งผมตื่นมากลางดึก ไม่เจอแม่นอนอยู่ข้างๆ ซึ่งปกติคุณแม่จะนอนกอด ผมเลยเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น เห็นคุณแม่นั่งคุยโทรศัพท์แล้วร้องไห้ด้วย ผ่านมาหลายปี เพิ่งมารู้ตอนหลังเพราะคุณแม่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นคุณแม่เหลือเงินแค่ 100 บาท ต้องเลี้ยงผมเลี้ยงตัวเองด้วย มันเป็นภาพที่แย่มากและฝังใจสุดๆเลยครับ
“มีอีกเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน คือคุณแม่ทำงานที่ธนาคาร แล้วทอนเงินลูกค้าผิด ผมกับคุณแม่นั่งกันอยู่ในรถ แม่ก็คุยโทรศัพท์กับลุงฝ่ายตรงข้าม บอกให้ช่วยคืนเงินหน่อย แต่เขาก็ไม่ยอมคืน จนคุณแม่ต้องส่งโทรศัพท์มาให้ผมช่วยคุยกับลุง แต่ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเป็นยังไง”
วันนี้เจเจแฮปปี้กับอะไรที่สุดคะ
“ถ้าในชีวิตของตัวเองตอนนี้ ผมรู้สึกว่า การที่ผมสามารถดูแลที่บ้านได้แล้ว ผมสามารถมีในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะมีได้ เมื่อก่อนโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง ผมยังไม่คิดว่าจะมีได้ แต่วันนี้ผมมีหลายสิ่งๆ ในชีวิตได้ด้วยสองมือของผมเอง โดยไม่ได้ต้องขอพ่อแม่ และในขณะเดียวกัน ผมก็สามารถดูแลพ่อแม่ได้ด้วย
“ด้านการงาน เรามีความสุขทีได้ทำนะ แม้บางวันเราจะมีเรื่องเครียด แต่พอเราอยู่บนเวที ต้องไปทำงานตามที่ต่างๆ เราต้องฮึบ เพื่อทำให้ทุกคนมีความสุข พอเราสร้างความสุขให้คนอื่นได้ ได้เห็นรอยยิ้มของเขา มันก็ทำให้เรามีความสุขไปด้วย จากที่เราเครียดเราเศร้า มันก็ทำให้เราแฮปปี้ ผมรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจอย่างหนึ่งในการทำอาชีพนี้ครับ”
8 ปีที่ได้เรียนรู้ชีวิตผ่านงานในวงการบันเทิงคืออะไรคะ
“ผมรู้ซึ้งถึงการที่ต้องกัดฟันสู้ หรือการที่เราต้องยอมเหนื่อยหรือยอมเสี่ยงอะไรบางอย่าง เพื่อสิ่งที่เราต้องการ ผมได้เรียนรู้มาหมดทุกอย่าง สำหรับการทำงานในวงการบันเทิง เรื่องความรับผิดชอบอันนี้สำคัญมาก ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวคุณต้องบาลานซ์มันให้ได้ดีทั้งสองอย่าง วงการบันเทิงมาเร็วไปเร็ว มันก็คือสัจจะธรรมนะ ถ้าเรามัวแต่มองถึงชื่อเสียง เงินทอง ผมว่าเราจะอยู่ได้แป๊บเดียว แต่สิ่งที่จะทำให้เราอยู่ได้นานก็คือ คุณภาพของงานและความรับผิด”
“ผมชอบกลับไปมองอดีตว่าตัวเองมาจากไหน แล้วตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง ด้วยความที่ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด พอเราอยู่กรุงเทพฯ มันเหมือนกับคนละโลกที่เชียงใหม่เหมือนกัน ทุกครั้งที่เรากลับไปที่เชียงใหม่ เราได้ไปเจอเพื่อน เราได้ไปอยู่บ้าน เราได้กลับไป realize ตัวเองว่า เรามาจากไหน ทุกครั้งที่กลับไปเชียงใหม่ ผมจะไปกินหมูกระทะกับเพื่อน ไปแฮงค์เอาท์กับเพื่อน ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปนั่งชิลแถวนิมมาน แถวโรงเรียน ขึ้นดอยไปเที่ยวกัน กลับบ้านไปคุณแม่ก็ซื้อหมูทอดมาให้ เราก็จะกินข้าวเหนียวกับน้ำพริก ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมไม่เหลิงครับ”
Text: AuAi Photo: สุดสัปดาห์
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เบลล่า ราณี แคมเปน 10 ปีในวงการ อยู่อย่างไรให้ยืนหนึ่งอย่างเป็นที่รัก