บอย โลโมโซนิก จากเด็กแม่เมาะหลังเขา เดินตามฝันสู่เส้นทางสายดนตรีที่ต้องฝ่าฟัน

Alternative Textaccount_circle
event

นักร้องนำวงร็อกชื่อดัง อริย์ธัช พลตาล หรือ บอย โลโมโซนิก (Lomosonic) กับความพยายามสู่เส้นทางสายดนตรีที่กว่าจะประสบความสำเร็จ เขาต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่ทางบ้านล้มละลาย พิสูจน์ตัวเองกับครอบครัว พิสูจน์ใจตัวเองให้สู้ต่อ และผู้ชายคนนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า เขาเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ เพราะใจที่มุ่งมั่น และไม่ยอมแพ้

บอย โลโมโซนิก จากลูกเจ้าของกิจการล้มละลายสู่เส้นทางสายดนตรีที่ต้องฝ่าฟัน

ชีวิตเด็กลำปางหลังเขา

ผมเกิดและโตที่ลำปาง อยู่อำเภอแม่เมาะ เป็นลูกหลานชาวโรงไฟฟ้าครับ สำหรับผมแม่เมาะเป็นอำเภอที่ค่อนข้างแฟนตาซี พื้นที่กลางหุบเขาก็จะมีโรงไฟฟ้า มีเหมือง ชีวิตผมอยู่ท่ามกลางบรรยายกาศระเบิดภูเขา เผากระท่อม เล่นน้ำลำธารก็ว่าได้  (หัวเราะ)

เราโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ข้างหลังบ้านเป็นป่า มีลำธารเป็นของตัวเอง เหมือนมีโลกเป็นของตัวเอง เรียกว่าเราเป็นเด็กหลังเขาได้เลย ชีวิตประจำวันของลูกหลานชาวโรงฟ้า จะนั่งรถรับส่งประจำ เพื่อที่จะไปเรียนในตัวเมือง ต้องตื่นตี5 ขึ้นรถตี5ครึ่ง ถึงโรงเรียนประมาณ 6โมง ถึงโรงเรียนก่อนเด็กในเมือง เขาจะเรียกพวกเราว่าเด็กแม่เมาะ

ผมเกิดในครอบครัวที่… conservative มั้ย ก็ไม่หรอกครับ เป็นบ้านที่ค่อนข้างสนุกสนานนะ แต่พอแม่ก็แอบปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยครอบครัวผมที่ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษามาก พ่อปลูกฝังให้รักอ่านหนังสือ อยากให้เก่งภาษาอังกฤษ เขาจะซื้อพวกการ์ตูนดิสนีย์ ที่มีเขียนบรรยายภาษาอังกฤษบรรทัดล่างด้วย และผมก็โตมากับช่อง 9 การ์ตูน และละครจักรๆ วงศ์ๆ

 

บอย โลโมโซนิก

ถึงครอบครัวเราจะออกแนวสนุกสนาน แต่พ่อแม่ของผมดุในระดับหนึ่งนะ แต่ผมไม่ค่อยฟังหรอก (หัวเราะ) กฎของที่บ้านก็จะมีหลายอย่าง ที่จำได้จนวันนี้คือ ถ้ากินข้าวไม่หมดจะโดนยีหัว ตักมาต้องกินแต่พอดี ไม่หมดตักใหม่ อยากกินเค้กมาก ร่ำร้องอยากให้ซื้อ ก็ต้องกินให้หมด ไม่หมดโดน มันก็เป็นข้อดีสำหรับผม ผมจะเป็นคนที่กินข้าวหมด กินอะไรก็หมด กินได้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ผมไม่กินเลย สิ่งนี้มันสอนให้ผมรู้จักความพอดี และคุณค่าในสิ่งที่ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา

 

กราฟชีวิตที่แฟนตาซี จากลูกชายเจ้าของกิจการเหมืองแร่ สู่ชีวิตพลิกผันครอบครัวล้มละลาย

ฐานะทางบ้านของผมอยู่ในระดับที่ดีเลยแหละ ตอนแรกพ่อผมทำงานการไฟฟ้า ระดับซีสูงเลยนะ จากนั้นก็มาทำธุรกิจเหมืองแร่ ส่วนคุณแม่เปิดร้านขายของชำที่บ้าน ผมอยากกินขนม อยากกินนม อยากกินอะไร ผมหยิบกินได้ตลอด ช่วงลอยกระทงก็ขายพลุ เราก็จะมีประทัดเล่นได้เต็มที่ เพื่อนอยากเล่นอะไร หยิบให้ออกมาให้เพื่อนเล่นด้วย เราอยู่ในชนชั้นที่มีทุกอย่าง กระทั่งผมประมาณอายุ 8 ขวบที่บ้านล้มละลาย ธุรกิจเหมืองแร่ของพ่อมีปัญหา พลิกจากฟ้าสู่ดินเลย จากที่เราเคยมีไม่เคยขาดอะไร อยากได้อะไรก็ได้ จนวันหนึ่งไม่มี เมื่อผมอยากไปดูแบทแมน แม่บอกว่าไม่เงินให้ไปดูนะ

จากเคยอยู่บ้านดีๆ ก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านสวน มันเลยเกิดคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับที่บ้านเรา ผมเห็นพ่อแม่ขึ้นศาล แม่ต้องกลับมาขายของในตลาด ขายกับข้าว ผมก็ต้องไปช่วยแม่ด้วยนะ ปั้นไข่นกกระทาขายบ้าง ขายข้าวเหนียวทุเรียนบ้าง ช่วยล้างจาน  พ่อแม่ผมทำงานหนักตลอด เขาสู้มาก พ่อทดลองทุกอย่าง และไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ไม่สบาย ฝนตกแม่ก็ยังจะขายของ สิ่งเดียวที่ผมไม่เคยเห็นจากบุพการีเลยคือ การยอมแพ้ เลยทำให้ผมค่อนข้างเสถียรในความไม่ยอมแพ้เช่น พ่อแม่สอนเราตรงนี้โดยการทำให้ลูกเห็น

วันที่ต้องย้ายมากรุงเทพ ซึ่งก็เหมือนโชคชะตาอีกแล้ว เพราะเราไม่เหมือนอะไรแล้วที่ลำปาง ที่บ้านย้ายมาก่อน ส่วนผมผมยังใช้ชีวิตตอนม.3 คนเดียวอยู่ที่ลำปาง ขณะนั้นเรียนอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง ครูกับเพื่อนจะรู้ว่าเด็กชายบอยอยู่บ้านคนเดียว ดูแลตัวเอง มีคนข้างบ้านคอยช่วยจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ ตอนนั้นผมคิดตลอดว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ตาม เราต้อง “รักดี” ซึ่งมันง่ายมากเลยในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะเป๋ไปในทางที่ไม่ดี

 มาดร้าย แต่จริงๆ แล้ว “รักดี”

ผมจัดอยู่ในเด็กประเภทเรียนดีครับ ได้ทั้งหัวดีและตั้งใจด้วยมั้งครับ เกรด 4.00 เป็นเรื่องปกติของเด็กชายบอย พอเข้ามัธยมเกรดก็จะลดลงเหลือ 3 กว่า แต่ไม่เคยต่ำกว่า 3.25 พอเข้าเรียนช่วงม.ปลาย ผมย้ายเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ เรียนที่โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศ  แล้วผมติดมหาวิทยาลัยคนแรกของโรงเรียนด้วย เกรดผมถึงที่จะสอบโควต้าได้ ซึ่งผมสอบติดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เห็นดูร้ายๆ แบดๆ ลุคแบบต้องเกเรแน่ๆ แต่สิ่งที่ผมยึดและทำมาตลอดตั้งแต่เด็กคือ เราต้อง “รักดี” และผมก็รักดีมาจนวันนี้

 

เริ่มรู้ใจตัวเอง

ชวงที่เรียน ‘มหาลัย ประมาณปี 4 ปี 5 ผมเริ่มรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และมีคำถามข้อหนึ่งที่เขียนว่า เราอยากเป็นนักร้องตั้งแต่เมื่อไร คำตอบคือตั้งแต่จำความได้ คือผมก็ร้องเพลงมาตลอด การร้องเพลงทำให้คนอื่นมีความสุข และมันทำให้ผมได้เงินครับ เพราะว่าผมจะไม่ยอมร้อง จนกว่าแม่ผมจะบอกว่า เอาไปพันหนึ่ง (หัวเราะ) ผมเป็นเด็กกวนตั้งแต่เด็กเลยนะ

คนที่จุดประกายให้เรารักการร้องเพลงก็คือ ไมเคิล แจ็คสัน ตอนที่เขามาเมืองไทย คนล้นหลาม พังรั้วจะเข้าไปในสนามกีฬา วงหิน เหล็ก ไฟ ก็มีอิทธิพลต่อเรามาก ย้อนไปผมเริ่มฟอร์มวงดนตรีตั้งแต่ม. 1 เลย

อ่านเรื่องราวเส้นทางดนตรีที่เข้มข้นของบอย โลโมโซนิก ได้ที่หน้าถัดไป

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up