เจาะทุกเรื่องในชีวิต อิน สาริน จากเด็กแสบน่าหมั่นไส้ สู่พระเอกดาวรุ่งช่อง3

Alternative Textaccount_circle
event

ด้วยความที่หน้าตาภายนอกดูเรียบร้อย น่ารัก ใครเลยจะรู้ว่า นักแสดงหนุ่มวัย 25 คนนี้จะมีมุมป่วน มุมซ่า มุมกวนอยู่ในตัวเพียบ ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้สุดสัปดาห์ เจาะทุกเรื่องในชีวิต อิน สาริน พาเจ้าตัวนั่ง Time Machine ย้อนกลับไปสมัยวัยว้าวุ่น ซึ่งความแสบมีไม่น้อยกว่าความหล่อเลยทีเดียวละ 

เจาะทุกเรื่องในชีวิต อิน สาริน จากเด็กแสบน่าหมั่นไส้ สู่พระเอกดาวรุ่งช่อง3

อินตอนเด็กเป็นยังไง เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม

ตอนเด็กไม่เคยมีใครบอกเลยว่าอินหน้าตาน่ารัก มีแต่บอกว่าน่าเกลียด ผมเป็นเด็กตี๋ๆ ขาวๆ และทึ่มๆ พอโตขึ้นมาประมาณชั้นประถมก็เริ่มอ้วน แต่ก็เป็นปกติของเด็กวัยนั้น มาเริ่มผอมก็ตอน ม.1 จริงๆ ตอนคลอดตัวผอมมาก เพราะแม่คลอดผมตอนอายุครรภ์ได้แค่ 7 เดือน ผมเลยต้องไปอยู่ในตู้อบหนึ่งเดือนเพื่ออบให้ตัวโต

พออายุได้สามเดือนหกเดือนนี่กินเยอะมาก เลยอ้วนตั้งแต่เด็ก อ้วนแบบมิชลินแมน และป้อม เป็นเด็กที่ดื้อถึงดื้อมาก เรียกว่าเป็นเด็กแสบก็ได้ แสบถึงขั้นว่าเพื่อนแม่และเพื่อนพ่อบังคับให้ส่งผมไปเรียนโรงเรียนประจำให้ได้ ชอบแก้ผ้าวิ่งรอบบ้าน ก็เด็กอะ ไม่อยากใส่เสื้อผ้า พอแม่บ้านจะเข้ามาจับก็วิ่งหนี เวลาไปสนามบินก็ไปนอนที่พื้นสนามบินสองชั่วโมงไม่ยอมลุก เป็นเด็กกวนประสาท แล้วก็ชอบแกล้งน้องสาว ตีกันอยู่สองคน

มีฉายาที่เพื่อนๆ เรียกไหม

“ช็อกโกแล็คชิพ” ครับ ตอนนั้นเด็กทุกคนต้องตัดผมสั้น สั้นมากจนเห็นหนังศรีษะ แล้วผมเป็นคนที่มีไฝที่หนังศีรษะเยอะมาก เพื่อนเคยนับให้ได้ประมาณ 20-30 เม็ด ด้วยความที่ขาวมากด้วยไฝก็เลยเด่น ทำให้โดนล้อว่าไอ้ช็อคโกแล็ตชิพ ช่วง ม.ต้นเป็นช่วงทำอะไรตามกระแส ยังไม่มีจุดยืน อย่างกางเกงก็จะดึงให้เอวต่ำลงครึ่งตูด กลับไปดูแล้วรู้สึกว่าเชยมาก (หัวเราะ)

ม.ต้นรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กเอ๋อ เรื่องหนึ่งที่การันตีว่าเอ๋อจริงๆ คือการเอารถด่วนอบพริกไทยไปนั่งกินคนเดียว จนโดนเพื่อนล้อ ด้วยความที่ชอบกินมากก็เลยอบใส่ทัปเปอร์แวร์ไปเลย เด็กวัยนั้นแค่ทำอะไรแปลกนิดหน่อยก็จะโดนล้อ “กินหนอนๆ” ตอนหลังแบ่งให้เพื่อนกินจนเพื่อนติดกันทั้งห้อง และร้องขอให้เอารถด่วนมากินทุกวัน ทุกวันนี้ก็ยังชอบครับ

แววหล่อเริ่มมาตอนไหน  

ตอน ม.1 ยังอวบๆ แต่พอช่วง ม.3 ขึ้น ม.4 นี่ผอมเลย ตัวมันยืด ถือว่าชีวิตเปลี่ยน จากเด็กอ้วนเอ๋อที่พยายามเท่เปลี่ยนเป็นผอม เคยเอาลูกประคำที่อาม่าให้ใส่ไปโรงเรียนเพราะคิดว่าคูลสุดแล้ว ช่วงม.4 คิดว่าน่าจะโอเค เพราะไปไหนมาไหนแล้วมีเด็กจากโรงเรียนอื่นมาขอถ่ายรูป และมีโมเดลลิ่งมาตาม มาเพิ่มขึ้นๆ ตอนอยู่ช่วง ม.5 กับ ม.6 ช่วงนั้นมี “จตุรมิตรคิวท์บอย” ซึ่งเป็นคิวท์บอยแรกก่อนที่จะจุฬาคิวท์บอยเสียอีก มีคนเอารูปไปโพสต์ ใครที่ยอดไลค์และยอดแชร์เยอะจะเป็นที่สนใจ ต่อมาก็ได้เป็นบีซีซีคิวท์บอยอีก ก็เป็นที่รู้จักจากตรงนั้นเลย

ถือว่าป๊อปปูลาร์ในโรงเรียน…

จริงๆ ในโรงเรียนไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ อินจะไปป๊อปที่โรงเรียนคอนแวนต์ กับโรงเรียนศึกษานารี เวลาไปเรียนพิเศษจะค่อนข้างเป็นที่รู้จัก มีคนมาขอถ่ายรูป ก็เขินนิดหน่อยเพราะโดนเพื่อนแซว

อยากให้เล่าวีรกรรมซ่าที่ฟังแล้วจะทำให้รู้สึกว่า “เออ ซ่าจริงๆ”

ถ้าเบาหน่อยก็ปีนรั้วโรงเรียนหนีออกไปข้างนอก แต่มันเป็นรั้วที่มีเหล็ก เพื่อนอินสะดุด ขาปักคาเหล็กเลย แทนที่จะได้ไปดูหนังวันพุธ ก็ต้องพาเพื่อนไปโรงพยาบาลแทน แล้วสมัยเจ็ดแปดขวบก็แสบ ขณะที่กินข้าวกันอยู่ที่บ้านด้วยความที่ไม่พอใจก็ลุกขึ้นฉี่บนโต๊ะเลย ส่วนอีกวีกรรมก็เอาประทัดไปจุดที่โรงเรียน เสียงดังไปทั้งโรงเรียน

พอโตขึ้นวีรกรรมดื้อๆ ก็ไม่ค่อยมีแล้วใช่ไหม

เรื่องดื้อจะอยู่ช่วง ม.ต้น เป็นดื้อกึ่งๆ เลว (หัวเราะ) เรียกว่าเฮี้ยวตามวัย เพื่อนที่คบกันส่วนใหญ่จะถูกให้ออกจากโรงเรียนตอน ม.3 มีแค่ไม่กี่คนที่รอดและได้เรียน ม.4 ต่อ จริงๆ มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับโรงเรียนแล้วมันคือเรื่องใหญ่ อย่างเรื่องตัดผม ยังไงๆ ผมก็ไม่ยอมตัดผม ให้ตายก็ไม่ยอม ผมเป็นเด็กคนสุดท้ายในระดับชั้นที่ไม่ยอมตัดผม ผมเลยไปงานกีฬาสีของโรงเรียนไม่ได้  มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่กลายเป็นปัญหาคาราคาซัง หรืออย่างเรื่องเจาะหู “ก็จะเจาะ ใครจะทำไม” แล้วก็ใส่ตุ้มหูไปโรงเรียน เป็นเด็กอย่างนี้

ถ้าสามารถย้อนกลับไปคุยกับอินในวัยนั้นได้ จะบอกเขาว่า

ดีแล้ว ทำถูกต้องแล้ว (หัวเราะ) นี่พูดจริงๆ นะ เพราะมันก็สมวัย อย่าเพิ่งไปทำอะไรถูกทางตอนนั้นเลย ไม่อย่างนั้นพอโตขึ้นมาเราจะไม่รู้ผิดถูก แต่น้องๆ ก็อย่าลอกเลียนแบบนะครับ

อิน สาริน รณเกียรติ คิรี ฟากฟ้าคีรีดาว พ่อเพิ่ม ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง

เหมือนลองให้รู้  

ใช่ครับ จนกระทั่ง ม.ปลายโรงเรียนต้องเปลี่ยนกฎให้ไว้ผมได้ยาวขึ้น เจาะหูได้ แต่ห้ามใส่มา ยุคอินเป็นยุคบุกเบิกเรื่องนี้ อินเป็นเด็กคนแรกที่สะพายกระเป๋าพราด้าไปโรงเรียน….ก็เราไม่อยากใช้กระเป๋านักเรียน ทุกเช้าครูฝ่ายปกครองก็จะยึด แต่หลังจากนั้นทางโรงเรียนก็เปลี่ยนกฎว่าจะใช้กระเป๋าอะไรก็ได้

อิน สาริน คิรี พ่อเพิ่ม ฟากฟ้าคีรีดาว

ตัดภาพไปที่เรื่องเรียน ตัวอินเองพอ ม.4 แล้วเห็นว่าเพื่อนๆ ไม่ได้เรียนต่อ ก็เข็ด ช่วงอายุประมาณ 15-16 ปีก็เริ่มคิดอะไรเองได้หลายๆ อย่าง ดื้อน้อยลง เราเองก็เห็นแล้วว่าพ่อแม่ไว้ใจ ตราบใดที่ยังเรียนดีจะขออะไรท่านก็ให้ ก็ทำให้คิดเอง และตั้งใจเรียนมากขึ้น ตั้งใจที่จะสอบเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดีๆ เพื่อให้ท่านได้ชื่นใจบ้าง ที่ผ่านมาท่านก็ตามใจผมมาตลอด เรื่องนี้มันทำให้อินคิดได้ว่าถ้าวันหนึ่งมีลูก ผมก็จะปล่อยลูกให้ใช้ชีวิตแบบฟรีสไตล์

จริงๆแม่อินเองก็เคยบอกว่า ที่ปล่อยไปตอนนั้นก็ไม่ได้สปอยล์นะ แต่ท่านมองว่าต้องปล่อยไปก่อน เพราะนิสัยเหมือนพ่อแม่ตอนเด็กๆ ก็เป็นแบบนี้ แต่พอโตขึ้นมาก็รู้ ถ้าไปขัดไปขืนเยอะ หรือไปทำให้อยู่ในครรลองเยอะ เด็กมันจะยิ่งแตกกว่าเดิม

อินเห็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันแล้วโดนพ่อแม่ตบซ้ายตบขวาเยอะ หลายคนก็เจ๊งเหมือนกันเพราะเขาไม่ได้ถูกปล่อยให้ทำอะไรที่สุดทางมาก่อน พอได้ลองแล้วเขาก็จะไม่อยากกลับเข้ามาในระบบ จะอยากออกไปเรื่อยๆ ทั้งชีวิต เด็กผู้ชายยังไงมันก็เฮี้ยวอยู่แล้ว ปล่อยไปก่อน ถ้าโตขึ้นมาเดี๋ยวเขาจะคิดได้เอง

 

การสอบเข้าเรียนในคณะสถาปัตย์ จุฬาได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อินเตรียมตัวอย่างไร

ต้องบอกว่ายากมาก เริ่มจากตั้งใจเรียนก่อนเลย พอ ม.5 ก็ไปเรียนพิเศษ 7 วัน ไปเรียนพอร์ตโฟลิโอ ติวสถาปัตย์ ติวเลข ติวอังกฤษ และเกาะกลุ่มอยู่กับเด็กที่ตั้งใจเรียนเพื่อนัดติวกัน แล้วไปสอบตรงตอน ม.5 เทอมสอง แล้วก็สอบติด เราสอบติดเพราะความพยายามล้วนๆ ครับ อินเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่ง ไม่ได้หัวดีมาก แค่เรียนโอเค เป็นเด็กหลังห้องด้วยซ้ำ ตอน ม.ต้น เวลาสอบเลขอินสอบตกตลอดเวลา คะแนนเต็ม 40 คะแนน อินสอบได้หนึ่งคะแนน ตอนสอบซ่อมคะแนนเต็ม 40 คะแนน อินได้ศูนย์ !

สุดเนาะ

สุดมากครับ แต่ด้วยความที่โรงเรียนเป็นโรงเรียนกิจกรรม ครูก็ให้ทำกิจกรรมแลกกับคะแนน เราเป็นเด็กที่ต้องพาตัวเองให้ผ่านให้ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราไม่ยอมอ่านหนังสือเพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่มีความพยายาม เรียนไม่ได้ก็ไม่ต้องพยายามหรอก Skip ไปเดี๋ยวก็จบ แต่พอขึ้น ม.ปลายเพิ่งรู้ว่า ความพยายามมันทำให้คนเราเก่งขึ้นได้จริงๆ พอพยายามขึ้นนิดๆ หน่อยๆ แล้วเห็นผลก็ทำให้เราอยากพยายามเพิ่ม ผลการเรียนดีขึ้นก็เลยตั้งใจขึ้นเรื่อยๆ พอ ม. ปลายคะแนนดีขึ้น อย่างวิชาเลขก็ได้เกรด 2.5 จนเรียนจบปี 4 ถึงได้เกีรยตินิยม ฟิสิกส์ได้บีบวก อีกคะแนนเดียวก็จะได้เกรดเออยู่แล้ว ก็เลยรู้ว่าทุกอย่างมันเกิดจากความตั้งใจ

เจาะทุกเรื่องในชีวิต อิน สาริน

ทำไมถึงเลือกเรียนสถาปัตย์ครับ

ชอบครับ ตอนเด็กๆ ชอบวาดรูป แล้วจะโดนป่าป๊าแฝงมาตลอด ป๊าชอบส่งไปประกวดวาดรูป ที่บ้านทำธุรกิจด้านอสังหาฯ ป๊ากับอากงก็จะพาไปดูที่บ้าง หรือดูอพาร์ทเมนท์ พอโตขึ้นมาอีกหน่อยสิ่งที่สั่งสมมามันกลายเป็นความชอบ ก็เลยเลือกเรียนด้านนี้ พอเข้าเรียนก็รู้สึกว่าเป็นคณะที่เรียนหนักมาก เรียน 7 วัน แต่ว่าเพื่อนและครูที่สอนดีก็เลยสนุก ผมเรียนอินเตอร์ เขาก็จะไม่ค่อยมายุ่งกับเรื่องกฎระเบียบ ปล่อยให้เราได้เรียนรู้อย่างเต็มที่

เป็นอย่างที่ร่ำลือกันไหมว่าคณะนี้หนักหนา งานเยอะ นอนดึก

จริง ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะหลับในได้ ก็มาหลับในตอนเรียนสถาปัตย์นี่แหละ เพื่อนขับรถชนต้นไม้ อินเองก็ถอยรถชนต้นไม้ มันแบลงค์ ถ้าเป็นช่วงส่งงานแล้วต้องทำงานเจ็ดวันนอนตีสามตีสี่ พอส่งงานและพรีเซนต์เสร็จทุกคนนี่คือนั่งหลับหมด เพรามันจอดแล้ว มันเรียนเยอะมาก แต่สนุก ต้องใช้สมองอยู่ตลอดเวลาในการแก้ไขปัญหา แล้วอาจารย์ที่จุฬาฯ ก็เก่งมาก เป็นชาวต่างชาติที่เป็นตัวท็อปๆ ทั้งนั้น

เจาะทุกเรื่องในชีวิต อิน สาริน

 

ตอนยังไม่เข้าวงการแสบขนาดนี้ พออินเข้าวงการจะเป็นอย่างไร เจาะทุกเรื่องในชีวิต อิน สาริน ได้ในหน้าถัดไปเลยจ้ะ

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up