Classic Again จดหมาย สายฝน ร่มวิเศษ ภาพยนตร์โรแมนติกที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของคนสอง 2 ยุค เรื่องราวมีต้นฉบับมาจาก ‘The classic คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต’ ภาพยนตร์ในตำนานที่ตราตรึงในใจใครหลายๆคน วันนี้สุดสัปดาห์มีนัด กับ 3 นักแสดงนำ นิว ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ , จี๋ สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร และมิ้นท์ รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร
นอกจากจะมาพูดคุยถึงการทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขายังคอนเฟิร์มเป็นเสียงเดียวกันว่า Classic Again เวอร์ชั่นไทยนั้น สนุกและซาบซึ้งไม่แพ้ต้นฉบับแน่นอน
นิว ฐิติภูมิ จี๋ สุทธิรักษ์ มิ้นท์ รัญชน์รวี ชวนสัมผัสความอบอุ่นใน Classic Again จดหมาย สายฝน ร่มวิเศษ
อยากให้ทั้ง 3 คน เล่าถึงบทบาทในเรื่องหน่อยค่ะ
นิว: ผมนิวครับ รับบทเป็น ‘ขจร’ เด็กหนุ่มอายุ 17ปี เป็นเด็กม.ปลายทั่วไปที่เฮฮากับเพื่อน เขาบังเอิญไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งช่วงปิดเทอมที่เขากลับบ้านเกิด แล้วเขาก็ตกหลุมรักเธอ และเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันอีกครั้ง เขาก็เลยอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ ตัวเขานั้นเป็นคนยึดมั่นในความรักมาก ความรักครั้งนี้เป็นรักแรกและรักเดียวในชีวิตที่อยู่ในหัวใจเขาจนวันตาย
จี๋: ผมรับบทเป็น ‘นน’ นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในพาร์ทของนน จะอยู่ในช่วงปี 2546 ยุค 90s นนแอบตกหลุมรักโบต้า ซึ่งเป็นนักศึกษาที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน พอดีโบต้าเขาเป็นคนเขียนบทละครเวที เลยชวนเราไปเล่นด้วย เราแอบชอบเขาอยู่แล้ว แต่ไม่บอกให้เขารู้ เราก็แอบมองเขาตลอด
มิ้นท์: หนูเล่นเป็น ‘ดาหลา’ แล้วก็ ‘โบต้า’ค่ะ ดาหลาเป็นรุ่นแม่รุ่นพ่อในเรื่อง ส่วนพาร์ทปัจจุบันเล่นเป็นโบต้า ‘ดาหลา’เป็นลูกของครอบครัวที่มีฐานะ เป็นเด็กเรียบร้อยอยู่ในกฎระเบียบ ช่วงปิดเทอมดาหลาได้เจอกับขจร ซึ่งเป็นคนที่พาเธอเปิดโลกกว้าง และตกหลุมรักกัน แต่เป็นรักที่มีอุปสรรคและไม่สมหวัง เพราะพ่อจะจับคู่ให้แต่งงานกับคนอื่น
ภาพยนตร์ The Classic ต้นฉบับของเกาหลี ประสบความสำเร็จมาก ผ่านมา 17 ปีแล้ว ยังเป็นภาพยนตร์ในหัวใจของคนรักหนังอยู่ รู้สึกกดดันมั้ยคะ
จี๋: จริงๆ ก็กดดันครับ เพราะรู้สึกว่าเราแบกความหวังของคนหลายๆ คน ทั้งจากคนรักหนังเรื่องนี้ด้วย พอทำอะไรที่มันเคยดีมากๆมาอยู่แล้ว มันเกิดการเปรียบเทียบอย่างแน่นอน แต่ว่าพอมาเป็นเวอร์ชั่นไทย มันก็จะอยู่ในบริบทไทย ไม่ได้เหมือนกัน 100% เพราะว่ามีการปรับบท เพิ่มคาแรกเตอร์ของตัวละครบางตัวให้มากกว่าเวอร์ชั่นออริจินอล
ผมกดดันก็จริงครับ แต่พอจะได้เล่นก็รู้สึกว่ามันมีคุณค่ามาก ผมเลยตั้งใจเล่นหนังเรื่องนี้ด้วยความรัก รวมถึงทีมงานทุกคนด้วยครับ ทั้งผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ แล้วก็นักแสดง ทุกคนทำด้วยความรัก แล้วก็หวังว่าทุกคนจะมีความสุขแค่นั้นเพียงพอแล้ว
นิว: ตอนแรกที่รู้ก็คิดว่า เฮ้ย…จะเป็นเราเหรอ มันใช่แล้วเหรอ แต่พอมาฟังเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงเลือกเรา ก็เข้าใจ คือว่าทีมเลือกเรา เขาไม่ได้ต้องการคนเก่ง คนดังมาก เขาแค่อยากได้คนใช่และพอดี ซึ่งบังเอิญเราอาจจะมีความคล้ายกับขจร
ได้ยินว่าการแคสติ้งและการตามหาพระเอกใช้เวลานานพอสมควรเลย
นิว: ทุกคนมาจากการออดิชั่น ขั้นตอนการแคสติ้งได้นางเอก และนนก่อนแล้ว ส่วนขจร เป็นคนสุดท้ายเลยที่ได้มา ก่อนหน้านี้เขาก็มีแคสต์กันมาเยอะแล้วครับ ขจรเป็นตัวเดียวที่ขาด เขาบอกว่าได้ขจรปุ๊บ ก็เปิดกล้องถ่ายได้เลย เสื้อผ้าอะไรมีแล้ว (หัวเราะ) และมันเป็นความบังเอิญหลายอย่างที่ผมเข้ามาเล่นเรื่องนี้ เรื่องนี้ตั้งใจไปถ่ายทำที่หาดใหญ่ ผมเองก็อยู่หาดใหญ่อยู่แล้ว แต่ทีมงานไม่รู้มาก่อนนะครับ มารู้ทีหลัง การถ่ายทำเลยเหมือนกลับมาอยู่บ้านเลยครับ (หัวเราะ)
จี๋: เท่าที่พี่ๆ เขาเล่าให้ฟัง แทบจะปิดโปรเจ็กต์อยู่แล้ว
นิว: เพราะว่าหาพระเอกไม่ได้สักที เขาบอกว่าไม่ได้ต้องการคนที่เล่นดีมากๆ ไปเลย หรือว่าคนที่ดังมากๆแค่ต้องการคนที่พอดี แล้วบังเอิญเป็นเรา ก็ดีใจครับ แล้วก็งงมาก เราส่งเทปให้ผู้ใหญ่ดู วันนั้นเป็นคนสุดท้ายละ ถ้าไม่ได้ก็อาจจะยังไม่เปิดกล้อง พอเขาดูปุ๊บออกไปคุยกันเสร็จสรรพเรียบร้อย เราแคสต์เสร็จเดินออกมา เขาก็มาบอกว่าได้แล้วนะ
จี๋: ผมเองก็แคสต์ไว้นานจนลืมเหมือนกัน (หัวเราะ) ปกติเวลาไปแคสต์แล้วไม่ได้ เขาก็จะเงียบๆ ไป เลยไม่ได้หวังอะไร แต่ก็ติดต่อมาก่อนให้เตรียมตัวนะ เดี๋ยวมีเวิร์คช็อป โอเค! ดีใจ เปิดกล้องแล้ว
นิว: ผมว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่มันทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น คือผมก็เป็นคนไม่ได้เชื่อดวงอะไรมาก แต่มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นจังหวะด้วย อะไรด้วย เรื่องนี้อย่างวันเข้าฉายที่เกาหลีก็เป็นวันเกิดผมด้วยพอดี งงว่ามันบังเอิญไปทั้งหมด
มิ้นท์: ของหนูก็เรียกแคสต์เหมือนกันค่ะ แต่ว่าตอนแรกแคสด้วยบท’ป็อปปี้’ เพื่อนของโบต้า พอแคสต์เสร็จเขาก็เลยลองให้เล่น’ดาหลา’กับ ‘โบต้า’ ดู ผู้ใหญ่น่าจะมองเห็นว่าเราเหมาะกับบทนี้ ดีใจที่ได้โอกาสให้เล่นบทนี้ หลังจากความดีใจ ก็กดดันเหมือนกันค่ะ เพราะหนูก็ชอบเรื่องนี้มากเหมือนกัน ทั้งนักแสดงและหนังเรื่องนี้ค่ะ
เคยดู The Classic กันหรือยังคะ
นิว: ดูครับ เพลงเพราะมาก เพลงดีมาก-ก-ก บทดีมาก เป็นความรักเสียสละที่ทำให้น้ำตาซึม
จี๋: ผมรู้สึกว่าหนังสมัยก่อนที่ทำแนวนี้จะมีกลิ่นอายบางอย่างที่หนังสมัยนี้พยายามจะทำตาม ผมว่าสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เพลงหรือว่าหนังยุคนั้นมีค่า เพราะว่าแบกความทรงจำของพวกเราในยุคนั้นด้วย ซึ่งผมรู้สึกว่าเราทำเวอร์ชั่นไทย เราพยายามที่จะให้เกียรติต้นฉบับ ในขณะเดียวกันก็พยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ด้วย ผมคิดว่าถ้าใครที่คิดถึงภาคออริจินอล น่าจะชอบแน่ๆ ส่วนใครที่ยังไม่เคยดู ก็คิดว่าน่าจะชอบครับ
ความยากและท้าทายของบทที่ตัวเองได้รับเป็นอย่างไร
นิว: ยากตรงที่นิวเป็นเด็กเจนวายยุคนี้ พูดเร็ว ท่าทาง การแสดงออกไม่เหมือนกัน แล้วก็เวลาเดินสรีระก็ไม่ได้ฝึกมา คนสมัยก่อนเขาจะเดินช้า พูดช้า ชัด เชยๆ นิ่งๆ ผมก็ต้องฝึกอะไรพวกนี้ เดินช้า พูดช้ากว่าเดิม ไหนจะมีความก้ำกึ่งระหว่างซื่อกับเล่นแข็ง บางอันก็มีความยากสำหรับเรา หลายคนก็อาจจะแบบ… สรุปขจรซื่อ หรือนิวเล่นแข็ง (หัวเราะ) ก็แล้วแต่คนมอง แต่สิ่งที่เราพยายามแสดงออกมา คือเป็นคนในยุคนั้นที่ซื่อตรง ทำทุกอย่างในกรอบของสังคม และโดยส่วนตัวขจรจะมีความนิ่งๆของตัวเขาเอง ส่วนพวกซีนดราม่าคือ… ยากเลยแหละ นิวเป็นคนเล่นดราม่าไม่เก่งด้วย หลายเทคเลย
มิ้นท์: แต่ก็ได้นะคะพี่นิว
นิว: เวลานิวถ่ายซีนดราม่าเยอะๆ ถ้ามิ้นท์ยังอยู่ในกลอง เขาจะคอยเชียร์ สู้ๆ
มิ้นท์: ความท้าทายของหนู อยู่ตรงความดราม่าค่ะ รุ่นลูกต้องสดใส และดราม่า หนูสวิตช์อารมณ์ไม่ได้ตอนแรกตอนที่เล่นโบต้าพาร์ทปัจจุบัน ก็ยังมีความเรียบร้อย แล้วก็ติดเศร้านิดฟ บางทีสายตาไม่ได้ บุคลิกไม่ได้ เขาก็จะปรับให้แก้ ซีนดราม่าของหนูมันดำดิ่งมากเลยค่ะ เข้าคาแรกเตอร์แล้วก็ดิ่งไปเลย อินมาก เลิกแล้วก็ยังติดคาแร็คเตอร์อยู่ ยังดิ่งอยู่
นิว: คือถ้าน้องพูดเองแล้วจะเหมือนว่าโม้ ให้ผมพูดให้ดีกว่า (หัวเราะ) คือน้องเป็นคนที่อินคาแรกเตอร์ แล้วอยู่ในนั้นเลย ไม่ออกมาด้วย คัทแล้วก็นั่งร้องไห้อยู่เรื่อยๆ ตอนดูในซีนหลังกล้องเหมือนไม่ใช่น้องแล้วครับ
มิ้นท์: อยากทำให้มันดีที่สุดค่ะ ก็เลยทุ่มจริงๆ แล้วมันไม่ดีที่ไม่หลุดคาแร็คเตอร์ หนูก็โดนพี่ผู้กำกับว่าจบงานแล้วก็ต้องดึงเอาตัวเองออกมาจากคาแร็คเตอร์ หนูก็ยังไม่มีประสบการณ์ว่าเข้า-ออกคาแร็คเตอร์เป็นยังไง ก็เลยเก็บไว้ให้มากที่สุด แต่มันอึดอัดมาก ตอนที่ถ่ายเสร็จมีช่วงที่หนูยังติดอยู่ ฟังเพลงแล้วก็ร้องไห้ ช่วงนั้นดิ่งมาก ใช้เวลานานอยู่ค่ะกว่าจะหลุด ช่วงนั้นหนูถ่ายละคร ‘ด้ายแดง’ ก็ดราม่าอีกเหมือนกัน ถ่ายพร้อมกันเลย ชีวิตดาร์กแบบสุดๆ (หัวเราะ)
จี๋: สิ่งที่กดดันของผม คือต้องเล่นให้เป็นคนหล่อ มีเสน่ห์ ยากนะครับ มันเป็นคาริสม่า ต้องเล่นเป็นคนธรรมดา แต่ว่าในขณะเดียวกันเราก็ต้องทำให้ตัวละครดูมีมิติ อีกอย่างคือผมเป็นคนติดเลียปาก ในซีนนั่งเฉยๆ ผมก็เลียปาก แล้วพอไม่ให้ผมเลียปาก ก็ไม่รู้ในภาพจะเป็นยังไง แต่เราก็พยายามทำให้บรรยากาศมันดีเวลาเข้าซีนกับมิ้นท์ครับผม
มิ้นท์: พี่จี๋เขาก็มีเสน่ห์อยู่แล้ว
จี๋: และด้วยความที่นนออกมาไม่เยอะมาก เลยทำให้ที่มาที่ไปของตัวละครนนยังไม่ชัดเจนมากพอ เราเลยต้องหาจุดที่มันชัดเจนว่าตัวนนต้องการอะไรกันแน่ นี่คือความยากครับ
มีซีนที่ประทับใจกันมั้ยคะ
จี๋: มีอยู่ซีนนึงนะครับที่ติดใจ ผมชอบซีนเกือบสุดท้ายของเรื่อง เราไปถ่ายที่เขื่อนตอนเย็น เป็นซีนที่ให้ทำรู้ว่าอะไรคืออะไร เราค่อนข้างกดดัน มันเป็นซีนที่บอกทุกอย่างแล้ว ก็พยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุด วันที่ถ่ายวันนั้นวอสัญญาณไม่ดี ใครตะโกนอะไรมาก็ไม่ได้ยิน เพราะมันค่อนข้างเป็นที่กว้างแล้วก็โล่ง แล้วก็ไม่เห็นจอเลยก็ไม่รู้จะปรับเปลี่ยนอะไรยังไง เข้าซีนกับน้องมิ้นท์ วันนั้นผมแบบแอบเครียดนิดนึง แต่น้องมิ้นท์เป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีมาก ทำให้งานผ่านไปได้ดีมาก
นิว: หนังเรื่องนี้ ทั้งเวอร์ชั่นไทยแล้วเกาหลี สิ่งที่นิวชอบในพล็อตหนังเรื่องนี้คือ ความเสียสละของรุ่นพ่อ ที่มีคนที่ทำได้ขนาดนี้อยู่เหรอ ผมเป็นคนอินเรื่องความรัก ผมอินเวลาเห็นคนที่เสียสละได้เพื่อความรักหนักๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นหนังแบบไหน ผมจะร้องไห้เสียใจ อย่าง Battle Angle Alita ที่เป็นแอนิเมชั่นบู๊ แต่มีความรักแบบเสียสละ ผมจะชอบมาก รู้สึกว่าเรื่องนี้ผมจะอินกับพล็อตประมาณนี้ ถึงจะเคยเห็นมาแล้ว แต่พอเห็นแล้วก็ยังรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ทำได้ยังไงอะไรแบบนี้ครับ
ส่วนซีนที่ชอบส่วนตัวตอนที่ไปถ่าย คือซีนหิ่งห้อย ไปถ่ายกันที่อุทยานแห่งหนึ่งที่สงขลา คือผมอยู่หาดใหญ่แต่ไม่ไม่รู้จักที่นี่เลย (หัวเราะ) อุทยานที่เข้าไปลึกแบบไม่มีสัญญาณมือถืออะครับ ต้องเป็นกล่อง GPS จริงๆ ถึงจะหาเจอ รู้สึกว่าที่นี่อันซีนจัง ภาพออกมาสวยมาก
ต้องบอกว่าโลเคชั่นแต่ละที่ในหนังเรื่องนี้สวยครับ หนังส่วนมากชอบไปถ่ายในภาคเหนือ แต่ว่าทีมผู้กำกับแล้วก็ทีมที่ทำหนังเป็นคนใต้กันซะเยอะ เขาก็เลยรู้สึกว่าอยากโชว์ความงามทางภาคใต้
มิ้นท์: ชอบซีนที่ลอยอังคารอะค่ะ อันนั้นเศร้าเหมือนใจจะขาด มันจะทรุดแล้วอะด้วยบรรยากาศด้วย มีรูป มีพร็อบส์ทุกอย่างช่วยเรื่องอารมณ์มากๆ ค่ะ
คิดว่าทำไมคนดูต้องตีตั๋วชม ‘Classic againจดหมายสายฝน ร่มวิเศษ’
จี๋: พูดไปก็หาว่าเชียร์หนังตัวเอง น่าดูมากเลยครับ! เชิญชวนไปดูเยอะๆ ขอพูดในฐานะที่ไม่ขายหนังแล้วกัน ในฐานะคนที่รู้สึกจริงๆ สิ่งที่ผมประทับใจมากคือ ทีมงาน นักแสดง ผู้กำกับ ทุกๆ คนทำงานด้วยใจอะครับ เหมือนพอพี่รักสิ่งๆ นึงแล้วพี่ได้มีโอกาสมาทำสิ่งนั้น มันจะทำด้วยความพิเศษและความรู้สึกดี แล้วผมเชื่อว่าความรู้สึกดีที่ส่งผ่านหนังไปของทุกคน มันจะทำให้คนดูรู้สึกอย่างแน่นอน
แล้วอีกเรื่องที่ประทับใจก็คือเฟรมของหนัง วิธีการวางมุมมอง วางภาพ ค่อนข้างแตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ที่มีมาครับ เราจะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ อาจจะเป็นมุมที่เดินอยู่ริมถนน มุมนั่งอยู่ในคาเฟ่ธรรมดา แต่จะเป็นมุมภาพที่แตกต่างออกไป เป็นเรื่องที่อยากให้ได้ดูกัน
นิว: Category ของหนังเรื่องนี้คือรักโรแมนติก เป็นหนังรักที่อบอุ่นไปเลย ทั้งฟีลหนัง ทั้งการเกลี่ยสี อะไรทุกอย่างออกมาดูแบบอบอุ่นๆ และพยายามทำให้กลับไปในยุคนั้นจริงๆ นิวมองว่ามันมีความอบอุ่นของยุคเก่าๆ อยู่ ทั้งการส่งจดหมาย หลายๆ อย่าง ที่ดูคลาสสิกจริงๆ
จี๋: อยากให้เปิดใจ แล้วคุณจะเข้าไปพบโลกอีกใบนึง ที่คุณรู้สึกว่าใบที่คุณคิดถึงมันก็ดีอยู่แล้ว แต่ใบนี้มันจะทำให้คุณอบอุ่น ในลักษณะที่ใกล้ตัวคุณมากกว่าเดิม เพราะมันคือบริบทของประเทศไทยที่เราอยู่กันทุกวัน มันจะใกล้ชิด เพราะรู้สึกกันมากกว่าเดิม ฝากด้วยเพราะว่าทุกคนทำจากใจจริงๆ คิดว่าน่าจะมีความสุขไปกับหนังเรื่องนี้ครับ
Text: ชุติกาญจน์ อ่อนเอม / Photo: Sudsapda
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เทียบช็อตต่อช็อต 2 เวอร์ชั่น จาก The Classic เกาหลี สู่ Classic Again ไทยแลนด์