หากพูดถึงวงดนตรีในเมืองไทยที่ครองใจแฟนเพลงทั่วประเทศ ทุกเพศ ทุกวัย หนึ่งในชื่อนั้นต้องมี บอดี้สแลม อย่างแน่นอน และปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดเส้นทางกว่า 16 ปีในวงการเพลง สมาชิกทั้ง 5 กับเพลงของพวกเขา จะต้องมีส่วนอยู่ในช่วงหนึ่งในชีวิตของหลายๆ คน การสร้างสรรค์ผลงานด้วยความเชื่อมาถึง 7 อัลบั้ม โดยที่ยังรักษามิตรภาพที่ตั้งอยู่บนเป้าหมายเดียวกันของคน 5 คนไว้ได้ เราเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
มิตรภาพที่เริ่มจากเด็กหลังกับเด็กหน้าห้องในวัยละอ่อน
อย่างที่เรารู้กันว่า วงละอ่อนเริ่มต้นมาจากเพื่อนในรั้วโรงเรียนเดียวกันที่สวนกุหลาบ
ปิ๊ด: ผมกับตูนเป็นเพื่อนเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ม.ต้น สมัยนั้นแบ่งกันง่ายๆ ตามสไตล์เด็กมัธยมก็คือ จะมีเด็กหน้าห้องกับเด็กหลังห้อง ตูนเขาจะออกแนวเด็กหน้าห้อง เป็นเด็กเรียน
ตูน: ก็ไม่ได้หน้ามากนะ ประมาณแถว 3 (ยิ้ม)
ปิ๊ด: แต่ผมซึ่งเป็นนักบาสของโรงเรียนชอบทำกิจกรรม ออกแนวเด็กหลังห้อง ซึ่งตอนนั้นเข้าม. 3 อยู่ห้องเดียวกันนะ แต่ยังไม่สนิทกันเท่าไร แต่ด้วยดนตรีนี่แหละที่ทำให้เราสนิทกัน เพราะผมจะแบกกีต้าร์โปร่งไปโรงเรียนด้วย ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนคาบ พออาจารย์เดินออกปั๊ป ผมจะเอากีต้าร์โปร่งขึ้นมาเล่น ใครร้องเพลงได้ช่วยกันร้องหน่อย แล้วก็จะมีสายตาคู่หนึ่งจากหน้าห้องมองมา แบบว่าอยากร้องด้วยอะไรอย่างนี้
ผมก็เลยชวน “อยากร้องก็มาร้องด้วยกันเลย” บวกกับมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นตัวนำคอยชวน “มึงเล่นอันนี้ได้หนิ มึงเล่นอันนี้ ไอ้ตูนอยากร้องพอดีด้วย” คราวนี้เลยชวนกันไปห้องซ้อม ยังไม่มีชื่อวงเลยตอนนั้น วงเราร้องเพลงไทยกัน ยุคนั้นต้องบอยสเก๊าท์ พี่เจี๊ยบ-พิสุทธิ์ ผมชอบมาก บัตรคอนเสิร์ตแรกที่ซื้อไปดูคือบอยสเก๊าท์ ผมกับตูนจะชอบพี่ปู-พงษ์สิทธิ์มาก ช่วงที่ไปซ้อมก็ไปเจออีกวงหนึ่งซึ่งเล่นเพลงฝรั่ง มีไอ้เภา (รัฐพล พรรณเชษฐ์ มือกีตาร์ อดีตสมาชิกของวง) อยู่ด้วย เลยมีการสลับเปลี่ยนสมาชิกไปมา ผมกับตูนเลยได้ไปอยู่วงนั้น
ตูน: ช่วงที่หัดร้องเพลงแรกๆ ผมโดนเพื่อนแซวเรื่องสำเนียง เพราะไม่เคยหัดร้องเพลงฝรั่ง เราเป็นเด็กต่างจังหวัด มาจากสุพรรณฯ ร้องแต่เพลงลูกทุ่ง ร้องเพลงพี่เบิร์ดมาตลอด พอมาอยู่วงนี้ เขาเล่นเพลงฝรั่ง เล่นเพลงเฮฟวี่ เพลงแรกที่โดนเพื่อนมือกลองว่าก็คือ Welcome Home (Sanitarium) ของ Metallica คือมันร้องยากตรงคำว่า Sanitarium ผมก็ออกสำเนียงไทยเลย ซา-นิ-ทา-เรี่ยม ตรงตัวเลย (หัวเราะยกวง) แต่ในตัวเพลงคำว่า Sanitarium จะมีชั้นเชิงในการออกเสียง มีเอื้อน การใช้สระตัวไอกับตัวยูมันต้องแยก
ไอ้ดำซึ่งเป็นมือกลองและรับหน้าที่ร้องเพลงไปด้วย บอกว่า “มึงร้องเพลงอย่างกับเจ๊กร้องเพลงว่ะ” ผมก็มีอารมณ์ขึ้นนิดๆ ก็กูไม่รู้นี่หว่า ว่าต้องร้องแบบไหน จากวันนั้นมันเป็นจุดให้ผมฮึด และพัฒนาตัวเองว่า “ได้… ด่ากูใช่มั้ย” เลยไปหัดร้องเพลงฝรั่ง หัดออกเสียงให้ถูกต้อง ต้องให้มีชั้นเชิงหน่อย ซึ่งผมมองกลับไปสิ่งที่เพื่อนว่าในวันนั้น มันเป็นเรื่องดีนะ เป็นแรงขับให้เราตั้งใจ ต้องขอบคุณเพื่อนดำครับ (ยิ้ม)
ปิ๊ด: ไอ้ดำด่าทุกคนในวง “มึงเล่นเบสอะไรเนี่ย” แต่มันเป็นคนเก่งจริงๆ เป็นเด็ก Genius ก็เล่นอยู่กับวงดำมาเรื่อยๆ กระทั่งเข้าประกวด Hot Wave Music Award ก็สลับคืนวงเดิม แล้วก็ฟอร์มวงใหม่มาเป็นวงละอ่อน
อยากรู้ว่าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นศิลปินตอนไหนคะ
ปิ๊ด: ตอนนั้นรู้สึกว่าได้เล่นดนตรี ได้ประกวดก็แฮปปี้แล้ว ชัยชนะที่ได้จากเวที Hot Wave Music Award คือเป็นรางวัลใหญ่ด้วย และพีคสุดตอนนั้นคือได้ทำเทป เราแทบไม่ได้โฟกัสเลย ว่านี่ได้เป็นศิลปินแล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นเลยครับ
ตูน: สำหรับผม เราเหมือนวงดนตรีที่ไม่ใช่วงมืออาชีพ เป็นวงดนตรีมัธยมปลายที่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากกว่า ตอนนั้นเราไม่ได้ฟอร์มวง เพื่อจะเล่นจนวันสุดท้ายของชีวิตหรือให้มันเป็นอาชีพ เราฟอร์มวงเพราะว่าเราสนุกกับมัน อยากจะประกวดดนตรีสักเวทีแค่นั้นเอง แต่พอมันต่อยอดมาถึงการได้เข้ารอบ แล้วดันชนะอีก ได้มาอยู่ที่ Music Bug ได้ออกอัลบั้มแรกอีก
มันเหมือนเราค่อยๆ ตามน้ำมาเรื่อยๆ ตามน้ำมาจน อ๋อ… ได้รู้จักกับวิธีการเข้าห้องอัดมันเป็นอย่างนี้นะ อ๋อ… แต่งเพลงต้องแต่งทำนองก่อน แล้วค่อยเอาเนื้อใส่เข้ามานะ ได้รู้จักพี่ๆ วง Big Ass พี่ๆ วงลาบานูน ได้รู้จักโปรดิวเซอร์เก่งๆ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิต เป็นประตูบานแรกที่ดี ที่ได้เปิดมาในฐานะนักดนตรีสมัครเล่น นักร้องร้องสมัครเล่น เราขอไม่ใช่คำว่า “ศิลปิน” ด้วย เพราะศิลปินต้องทำคุณงามความดี สร้างงานที่จรรโลงมากๆ เราจะบอกตัวเองเสมอเราเป็นแค่นักร้อง นักดนตรี ทุกวันนี้ป้ายห้องพักศิลปิน ผมบอกเสมอเปลี่ยนเป็น ห้องพักนักร้องเถอะ หรือห้องพักนักดนตรีดีกว่า
ปิ๊ด: เขียนเป็นชื่อวงก็ได้
ทุกคน: ใช่ๆ
ธนดล ช้างเสวก (ปิ๊ด) มือเบส
16 ปี Bodyslam มิตรภาพ ความฝัน และความเชื่อ
อยากให้เล่าถึงมิตรภาพของความเป็นเพื่อนของวง บอดี้สแลม ทำอย่างไรถึงอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้
ปิ๊ด: ต้องบอกว่าตอนที่เป็นวงละอ่อน มิตรภาพของบอดี้สแลมเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นเลยนะ คือวันที่เราเร่ประกวดใช้ชื่อวงละอ่อน ไปประกวดเวทีหนึ่ง ก็ได้เจอพี่โอม แล้วก็มีพี่ยอด พี่ชัชมายืนดูพวกผมเล่น
โอม: ใช่ๆ ก็จะเจอตามงานประกวดนี่แหละครับ
ปิ๊ด: คือตอนนั้นเจอเรากันโดยที่ยังไม่รู้จักกัน แต่ผมรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่าง อยู่ดีๆ มาเจอกันอะไรอย่างนี้ หลังจากนั้นก็ได้มาเจอ มารู้จักกันมากขึ้น
ตูน: อันนี้ประกวดก่อน Hot Wave อีกนะ ตอนนั้นพวกผมประมาณม.4
ปิ๊ด: พี่โอมเป็นวงที่ชนะปีที่แล้วและไปเล่นโชว์ ผมก็ “ไอ้อ้วนนี่โครตเก่งเลยว่ะ” (หัวเราะ)
ชัช: วงล่ารางวัลครับ วงล่ารางวัล
ยอด: เวลาเดินไปเจอตามงาน “ไอ้อ้วนอีกแล้วว่ะ” คือคนนี้มาปุ๊บ ต้องชนะ
ปิ๊ด: คือผมไม่รู้จักเขานะ ผมรู้แค่ว่า ไอ้อ้วนนี่มันเป็นคนที่แบบร้องเสร็จแล้ว ก็จะวิ่งไปเล่นคีย์บอร์ด แล้วมาร้องต่อ ผมก็ “เชี่ย… อ้วนนี่โครตเก่งเลย “ผมว่านี่คือมันเป็นจุดเริ่มต้นของพวกเรานะ (หัวเราะ)
ต่อจากนั้นก็… เดี๋ยวผมจะเล่าเร็วๆนะ พอเป็นบอดี้สแลมแล้ว ผมเริ่มเก็บเงินได้ เลยอยากเปิดร้าน มีวงดนตรีเล่น สองคนนี้เป็นลูกจ้างผม (ชี้ไปที่พี่ชัชและพี่ยอด) ในระหว่างที่เขาเล่นอยู่ที่ร้านผม เป็นช่วงที่บอดี้สแลมต้องการ Backup มือกลองคนใหม่ ผมก็เลยโทรถามพี่กบ Big Ass แนะนำใครดี พี่กบก็บอก “มันตีอยู่ร้านมึง ก็ลองดูมันเล่นแล้วกัน” (หัวเราะ) เป็นจุดเริ่มต้นได้พี่ชัชมาเป็นมือกลอง พี่ชัชก็ชวนพี่ยอดมา เลยกลายเป็นสนิทกัน ถ่ายทอดแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันก็จนถึงวันนี้ครับ
โอม: สำหรับผมมาทีหลังครับ แต่เห็นการเจริญเติบโตของบอดี้สแลมมาตั้งแต่แรก เพราะผมเป็นเพื่อนกับอ๊อฟ Big Ass เรียนมาด้วยกัน ประกวดวงเดียวกัน อยู่มาวันหนึ่งอ๊อฟก็เล่าให้ฟังว่า เขามีโปรเจ็กต์ได้เป็นโปรดิวเซอร์วงดนตรีวงหนึ่ง ซึ่งเป็นวงละอ่อนเก่า วงนี้ชื่อวงบอดี้สแลม ก็เล่าโน่นนี่ สุดท้ายก็ชวนให้ผมไปอัดคีย์บอร์ดกับอัดคอรัสให้ ซึ่งผมก็ได้เจอบอดี้สแลมในฐานะช่วยงานเบื้องหลังตั้งแต่ชุดแรก และเจอตามงาน ตามเวทีต่างๆ
โอม เปล่งขำ คีย์บอร์ด
ยอด: ผมจะเจอตูนก่อนเลย เพราะตูนเป็นรุ่นน้องของเพื่อนผม ตอนนั้นเขาเป็นนิสิตจุฬาครับ ผมเรียนหอการค้า แต่มีงานของของคณะ ตอนนั้นขึ้นไปร้องเพลง “ก่อน” เลยได้รู้จักกันกัน
โอม: ผมมาจอยกับบอดี้สแลมจริงๆ ปี 2009
ตูน: พี่โอมเล่นให้ตั้งแต่อัลบั้ม Save my Life ใช่มั้ยครับ
โอม: ไม่ๆ Save My Life เนี่ยปฎิเสธ
ทุกคน: โอ้วววว (หัวเราะ)
โอม: แต่ไปเล่นให้ในคอนเสิร์ตใหญ่นะ Save My Life Concert แต่ทัวร์ไม่ได้ไปด้วยกัน ทัวร์คอนเสิร์ตผมมาจอยกับบอดี้สแลม ตอนอัลบั้มคราม เมื่อปี 2009
ตูน: อัลบั้มคราม ก็ยังไม่เป็นสมาชิก แต่มาช่วยคิดงานแล้ว
โอม: 13 พฤศจิกายน หรือ 13 ธันวาคม 2009 เนี่ยแหละ ที่แรกที่เป็นสมาชิกอย่างทางการ คือเล่นที่ประจวบคีรีขันธ์
ตูน: บอดี้สแลมอายุ 16-17 ปีแล้ว ผมว่าผ่านมาหลายช่วงวัย เมื่อก่อนเราเป็นวัยรุ่นนั่งรถตู้ไปทัวร์คอนเสิร์ตคันเดียวกัน ตลกโปกฮา แล้วก็มันส์ๆ แบบนักดนตรี แบบทัวร์อะไรอย่างนี้นะครับ จนถึงแบบตอนนี้ เราก็ต่างคนต่างมีครอบครัว ต่างคนต่างมีวิถีชีวิตที่มีความรับผิดชอบของตนเองมากขึ้น มุมนั้นอาจจะน้อยลง แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยังใช้ดนตรีเป็นตัวเชื่อมกัน พอเวลาเราจะทำงานใหม่ ก็มาซ้อมกัน มาตั้งต้นคิดงานใหม่ด้วยกัน อาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตมุทะลุเหมือนตอนวัยรุ่นที่เราเคยเป็น
เรื่องเล็กน้อย อะไรยอมได้ก็ยอม
มีไม่เข้าใจกัน โกรธกันบ้างมั้ย และมีมุมประทับใจกันต่อกันอย่างไรบ้างคะ
ปิ๊ด: พวกเราผ่านมาทุกโมเม้นต์เลยครับ โกรธกัน งอนกัน ทะเลาะ เพราะคนเราก็มีข้อดีข้อเสียด้วยกันทุกคน แต่เราไม่เคยทะเลาะแบบรุนแรงเลยนะ คือทะเลาะกันตามธรรมชาติของคนที่ทำงานด้วยกันมากกว่า
ยอด: อยู่ด้วยกันมานาน ต่างคนต่างรู้ว่าคนนี้มาอารมณ์นี้ จะต้องทำยังไง แต่ส่วนมากผมจะเป็นผู้รับฟังมากกว่า
ปิ๊ด: ในมิตรภาพของวง ผมประทับใจทุกคน ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องไม่ดีต่างๆ มาคิดดูแล้ว มันก็ควรจะต้องเกิดขึ้น เพราะว่าถ้าเกิดไม่มีเรื่องไม่ดีในวันนั้น เราก็จะไม่รู้ใจกันขนาดนี้ ผมนับถือและประทับใจพี่โอมนะ เขาเป็นพี่ใหญ่ที่ไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย กูแก่กว่ามึงนะเว้ย คือพี่โอมมักจะยอมให้พวกเราข่ม คือยอมให้พวกเราแหย่ตลอด ทำตัวคือเป็นมิตรกับทุกคน
โอม: ถ้าเป็นหมาก็คือเชื่องนะ (หัวเราะ)
ปิ๊ด: ส่วนกับตูนและคนอื่นก็เหมือนกันครับ คือบอดี้สแลมไม่ใช่วงที่จะแบบ เฮ้ย… เป็นไงบ้าง เราไม่เคยเป็นโมเม้นต์แบบนี้ เราจะใช้ระยะเวลาทั้งหมด รู้ใจกันว่า ถ้าไอ้นี่หน้าบูดมา แสดงว่าต้องห่างมันสักหน่อยจะดีกว่า ให้มันตั้งหลักก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยเอางานไปทำให้เคลิ้ม บางทีพี่ชัชก็แบบเดินมา “แม่งเอ้ย!” ผมก็คิดว่า อืม… “เอาแล้วไง” งั้นนิ่งๆ กันไว้ก่อนนะ (หัวเราะ)
โอม: บางทีผมก็มีเหมือนกัน โมโหในบางเรื่อง คิดมาจากบ้านเลยว่าเดี๋ยวเจอกันคงต้องมีคุยกันบ้าง “เดี๋ยวมึงเจอกูๆ” (หัวเราะ) แต่พอมาเห็นหน้ากันจริงๆ ไม่พูด ทำไม่ลง เรากลับเอาน้ำเย็นเข้าคุยกัน ซึ่งจริงๆ ผมชอบนะที่เราเป็นกันแบบนี้ ผมว่ามันยังดีกว่าการที่มาชี้หน้าด่ากัน สาดอารมณ์รุนแรงใส่กัน พูดจาเสียงดังใส่กัน ซึ่งมันไม่ได้อะไร ผมชอบที่ยอดพูดว่า เหมือนทุกคนรู้ว่า เห็นหน้าคนนี้แล้ว เจอฟีลนี้แล้ว เราจะต้องทำอย่างไร เท่าที่สังเกตุทกคนจะหลีกเลี่ยงการปะทะ ตรงนี้เท่ากับว่าเราต่างก็ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ปัญหาในวง ปัญหาของการอยู่ร่วมกันมันต้องมีบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันได้คือ ทุกคนก็ยังให้เกียรติซึ่งกันและกัน
อาทิวราห์ คงมาลัย (ตูน) นักร้องนำ
ตูน: มองในมุมของเพื่อน ผมว่าทุกคนเห็นเป้าหมายเดียวกันว่า เราอยากจะเป็นแบบนี้ไปให้นานที่สุด พวกเรามีความสุขกับการเล่นดนตรีจริงๆ ผมพูดแทนพี่ๆ ทุกคนเลยก็ได้ว่า ดนตรีสร้างเรามา แล้วเราก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากเล่นดนตรี และร้องเพลงจริงๆ แล้วทุกคนต่างก็เห็นด้วยว่า เราอยากเป็นแบบนี้ไปจนวันสุดท้ายของชีวิต มีแรงพลังแบบนี้ เพราะมันคือเรื่องสำคัญที่เราต้องมีแรงบันดาลใจ เราอยากจะมีความเป็นวัยรุ่นแบบนี้ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วการกระทำอะไรก็ตามที่มันจะก่อให้เกิดผลเสีย หรือจะทำให้เป้าหมายนี้ไปไม่ถึงฝัน เราก็จะไม่ทำมัน
เราจะเห็นเป้าเดียวกัน เราจะตั้ง Goal ไว้ว่าเราจะเป็นแบบนี้ เราอยากจะออกอัลบั้มที่ 8, ที่ 9, ที่ 10 ต่อไปเรื่อยๆ แล้วเราจะช่วยกันยังไง ประคับประคองยังไงได้บ้าง ถ้ามีเรื่องร้อนก็ทำให้มันเย็นลงหรือรักษาระยะห่างไว้ก่อน ไม่จำเป็นต้องเจอกันทุกวัน ถ้าเราเชื่อมั่นในดนตรีเหมือนกัน เราก็เอาดนตรีมาคุยกัน เอาความฝันมาคุยกัน พอทุกคนเห็นภาพเดียวกันแล้ว เรื่องหนักมันก็จะเป็นเบา มันก็จะผ่อนคลายกันได้เอง
ไม่ว่าทุกคนจะพบเจออะไรมา พอขึ้นไปบนเวที ได้เล่นดนตรีกัน ได้มองหน้ากัน ได้สนุกกับคอนเสิร์ต สนุกกับแฟนเพลง มันลืมทุกอย่าง พวกเราไม่ได้เป็นคนแก้ปัญหาอะไรเก่งนะครับ ไม่ได้เป็นคนบริหารจัดการอะไรเก่งเลยครับ ดนตรีต่างหากที่พาให้เรารอดมาถึงจนถึงทุกวันนี้ แล้วเราก็จะใช้คีย์นี้แหละ หลักคิดนี้แหละ ประคับประคองกันไป อีกอย่างนอกจากเราจะมีกัน 5 – 6 คนตรงนี้
แต่จริงๆ แล้วเรายังมีพี่อ๊อฟ พี่กบ วง Big Ass ที่เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเหมือนจิตวิญญาณ ที่สำคัญเลยทั้งคู่เป็นพี่ชาย ที่คอยสอน คอยหล่อหลอม คอยทำหลายๆ อย่างให้พวกเรา ผมว่าพี่ๆ ทั้งสองคนเป็นเหมือนจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้บอดี้สแลมเดินทางมาเป็นแบบนี้ในทุกวันนี้ได้
ธนชัย ตันตระกูล (ยอด) กีตาร์
อ่านต่อได้ที่หน้าถัดไป