หลังจาก EP1 ทะเลสาบอะคัง ชนเผ่าไอนุกับเจ้าบ้านตัวเขียว เราเริ่มต้นทริปเที่ยวฮกไกโดตามเส้นทางความหวานของขนมขึ้นชื่อกันที่เมืองคุ ชิโระ ร่วมเทศกาลบูชาไฟและชมการแสดงพื้นเมืองของชาวไอนุ จบที่ “Lake Akan Tsuruga Resort Spa Tsuruga Wings” ที่พักสุดหรูริมทะเลสาบ เช้าวันที่สองเราตื่นมาพร้อมหมอกจาง ๆ เลยรีบออกมาชมความงามรอบ ๆ ทะเลสาบอะคัง สูดอากาศเย็น ๆ สดชื่นให้ชุ่มปอด เป็นการสลัดความงัวเงียทิ้งไป รีเฟรชร่างกายใหม่พร้อมสำหรับทริปเที่ยวไปชิมไปวันที่สอง หลังจากจัดการกับมื้อเช้าและเก็บข้าวของสัมภาระเช็กเอ๊าต์กันเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางกันต่อ จุดมุ่งหมายของเราวันนี้คือ “อะบาชิริ” (Abashiri)
มา ฮกไกโดก็ต้องสัมผัสกับฤดูหนาว และเมื่อกล่าวถึงเมืองแห่งฤดูหนาวบนฮกไกโดก็ต้องเมือง “อะบาชิริ” เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งน้ำแข็ง สภาพอากาศในเมืองอะบาชิรินั้นค่อนข้างหนาวจัดในฤดูหนาว ช่วงเวลาที่เรามา (ฤดูใบไม้ผลิ) จึงเหมาะแก่การท่องเที่ยวในอะบาชิริมากที่สุด เพราะอากาศจะไม่หนาวจนเกินไป แต่สำหรับใครที่ชอบอากาศหนาวประเภทติดลบ ชอบหิมะหนานุ่ม ฤดูหนาวของ “อะบาชิริ” นั้นตอบโจทย์ที่สุด เพราะที่นี่มีสิ่งที่พิเศษต่างจากที่อื่น ๆ ที่เรียกว่า “ดริฟต์ไอซ์” (Drift Ice) หรือแผ่นน้ำแข็งที่ลอยมารวมกันกลางทะเลโอค็อตสก์บริเวณนอกชายฝั่งอะบาชิริ นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสอย่างใกล้ชิดด้วยการล่องเรือตัดน้ำแข็ง แค่นึกภาพตามก็ตัวสั่นแล้ว
อีกสิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาอะบาชิริคือ การเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจะมีสองพิพิธภัณฑ์เด่น ๆ ที่ห้ามพลาดคือ พิพิธภัณฑ์น้ำแข็งโอค็อตสก์ริว-เฮียว (Okhotsk Ryu-hyo Museum) และพิพิธภัณฑ์เรือนจำอะบาชิริ (Abashiri Prison Museum) แต่ก่อนจะไปชมพิพิธภัณฑ์ทั้งสอง เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นผู้นำทริปของเราจะพาไปประเดิมวันใหม่ด้วยการชิมขนมชื่อ ดังอีกอย่างของฮกไกโดกันก่อนนั่งรถชมวิวไปเพลิน ๆ สักพักรถก็เลี้ยวเข้ามาถึงบริเวณลานจอดรถของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ความแปลกใจแรกคือ เรามาทำอะไรที่โรงเรียน แปลกใจต่อมาคือ ทำไมไม่มีเด็กนักเรียนเลยสักคน ก่อนที่เราจะงงกันไปมากกว่านั้น เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ก็รีบออกมาต้อนรับ พร้อมกับเชิญเราเข้าไปด้านใน ลักษณะภายในก็ยังคงเป็นสภาพของโรงเรียนประถมทั่ว ๆ ไป ทั้งสีของผนัง ภาพวาดของเด็ก ๆ และโต๊ะเก้าอี้ก็บอกชัดว่า นี่คือโรงเรียนประถมแน่ ๆ แต่ที่เปลี่ยนไปคือที่นี่ไม่มีครูและนักเรียนแล้ว มีแต่พนักงานและขนมที่เรียกว่า “Hogaja”
โฮกะจะเป็นขนมเซมเบ้ชนิด หนึ่ง หน้าตาคล้ายมันฝรั่งทอดกรอบแผ่นแบน ๆ สีออกน้ำตาลส้ม มีกลิ่นและรสชาติซีฟู้ดเป็นหลัก เคล็ดลับความอร่อยคือ การใช้วัตถุดิบชั้นเยี่ยมจากท้องทะเลฮกไกโดอย่างหอยโฮตาเตะ ไข่ปลาค้อดที่สดใหม่ นำมาผสมผสานคลุกเคล้าปรุงรสกับแป้งมันฝรั่งทำเป็นแผ่นบาง ๆ รสเค็มกำลังดี มีเผ็ดติดปลายลิ้นหน่อย ๆ เรียกว่าได้ชิมแล้วก็เคี้ยวกรอบเพลินเกินห้ามใจจริง ๆ โฮกะจะจึงเป็นขนมขายดีของที่นี่ รวมไปถึงโฮกะจะรสชีสฮกไกโดที่ขายดีไม่แพ้กัน
เราออกจากโรงเรียน…เอ๊ย! โรงงานกันด้วยขนมคนละถุงสองถุงใหญ่ เป้าหมายต่อไปคือ พิพิธภัณฑ์น้ำแข็งโอค็อตสก์ริว-เฮียว
พิพิธภัณฑ์ น้ำแข็งโอค็อตสก์ริว-เฮียวตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาเท็นโตะ ที่นี่จัดแสดงก้อนน้ำแข็งยักษ์ที่ลอยมาจากรัสเซีย (Drift Ice) โดยเขาตัดมาเก็บรักษาไว้ในห้องควบคุมอุณหภูมิติดลบเพื่อศึกษาวิเคราะห์ระบบ นิเวศวิทยาการมาของ
ธารน้ำแข็งที่มีผลต่อชาวเมืองแถบชายฝั่งทะเลโอค็อตสก์ของเมืองอะบาชิริ
ภาย ในมีห้องฉายภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองอะบาชิริกับทะเลโอค็อตสก์ มีโซนนิทรรศการจัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาในการเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็ง มีตู้กระจกเลี้ยงสัตว์ทะเลตัวเล็ก ๆ ที่เก็บตัวอย่างมาได้จากธารน้ำแข็งบริเวณชายฝั่งที่เรียกว่า “คลิโอเน่” (Clione) สัตว์ตระกูลหอยเจ้าของฉายา “นางฟ้าแห่งทะเลน้ำแข็ง” ให้ชมด้วย และส่วนที่เป็นไฮไลต์คือห้องจัดแสดงก้อนน้ำแข็งซึ่งจะรักษาอุณหภูมิติดลบไว้ ถึง -12 ถึง -15 องศาเซลเซียส ก่อนเข้าจะมีเสื้อกันหนาวกับถุงมือไว้บริการพร้อมกับแจกผ้าชุบน้ำอีกคนละผืน เป็นกิจกรรมสนุก ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับประสบการณ์อุณหภูมิติดลบ โดยการเหวี่ยง ๆ หมุน ๆ ผ้าไปมาในอากาศเพียงไม่กี่วินาทีผ้าก็จะแข็งเหมือนก้อนหินด้วยความเย็นจัด
หากอยาก จะชมดริฟต์ไอซ์ของจริงก็ต้องชมด้วยวิธีล่องเรือตัดน้ำแข็งออกไปและต้องเลือก ช่วงเวลาสักหน่อย เพราะแผ่นน้ำแข็งจะเริ่มหนาตาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม ก่อนจะค่อย ๆ ละลายหายไปราวเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายน (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปี) โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการชมธารน้ำแข็งจะอยู่ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ท่าเรืออะบาชิริจะมีเรือตัดน้ำแข็งไว้บริการ ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าใช้จ่าย 3,300 เยนต่อคน นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่มีแค่ไม่กี่คนที่มีโอกาสได้สัมผัสกับท้องทะเล สีขาวสุดลูกหูลูกตา
มื้อกลางวันเรามาชิมเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดาของ ร้าน “Kinemakan” ที่ท่าเรืออะบาชิริ จุดชมดริฟต์ไอซ์ของเมือง ถึงแม้เราจะไม่ได้มาเห็นดริฟต์ไอซ์ของจริงด้วยตา แต่บนโต๊ะอาหารของเราตอนนี้ก็มีแกงกะหรี่ดริฟต์ไอซ์เสิร์ฟพร้อมกับแป้งโรตี กรอบ ๆ มาให้ลองชิมกัน ด้วยส่วนผสมพิเศษของแกงกะหรี่ที่ทำออกมาเป็นสีน้ำทะเล ถึงหน้าตาและสีสันจะดูแปลก มองครั้งแรกเหมือนอาหารปลอม แต่รสชาตินี่จัดว่า ขั้นเทพเลยทีเดียว ยิ่งรับประทานคู่กับ “Okhotsk Blue” เบียร์ท้องถิ่นของอะบาชิริที่เป็นสีน้ำทะเลเช่นกัน เรียกได้ว่านอกจากจะฟินกับรสชาติแล้วยังฟินกับไอเดียความสร้างสรรค์อีกด้วย
เต็ม อิ่มกับของคาวแล้วก็ต้องหาของหวานตบท้ายสักหน่อย ในอะบาชิริมีร้านเล็ก ๆ ร้านหนึ่งชื่อว่า “Emu Shop” ที่นี่ขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่แปรรูปมาจากนกอีมูสัตว์เศรษฐกิจของเมืองอะบาชิริ หลัก ๆ ก็จะเป็นพวกเครื่องสำอาง เปลือกไข่นกที่ทำเป็นเครื่องประดับ แต่มีทีเด็ดที่ซ่อนอยู่คือขนม “Emu Nama Dorayaki” ขนมโดรายากิของโปรดโดราเอมอนนั่นแหละ แต่ใช้ไข่นกอีมูเป็นส่วนผสมแทนไข่ไก่ในการตีแป้ง โดรายากิแป้งนุ่ม เนื้อนวล หอมมัน สอดไส้ครีมสดถั่วแดง รสชาตินี่พูดเลยว่า “อร่อยมาก” วิธีรับประทานจะมีสองแบบ แบบแรกคือแบบแช่เย็นปกติ อีกแบบคือแบบแช่แข็งให้ไส้ครีมสดข้างในกลายเป็นไอศกรีม สนนราคาก็ชิ้นละ 300 เยนเท่านั้น แต่…แต่…แต่ ไม่มีวางขายที่อื่นนะจ๊ะ และจำกัดการผลิตแค่ปีละ 30,000 ชิ้นเท่านั้น ของดีก็งี้แหละ
สถานี ต่อไป พิพิธภัณฑ์เรือนจำอะบาชิริ เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของเมืองซึ่งโด่งดังไม่แพ้การชมดริฟต์ไอซ์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ในอดีตเคยเป็นสถานที่กักขังนักโทษในยุคเมจิ (ปัจจุบันไม่มีนักโทษอย่แู ล้ว) ถูกสร้างข้นึ ในปี ค.ศ. 1890 เพื่อคุมขังนักโทษที่ก่อคดีอาชญากรรมอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญมากกว่า 1,000 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 1984 อาคารเรือนจำได้ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เรือนจำและเปิดให้ประชาชน ได้เข้าชมในปีถัดมา เหตุผลหนึ่งที่ปรับเปลี่ยนสถานที่ที่ดูน่ากลัวและน่าหดหู่นี้ให้เป็น พิพิธภัณฑ์เพราะต้องการให้เห็นว่า การจะทำให้ฮกไกโดเจริญรุ่งเรืองได้ถึงเพียงนี้ต้องผ่านความยากลำบากขนาดไหน เปรียบเสมือนอนุสรณ์ให้ผู้คนระลึกถึงเหล่านักโทษและผู้คุมผู้เสียสละ
อาคาร สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของพิพิธภัณฑ์เป็นของจริง เป็นคุกเก่าดั้งเดิมทั้งหมด ยกเว้นส่วนกำแพงตรงประตูทางเข้าเท่านั้นที่สร้างจำลองขึ้นมาใหม่ มีส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการกลางแจ้งและนิทรรศการภายในอาคารอีกมากกว่า 12 อาคาร ทั้งหมดเป็นการเก็บรวบรวมเรื่องราววิถีชีวิตประจำวันของนักโทษ ทั้งการกิน การนอน โรงอาบน้ำ อาคารเรือนจำหลัก ศาล ห้องขังเดี่ยวบนพื้นที่ที่ใหญ่กว่าโตเกียวโดมถึง 3.5 เท่า
นักโทษที่ ถูกส่งตัวมาที่นี่จะเป็นพวกคดีร้ายแรงหรือยากูซ่า และโดนใช้แรงงานอยา่ งหนักเพอื่ สรา้ งถนน “Chuo-Doro” เพื่อเชื่อมฝั่งตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน ด้วยสภาพภูมิอากาศอันโหดร้ายจากอากาศหนาวจนติดลบทำให้มีนักโทษต้องเสียชีวิต ไปถึง 211 คน ไกด์เล่าว่า ใครที่ติดคุกที่นี่แล้วออกไปได้ ถือว่าเป็นยากูซ่าตัวพ่อ เป็นที่นับหน้าถือตา เพราะได้ผ่านบทพิสูจน์ความอึด ความทรหดอดทนขั้นสุดยอดมาแล้ว จากเรื่องราวความทุกข์ยากอันโด่งดังหลังกำแพงคุกอะบาชิริจึงมีการนำมาสร้าง เป็นภาพยนตร์แนวยากูซ่าขึ้นในปี ค.ศ. 1965 ชื่อเรื่องว่า Abashiri Bangaichi กำกับโดย “Teruo Ishii” และแสดงนำโดย “Ken Takakura” นักแสดงที่มีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่น และปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่
แต่ คนที่โด่งดังและเป็นตำนานที่สุดในคุกอะบาชิริต้องยกให้นาย ชิราโทริ โยชิเอะ เขาเป็นนักโทษเพียงคนเดียวที่สามารถแหกคุกได้สำเร็จ หากเข้าไปชมภายในอาคารห้องขังจะเห็นได้ว่ามีอยู่ห้องหนึ่งที่ประตูถูกเปิด ออก และถ้ามองขึ้นไปด้านบนใต้หลังคาจะเห็นหุ่นจำลองของนายโยชิเอะกำลังปีนขึ้นไป เพื่อหลบหนี จากตำนานบอกไว้ว่านายโยชิเอะใช้ความพยายามถึง 10 เดือนในการหยอดน้ำซุปมิโซะลงไปที่ซี่ลูกกรงของประตูไม้ทุกวันจนไม้ผุ และสามารถโยกลูกกรงเหล็กออกจากประตูได้ จากนั้นก็ปีนขึ้นทางหลังคาเรือนจำ ใช้ศีรษะโหม่งกระจกจนแตก แล้วหนีออกไปหลบอยู่ในป่านานถึงสองปี จากนั้นก็หนีไปซ่อนตัวอยู่ซัปโปะโระและโดนจับได้อีกเป็นครั้งที่สอง แต่ก็หนีออกไปได้อีกเช่นกัน คราวนี้หนีไปไกลถึงโตเกียวและไม่ได้กลับมาอีกเลย เพราะสุดท้ายก็โดนจับได้ที่โตเกียว
แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลาไป อุณหภูมิก็ลดลงเรื่อย ๆ ออกจากคุกมาก็เริ่มนึกถึงอ่างน้ำร้อนกับเตียงอุ่น ๆ แล้ว แต่ภารกิจเรายังไม่หมดเท่านี้ ในเมืองอะบาชิริยังมีร้านไอศกรีมเจ้าดังให้เราไปชิมประชดความหนาวกัน ร้านนี้ชื่อว่า “Risunomori” เป็นร้านไอศกรีมเจลาโต้เล็ก ๆ ที่อยู่ริมถนน ตัวร้านเป็นแบบกระท่อมไม้น่ารักและดูอบอุ่น ความพิเศษของไอศกรีมที่นี่คือใช้วัตถุดิบชั้นเลิศของฮกไกโดที่ทุกคนรู้จัก กันดีคือ นมฮกไกโด ผสมผสานกับความหวานแบบเฉพาะตัวของน้ำตาลชนิดต่าง ๆ ที่เลือกมาทำไอศกรีม ที่นี่ใช้น้ำตาลที่คัดพิเศษมากถึง 9 ชนิด เป็นน้ำตาลที่ให้คาแร็คเตอร์ความหวานต่างกัน ไอศกรีมแต่ละรสจะถูกคิดค้นสูตรขึ้นมาโดยเฉพาะว่ารสไหนต้องใช้น้ำตาลแบบไหน บางรสก็ใช้น้ำตาลถึง 3 ชนิดรวมกัน เรียกได้ว่านอกจากความหอมมันของนมฮกไกโดแล้ว เรื่องความหวานเขาก็พิถีพิถันกันสุด ๆ
คืนนี้เราพักที่ “Abashirikoso” โรงแรมสุดหรูของอะบาชิริ และปิดท้ายความอร่อยด้วยดินเนอร์สุดหรูของโรงแรม ของเด็ดของดังจากเมืองอะบาชิริทุกอย่างรวมอยู่ตรงหน้าแล้ว เอาละ…ได้เวลาอร่อย ก่อนจะไปพักผ่อนเก็บแรงไว้ลุยต่อ จะเป็นที่ไหน อย่างไร ติดตามใน LAST EP “คิตะมิ” สู่ “ซัปโปะโระ” ปลายทางความอร่อย
Text & Photo : Gai