ยังคงทำตัวกลมกลืนอยู่กับชาวญี่ปุ่นที่ดินแดนอาทิตย์อุทัย คราวนี้ไอจังและเมย์จัง 2 สาวพิธีกร รายการ “ว้าว! วันหยุด” ช่วง “อี้โยเนะ เจแปน” ขออาสาพาเรามาสัมผัสธรรมชาติสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ โอกุมิคาวะ (Okumikawa) และ อิเซะชิมะ (Iseshima) ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น ซอกมุมไหนที่ยังไม่เคยเห็น ไกด์ (จำเป็น) ของเราจัดให้แบบเต็มอิ่ม พร้อมแล้ว Let’s go!
โอกุมิคาวะ สโลว์ไลฟ์สไตล์บ้านทุ่งหลายคนยังไม่รู้ว่าย่านชนบถของญี่ปุ่นก็มีดีเหมือนกัน วันนี้เราเลยตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อออกเดินทางสู่ โอกุมิคาวะแฝงตัวเป็นคนโลคัลสักหนึ่งวัน เราตั้งต้นกันที่ เมือง โทโยะฮาชิ จังหวัดไอจิ (Aichi) ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำหรับผลิตรถยนต์โตโยต้า และถ้าใครคิดว่าเมืองนี้เต็มไปด้วยมลพิษละก็ คิดผิดถนัด เพราะสภาพแวดล้อม 70 เปอร์เซ็นต์ของเมืองนี้เต็มไปด้วยภูเขาและธรรมชาติ ขอบอกว่าดีงามจนรัวชัตเตอร์แทบไม่ทัน
กว่า 2 ชั่วโมงบนเส้นทางอันคดโค้ง ในที่สุดเราก็มาถึงDonguri no Sato Inabu ที่นี่เป็นช็อปขายผักสด สินค้า
และอาหารแปรรูปที่ทำจากข้าวคุณภาพดี พันธุ์ Mineasahi ซึ่งเป็นข้าวพันธ์ุท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงและหาซื้อยาก เพราะ
มีคนปลูกแค่ 10คนเท่านั้น แถมยังปลูกในในสภาพแวดล้อมที่สูงกว่าปกติ ทำให้เติบโตได้ดีกว่า ว่าแล้วก็ต้องลองชิม
Rice Ball โมจิถั่วแดงและขนมปังที่ทำมาจากข้าวพันธุ์นี้เสียหน่อย ความอร่อยไม่ขอบรรยาย เอาเป็นว่าขนาดชาวญี่ปุ่นจากทั่วทุกสารทิศยังแห่กันมาที่นี่เพื่อซื้อกลับไปกินก็แล้วกัน
เรียกน้ำย่อยกันพอหอมปากหอมคอ ต่อไปคือของจริงใครที่ชอบกินเนื้อต้องไม่พลาดร้านนี้ Nouka Restaurant
Banjyaru เป็นร้านอาหารโลคัลขนาดเล็กกะทัดรัดตกแต่งด้วยไม้ทั้งหลัง ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและลำธาร
บรรยากาศว่าดีแล้ว พอได้ลองชิมเมนูเนื้อวัว Danto Beef บอกเลยว่าดีกว่าอีกสิบเท่า เอาใจไปเลยสิบดวง
นมี่มันสวรรค์ของคนชอบกินเนื้อชัดๆ วัวของที่นี่กว่า 500 ตัวถูกเลี้ยงมาเป็นอย่างดีด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวพันธุ์ท้องถิ่นคุณภาพสูง ส่วนน้ำก็เป็นน้ำบริสุทธิ์จากลำธารเลยทำให้วัวตัวใหญ่และไม่ค่อยมีไขมัน แต่ราคาก็สูงมาก
เช่นกัน ไอจังและเมย์จังแอบกระซิบว่า ที่นี่หมดไปกับค่าอาหารวัวถึงเดือนละ 7 ล้านเยนเชียวละ
หลังจากเติมพลังเสร็จแล้วเราก็มาชมผลงานแฮนด์เมดเก๋ ๆ ที่ ร้านไม้และเครื่องหนัง Aoyama ด้วยสไตล์การ
ตกแต่งแบบมินิมัลบวกกับทำเลที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขามีสายลมหนาว (10 องศา) พัดผ่าน เชื่อเลยว่าใครมาต้อง
ตกหลุมรักที่นี่ เจ้าของร้านผู้เป็นภรรยาถนัดทำงานเครื่องหนัง จึงทำเครื่องหนังขาย มีทั้งสร้อยข้อมือ
กระเป๋า รองเท้า เข็มขัดส่วนสามีถนัดด้านงานไม้จึงขายสินค้าต่าง ๆ ที่ทำจากไม้อาทิ เฟอร์นิเจอร์ แหวน แจกัน ที่วางแก้วน้ำ โดยไม้ที่ใช้เป็นไม้ที่หาได้ในละแวกนี้และเป็นไม้เนื้อหอมชนิดเดียวกับที่นิยมใช้ทำอ่างไม้สำหรับแช่อนเซ็น นอกจากนี้ยังเปิดสอนเวิร์คชอปการสลักลวดลายลงบนไม้อีกด้วยไอจังและเมย์จังเลยนึกสนุกลองสลักชื่อของตัวเองลงบนช้อนส้อมและจานดูบ้าง ผลงานจะออกมาเป็นอย่างไรสวยเหมือนคนทำหรือไม่ ต้องติดตามในรายการนะจ๊ะ
ยังไม่ทันไรพระอาทิตย์ก็ตกดินซะแล้ว สถานที่สุดท้ายที่เราจะมาสัมผัสชีวิตสโลว์ไลฟ์คือที่ Inaka Experience
Guest House Danon เกสต์เฮ้าส์ของที่นี่เป็นบ้านญี่ปุ่นโบราณที่เจ้าของปรับปรุงให้นักท่องเที่ยวได้ลองมาใช้ชีวิต
แบบบ้าน ๆ ไอจังและเมย์จังจึงนำวัตถุดิบที่หาได้ในละแวกนี้ทั้งข้าวพันธุ์ Mineasahi เนื้อวัว Danto Beef ผักสด ไข่ มาทำอาหารกินกัน ว่าแล้วคุณลุงเจ้าของบ้านก็โชว์ทักษะการหุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ด้วยเตาถ่านให้ทีมงานลองชิม ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือบรรยากาศพาไป ข้าวในกระบอกไม้ไผ่และกับข้าวที่สองสาวทำมาจึงหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นทุกคนพร้อมใจกันแยกย้ายสลายตัว
อิเซะชิมะ สักการะศาลเจ้าอันโด่งดัง
วันรุ่งขึ้นเรามาสร้างแลนด์มาร์กกันต่อที่ เมืองอิเซะชิมะ ใน จังหวัดมิเอะ (Mie) ถ้ามาถึงนี่แล้วไม่มา
ศาลเจ้าอิเซะจินกุ (Ise Jingu Shrine) ถือว่ามาไม่ถึง เพราะที่นี่เปน็ ศาลเจา้ ทใี่ หญแ่ ละมคี วามสำคัญที่สุดในญี่ปุ่น เป็นที่สถิตของ เทพีอะมะเตะระสุ (Amaterasu) ที่เชื่อเชื่อกันว่าเป้นต้นกำเนิดของราชวงค์ญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นและสรรพสงิ่ ทงั้ หลาย ชาวญี่ปุ่นจึงเคารพและศรัทธาที่นี่มากจนมีผู้เดินทางมาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ปีละมากกว่าเจ็ดล้านคน
ตามประเพณีก่อนที่จะลอดผ่านประตูศาลเจ้า (โทริอิ) เข้าไปให้โค้งคำนับ 1 ครั้ง สะพานอูจิบาชิ (Ujibashi) ซึ่งยาวประมาณ100 เมตร ด้านล่างเป็น แม่น้ำอิซูซุ (Isuzu) เชื่อกันว่าสะพานนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นจึงมาชำระล้างตนให้บริสุทธิ์ที่ศาลาด้วยการตักน้ำขึ้นมาหนึ่งกระบวย ล้างมือซ้ายก่อนแล้วค่อยล้างมือขวา ตามด้วยบ้วนปาก แล้วยกกระบวยขึ้นตั้งฉากให้น้ำที่เหลือไหลลงมาล้างด้ามจับ แล้วจึงนำไปวางที่เดิมระหว่างทางเดินเข้าไปด้านในไอจังและเมย์จังแนะนำให้แวะริมแม่น้ำอิซูซุ ล้างมือและกวักน้ำขึ้นมาพรมตามร่างกายเพื่อความเป็นสิริมงคลยิ่งเดินเข้ามาลึกเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกร่มรื่นมากขึ้นเท่านั้น เพราะศาลเจ้าแห่งนี้
ล้อมรอบไปด้วยป่าและต้นไม้ใหญ่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเงียบสงบ
ไอจังและเมย์จังได้อธิบายวิธีการขอพรแบบญี่ปุ่นไปในตอนที่แล้วนั่นก็คือโยนเงินใส่กล่อง ยืนตรงโค้งคำนับ 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้งอธิษฐาน เสร็จแล้วจึงโค้งคำนับอีก1 ครั้ง เป็นอันเสร็จสิ้น ที่สำคัญเมื่อเดินออกจากศาลเจ้าแล้วอย่าลืม
หันกลับไปโค้งคำนับที่ประตูศาลเจ้าด้วยหลังจากขอพรเสริมสิริมงคลเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาหาอะไรรองท้องสักหน่อย ตรงข้ามศาลเจ้าอิเซะจินกุจะเป็น ถนนโอฮาไรมาจิ (Oharaimachi) ซึ่งเป็นแหล่งขายของกินเรียงรายอยู่มากมาย เดิน
เข้าไปเรื่อย ๆ จะเจอ ย่าน OkageYokocho เป็นกลุ่มบ้านโบราณที่อนุรักษ์ไว้ เปิดขายของที่ระลึกและอาหารพื้นเมืองอีกมากมายเช่นกัน บางวันก็จะมีการแสดงพื้นบ้านให้ชมพ่อค้าแม่ค้าเองก็จะแต่งกายย้อนยุคให้เข้ากับบรรยากาศ
ทำเอาถูกใจสองพิธีกรของเราจนเอ่ยปากชมว่า “อี้โยเนะ”ตลอดทาง
เรามาหยุดอยู่หน้า ร้าน Dangorouchaya ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ เปิดมานานกว่า 300 ปีแล้ว มาที่นี่ต้องสั่ง
Akafuku Senzai มาชมิ ใหไ้ ด้ เมนนี้แปลว่า “ความสุขสีแดง”เป็นขนมโมจิขึ้นชื่อทำมาจากแป้งโมจิผสมกับถั่วแดงบดเชื่อว่าถ้ากินแล้วจะมีแต่ความสุข นำโชคลาภมาให้ต่อด้วยราเม็งรสชาติต้นตำรับแห่ง ร้าน Yokocho Soba Shouseiko โดดเด่นด้วยน้ำซุปกระดูกวัวมัตสึซากะซึ่งเป็นวัวที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยและดีที่สุดในโลก ท็อปปิ้งด้วย
แฮมหมสู ดวางพาดเตม็ ขอบชาม ซดดงั ๆ ทงั้ นำ้ ซปุ และเสน้เพิ่มอรรถรสในการกิน ฟินมั้ยให้ทายตอนบ่ายเรามาสแตนด์บายกันที่ โรงแรม Toba International Hotel Shiojitei เพ่อื มาแช่อนเซ็นน้ำพุร้อนที่มีส่วนผสมไข่มุก สรรพคุณคือช่วยให้ผิวพรรณดี บอกเลยว่าน้ำอุ่นพอเหมาะแบบนี้กับบรรยากาศโดยรอบที่เป็นสวนชวนเคลิ้มจนไม่อยากไปไหนเลยทีเดียว แอบกระซิบว่าตามธรรมเนียมของคนญี่ปุ่น เมื่อแช่อนเซ็นเสร็จแล้วมักจะออกมาดื่มนมเพื่อความสดชื่น ดังนั้นจึงมีตู้ขายเครื่องดื่มหยอดเหรียญอยู่ด้านหน้าว่าแล้วเราก็มาล่องเรือรอบ อ่าวโทบะ (Toba) กันต่อ
ความพิเศษอยู่ที่เรือมีลักษณะเหมือนวังมังกร ซึ่งเป็นวังที่ปรากฏอยู่ในนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นเรื่อง “อุระชิมะทาโร่”
ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเราก็มาถึง เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ(Mikimoto Pearl Island) บริเวณด้านหน้าจะเห็นรูปปั้น
ท่านโคคิชิ มิกิโมโตะ (Kokichi Mikimoto) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มเพาะเลี้ยงหอยมุกคนแรกของโลก และก่อตั้งกิจการฟาร์ม
หอยมุกขึ้นเมื่อ 120 ปีก่อน
ส่วนด้านใน พิพิธภัณฑ์ไข่มุก (Pearl Museum) มีการจัดแสดงสาธิตขั้นตอนการผลิตและคัดเลือกขนาดของ
หอยมุกรวมถึงการทำเครื่องประดับจากหอยมุกด้วย สืบรู้มาว่าในจำนวนไข่มุกเป็นล้านเม็ด มีจำนวนเพียงแค่ 5
เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จัดว่าเป็น High Quality คือไข่มุกจะมีสีขาวอมชมพูเนียนสม่ำเสมอทั้งเม็ด ไฮไลต์เด็ดอยู่ที่การ
จัดแสดง มงกุฎมุก (Pearl Crown) เป็นเครื่องประดับสมัยโบราณตั้งแต่ปี 1978 ทำจากมุก 872 เม็ด ทองคำออีก 18 กิโลกรัม เมย์จังเลยไม่พลาดขอสวมมงกุฎมุกของจริงดูสักครั้งแน่นอนว่าต้องระวังกันยิ่งชีพเลยทีเดียวปิดท้ายด้วยการถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก เป็นอันว่าเสร็จสิ้นภารกิจตะลุยดินแดนอาทิตย์อุทัยในครั้งนี้ หากอยากรู้ว่าโอกุมิคาวะและอิเซะชิมะในแบบภาพเคลื่อนไหวระบบ HD จะ “อี้โยเนะ” ขนาดไหน ติดตามชมได้ในรายการ ว้าว! วันหยุด ช่วง อี้โยเนะ เจแปน ทางAmarin TV HD ช่อง 34 นะคะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
พิเศษเพื่อแฟนๆ Sudsapda.com แผนที่วาดด้วยมือสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆสำหรับใครที่อยากตามรอยเมย์จังและไอจังในอิเซะชิมะ