ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการท่องเที่ยวกลายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตของผู้คนในสมัยนี้ไปแล้ว เผลอๆ บางคนอาจจะวางแผนเที่ยวยาวไปยันปีหน้าแล้วด้วยซ้ำ แต่จะทำยังไงถ้าหากกลับจากทริปแล้วยังโหยหาการเที่ยวแต่เดือนหน้าก็ดันไม่มีวันหยุดเลย สุดฯ ขอแนะนำวิธีแก้กระหายความอยากเที่ยวด้วยการ เที่ยวบางรัก ใน 1 วันที่เดินทางง่ายๆ ไม่ต้องนั่งเครื่องบินไปไหนไกล!!!
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สุดฯ ได้มีโอกาสไปร่วม ทริป 1วัน กับ KTC Press Club ที่บางรักต้องบอกเลยว่าแต่ละที่ที่ทาง KTC พาเราไปนั้นเป็นสถานที่ลับสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ชาวกรุงหลายคนอาจจะยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แถมเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชุมชนย่านบางรักได้เป็นอย่างดี
ขอพรให้เดินทางปลอดภัยจะทริปไหนก็หายห่วง
มาเริ่มกันที่สถานที่แรกเลยดีกว่ากับ ศาลเจ้าเจียวเองเบียว ศาลเจ้าที่มีอายุเก่าแก่กว่า 150 ปี ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน ซึ่งที่นี่ไม่ได้มีแค่ความเก่าแก่อย่างเดียว หากพูดถึงศาลเจ้าทุกคนคงจะนึกถึงศาลเจ้าที่มีเทพเจ้าอยู่ด้านใน แต่ที่นี่มีเพียงป้ายวิญญาณ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวไหหลำนั่นเอง
ศาลเจ้าเจียวเองเบียวก่อตั้งขึ้นเพื่อบูชาเทพ 108 องค์ ซึ่งเป็นชาวจีนที่ล่องเรือสำเภาตั้งใจจะมาค้าขายที่ย่านบางรัก แต่เมื่อผ่านน่านน้ำของเวียดนาม ด้วยความเข้าใจผิดทางการได้คิดว่าทั้ง 108 คนนั้นเป็นโจรสลัดจึงได้ประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ถึง 108 คน ซึ่งวิญญาณบริสุทธิ์ทั้ง 108 ดวงได้วิงวอนขอความช่วยเหลือไปยัง ปึงเท้ากง ( หรือ บุ๋นเท้ากง ) จึงได้รับความเห็นใจและปลดปล่อยดวงวิญญาณจากท้องทะเลให้กลายเป็นเทพ
สุดฯ มีเคล็ดลับไหว้เทพเจ้าที่นี่อย่างถูกต้องมาฝากด้วย อันดับแรกหันหน้าออกเพื่อไหว้ฟ้าดิน จากนั้นเข้ามาที่ด้านในศักการะเทพ 108 องค์ที่อยู่ตรงกลาง และไปที่แผ่นป้ายด้านขวา ต่อด้วยด้านซ้ายและกลับไปที่เทวรูปด้านขวาแล้วจึงกลับมาจบที่เทวรูปด้านซ้าย ที่มาของลำดับขั้นในการไหว้นั้นมาจากคำกล่าวของชาวจีนที่ว่า “ซ้ายสำคัญกว่าขวา หน้าสำคัญกว่าหลัง” แต่ขอกระซิบบอกนิดนึง ประโยคที่ว่านี้เนี่ยนับจากทิศของเทพนะจ๊ะไม่ใช่ทิศของเรา (ดังนั้น ซ้ายของเทพจึงเป็นด้านขวาของเรานั่นเอง) ถ้าหากใครจะนำของมาสักการะสุดฯ ขอแนะนำว่าเป็นผลไม้จะดีที่สุดนะจ๊ะเพราะท่านเทพไม่โปรดเนื้อสัตว์ ซึ่งที่นี่ไม่ได้มีเพียงเทพ 108 องค์แต่ยังมี เทพไฉ่ซิงเอี๊ย เทพปึงเท้ากง เจ้าแม่กวนอิมและเจ้าแม่ทับทิมให้เราได้สักการะขอพรด้วย ซึ่งที่ศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรให้เดินทางปลอดภัยและค้าขายร่ำรวย ใครผ่านไปย่านบางรักก็อย่าลืมแวะไปสักการะกันนะ
ออกจากศาลเจ้าเจียวเองเบียวนั่งรถไปไม่กี่อึดใจก็จะพบกับ วัดสวนพลู วัดเก่าแก่ซึ่งสันนิษฐานกันว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ไฮไลท์อยู่ที่สถาปัตยกรรม “กุฏิขนมปังขิง” ซึ่งได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นในปีพ.ศ. 2545 ที่มาของชื่อกุฏิขนมปังขิงนั้นมาจากลายฉลุบนระแนงไม้ที่มีลักษณะเหมือนลายฉลุบนขนมปังขิงของชาวอังกฤษไม่ใช่ลายไทยอย่างที่เคยเห็นกัน
นอกจากความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่หลบภัยของชาวบ้านในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเสียงหวอดัง ทุกคนจะมารวมตัวกันในวิหารหลวงพ่อเรไร ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าหลวงพ่อเรไรคอยปกป้องคุมครองให้ชาวบ้านปลอดภัยจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตร
พักเที่ยงเติมพลังที่ร้านบ้านการะเกด
ได้เวลาเติมพลังกับอาหารไทยต้นตำรับจาก ร้านบ้านการะเกด โดดเด่นที่อาหารไทยคาวหวานรสชาติไทยแท้
บอกได้เลยว่าถูกปากทุกเพศทุกวัยแน่นอน!!!
สัมผัสวิถีชีวิตชาวบางกอกที่ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก
จากร้านบ้านการะเกด ข้ามถนนมาก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก ที่อดีตเคยเป็นบ้านอาจารย์วราพร สุรวดี ซึ่งท่านได้ยกให้แก่กรุงเทพมหานครก่อนจะเสียชีวิตในปีพ.ศ.2560 ภายในพิพิธภัณฑ์ทุกคนจะได้ย้อนเวลาไปสัมผัสวิถีชีวิตของครอบครัวชาวบางกอกฐานะปานกลาง ในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างนั้นถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรือนหลังที่ 1 ซึ่งสร้างด้วยไม้สักทั้งหลังตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สนนราคาเพียงแค่ 2,400 บาทเท่านั้น ซึ่งเครื่องเรือนบางชิ้นก็เป็นของที่นำมาจากต่างประเทศ บอกเลยว่ามีแต่แรร์ไอเท็มทั้งนั้น
โดยเรือนที่ 2 เป็นเรือนที่ยกมาจากทุ่งมหาเมฆ อดีตเคยเป็นสถานพยาบาลของคุณหมอ ฟรานซิส คริสเตียน สามีคนแรกของคุณแม่สอาง สุรวดี (มารดาของอาจารย์วราพร สุรวดี) ซึ่งจะรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของคุณหมอทั้งเครื่องมือแพทย์และของใช้ส่วนตัวที่ล้วนแต่อยู่ในสภาพดีถือได้ว่าเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่หาชมได้ยาก ส่วนเรือนสุดท้ายรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของอาจารย์วราพร สุรวดี ที่หลายๆ ท่านต้องประทับใจกันแน่นอน การได้เข้ามาที่พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกแห่งนี้เสมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปชมวิถีชีวิตรุ่นคุณพ่อคุณแม่ยังเด็ก ใครจะพาคุณพ่อคุณแม่มาหวนระลึกความหลังกันก็ได้นะ เพราะว่าที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรี วันอังคารถึงวันอาทิตย์ 9.00 – 16.00 น.
มุมลับสุดชิคสำหรับถ่ายรูปที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
เดินทางมาต่อกันที่สถานที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 ศุลกสถาน อาคารที่เปรียบเสมือนจุดตรวจคนเข้าเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่นอกจากจะตรวจสอบคนที่เข้ามาในแผ่นดินสยาม ยังได้มีการเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้ามาอีกด้วย โดยใช้กฏ 100 ชัก 3 นั่นเอง เดิมที่ที่ดินศุลกสถานแห่งนี้เป็นของชาวมุสลิมที่เข้ามาตั้งรกรากพร้อมตั้งมัสยิด แต่รัชกาลที่ 5 ทรงได้ขอแลกกับที่ดินด้านในเพื่อที่ให้ศุลกสถานอยู่ริมน้ำสะดวกแก่การตรวจสอบสินค้าและคน แอบกระซิบนิดนึงว่าใครจะเข้ามาถ่ายรูปขอลุงยามด้านหน้าก่อนด้วยนะ
สัมผัสวัฒนธรรมมุสลิมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
ปิดท้ายทริป 1 วันกันที่ มัสยิดฮารูณ มัสยิดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งย้ายมาจากที่ดินบริเวณริมน้ำ ที่ตั้งของศุลกสถานนั่นเอง โดยทุกคนจะได้เห็นวิถีชีวิตของพี่น้องชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่บริเวณมัสยิด ตั้งแผงขายของกันตลอดเส้นทาง ใครอยากลองชิมอาหารหรือขนมของชาวมุสลิมแบบต้นตำรับต้องมาที่นี่เลย!!
ถึงเดือนหน้าจะไม่มีวันหยุดยาวให้ได้ไปเที่ยวไกลๆ ก็ไม่ต้องเศร้าไป เพราะแค่ในกรุงเทพฯ ก็ยังมีอีกสถานที่อีกหลากหลายรอให้เราไปสัมผัสและซึมซับบรรยากาศแปลกใหม่อย่างเช่นย่านบางรักแห่งนี้ หากสุดสัปดาห์หน้าใครยังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน จะตามสุดฯ มา เที่ยวบางรัก ก็ได้นะ รับรองว่าอิ่มตาและอิ่มท้องตลอดทริปแน่นอนจ้า
Text: Seasons
Photo: KTC Press Club, Seasons
อ่านข่าวไลฟ์สไตล์ที่กินที่เที่ยว ได้ที่นี่
Club No Sugar ร้านอาหารคีโต สายสุขภาพไม่ควรพลาด!
แวะพักความล้า ดื่มกาแฟอร่อยที่ CPS Coffee คาเฟ่สุดคูลใจกลางเมือง!
กะทิบ้านอาหารและขนมไทย ร้านอาหารไทย บรรยากาศเริ่ด
Walden Home Cafe คาเฟ่เอาใจสายชิล ลิ้มรสอาหาร กาแฟกิมมิคเริดทุกเมนู!
ยอดชายาจอมทัพ เรื่องรักอลวน เมื่อสตั๊นท์สาวจับคู่กับท่านแม่ทัพรูปหล่อ
5 เหตุผลที่สาวๆ ต้องไปนั่งจิบชาเก๋ๆ Sakura Afternoon Tea ที่โรงแรมดิ โอกุระ