ใครอยากมีเงินเก็บสักก้อนต้องห้ามพลาด! เพราะวันนี้ Money Guru ณัฐ ศักดาทร มีทริคการเก็บเงินดีๆ มาฝากกัน รับรองได้ทำง่าย ทำได้จริง ไม่ยากเกินไปแน่นอน
หลายๆ คนเลือกใช้วิธีการเก็บเงินจากจำนวนเงินที่เหลือใช้ในแต่ละเดือน แต่พอถึงปลายเดือนจริงๆ ก็แทบจะไม่มีเงินเหลือให้เก็บแล้ว แถมบางเดือนอาจไม่พอด้วยซ้ำ วันนี้ Money Guru ณัฐ ศักดาทร จะมาแนะนำวิธีดีๆ ที่ช่วยบริหารและเพิ่มเงินเก็บให้เราได้อย่างเป็นระบบระเบียบ ซึ่งวิธีที่จะนำมาใช้นั่นก็คือ 50 : 30 : 20 ซึ่งก็คือการแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
50% สำหรับ Needs หรือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในแต่ละเดือน
สมมติว่าเรามีเงินเดือน 20,000 บาท 50% ของเงินเดือนเท่ากับ 10,000 บาท จำนวนเงินสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในแต่ละเดือน เช่น ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าที่พัก ฯ
30% สำหรับ Wants หรือค่าความต้องการที่เราอยากได้
30% ของเงินเดือน 20,000 บาทเท่ากับ 6,000 บาท เงินในส่วนนี้มีไว้สำหรับค่าความต้องของเราในแต่ละเดือน เช่น ค่าเสื้อผ้า ค่ากระเป๋าและรองเท้าคู่ใหม่ ค่าไปเที่ยวต่างประเทศ ค่า Netflix รวมถึงค่าอาหารในร้านหรูๆ ก็จัดอยู่ในส่วนของ Want
20% สำหรับ Saving and Investment หรือเงินเก็บและการลงทุนต่างๆ
เงินส่วนนี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรามีเงินเก็บในแต่ละเดือนได้ 20% ของ 20,000 บาทเท่ากับ 4,000 บาท ใน 1 ปีเราจะมีเงินเก็บอยู่ที่ 48,000 บาท ซึ่งสามารถนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายรับให้มากยิ่งขึ้น และถ้าใครบริหารเงินจากสองส่วนแรกดีๆ อาจจะมีเงินเก็บมากกว่า 20 % ก็ได้ซึ่งจะถือเป็นสิ่งที่ดีมาก
ทั้งนี้มนุษย์เรามีความสามารถพิเศษที่ทำให้สิ่งที่ต้องการกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นได้ ทำให้ค่าใช้จ่ายในบางส่วนไม่เพียงพอ วิธีที่จะทำให้เราสามารถแยก Needs กับ Wants ออกจากกันได้ คือถามตัวเองทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้ออะไรว่า จำ – เป็น – ไหม ถ้าจำเป็นและคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป ซื้อเลย แต่ถ้าซื้อเพราะคนอื่นมีหรือของชิ้นนั้นเป็นของที่กำลังอยู่ในกระแสมันอาจจะไม่คุ้มก็ได้นะ
วิธีจัดการ Wants ที่ไม่สิ้นสุดของเรา
- เปรียบเทียบจากวิธี Cost per use
หาก Wants ที่ต้องการมีค่า Cost per use ที่ต่ำเท่ากับว่า เมื่อเราซื้อสิ่งนั้นมาแล้วเราจะได้ใช้หลายครั้ง คุ้มค่าแก่การลงทุน แต่ถ้าซื้อมาแล้วค่า Cost per use สูงหมายความว่า เราไม่ได้ใช้บ่อย สิ่งของเหล่านั้นก็จะไม่คุ้มค่า ดังนั้นควรซื่อสัตย์ต่อตนเองและคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนตัดสินใจ
- ถ้า Wants ชนิดนั้นสามารถเพิ่มสกิล (ทักษะ) ให้กับตนเองได้ ก็ถือว่าคุ้มค่า
หาก Wants นั้นเป็นสิ่งที่เราทำแล้วเพิ่มสกิลและความสามารถในการทำงาน เช่น เราอยากเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งจะทำให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น มีโอกาสในการทำงานที่ดีขึ้น ส่งผลให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นได้ เงินส่วนอื่นๆ ทั้งหมดก็จะเพิ่มขึ้นตาม ถือว่าเป็น Wants ประเภทที่เราควรจะใส่ใจมันก่อน Wants ประเภทอื่นๆ”
สูตร 50 : 30 : 20 ถือเป็นแค่ตัวช่วยอย่างหนึ่งในการเก็บเงิน ซึ่งบางคนอาจปรับสัดส่วนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง แต่สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การบริหารจัดการเงินของเรามีประสิทธิภาพ คือความมีวินัยในการใช้จ่ายและการไตร่ตรองอย่างซื่อสัตย์ก่อนซื้อนั่นเอง
สามารถติดตาม SUDSAPDA Money Guru ณัฐ ศักดาทร ตอนอื่นๆ ได้ที่ SUDSAPDA TV