เป็นอีกคู่ที่จัดงานแต่งสุดประทับใจส่งท้ายปี 2025 สำหรับ คุณชาช่า – ชัญญา จีระพันธุ์ และคุณณ – จิรัฏฐ์ บุญสูง ที่ปลูกต้นรักกันมานานก่อนที่ทุกอย่างจะลงตัวจนฝ่ายชายทำเซอร์ไพร้ส์ขอแต่งงานและจูงมือกันเข้าสู่ประตู่วิวาห์ท่ามกลางคำอวยพรและบรรยากาศอบอุ่นเปี่ยมสุขเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

งานนี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับคู่แต่งงานใหม่ถึงเส้นทางความรักกว่า 8 ปีที่ทำให้เข้าใจถึงรูปแบบความรักในแบบฉบับของทั้งคู่ซึ่งเรียบง่ายทว่าอบอุ่นอ่อนโยน
จากเพื่อนสู่คนพิเศษ
ทั้งคู่เริ่มเล่าถึงเส้นทางความรักที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อนก่อนจะพัฒนาสู่คนรัก และยังชักนำให้สองครอบครัวได้รู้จักจนกลายเป็นเพื่อนกันไปด้วย
“พี่ณกับชาช่าเจอกันครั้งแรกที่หัวหินปี 2013 เพราะมีกลุ่มเพื่อนที่รู้จักกัน หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนกันมาตลอด แต่เขาเรียนอยู่เมืองนอกก็เลยเจอกันปีละสามเดือน แต่ทุกครั้งที่เขากลับมาชาช่าก็จะไปหาเพื่อนกลุ่มนี้ แต่มีจุดที่ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป คือคืนนึงเราไปดื่มกันที่คอนโดของพี่ณ มีเพื่อนสองคนทะเลาะกัน แล้วพี่ณก็ควบคุณสถานการณ์ได้ดีมาก ทำให้ชาช่ารู้สึกว่าอยากรู้จักผู้ชายคนนี้มากขึ้น ก็เลยชวนเขาไปทานข้าว ชวนไปทำกิจกรรมกันสองคน”
“คือสมัยก่อนรู้จักกันก็จริงแต่ผมจะชอบเล่นเกมเล่นกีฬากับพวกเด็กผู้ชาย ไม่ค่อยไปยุ่งอะไรกับกลุ่มเด็กผู้หญิง เอาจริงๆ รู้ว่าเป็นใครแต่ยังไม่ได้รู้จักขนาดนั้น แต่พอได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ได้รู้ว่าเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก ไปหาคุณตาคุณยายตลอด ได้รู้จักว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ก็ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปครับ”
“เราคุยกันไม่นานก็ตกลงคบกันเพราะรู้จักกันมา 4 ปีแล้ว พอเป็นแฟนกันชาช่าก็พาเขาไปหาคุณตาคุณยาย คือชาช่าโตมากับคุณตาคุณยาย พอเป็นแฟนกันก็อยากให้ได้พวกท่านเจอเขา โชคดีที่คุณตาได้เจอพี่ณก่อนจะเสีย พอเราพาเขาไปเจอก็พบว่าความจริงเราอยู่ใกล้กันมากแค่ไม่เคยรู้จักกัน อย่างคืนหนึ่งคุณยายก็เดินมาถามว่า ‘ณรู้จักคุณยายแต๋วไหม’ พี่ณก็ตอบว่า อ๋อ เป็นยายผมเองครับ ซึ่งพี่สาวของคุณยายแต๋วที่เป็นยายพี่ณเป็นเพื่อนรักคุณยายตั้งแต่เด็กแล้วโตมาด้วยกัน”
“คุณตาของชาช่าก็บอกว่าท่านเคยไปบ้านผมที่ใต้ เคยเจอคุณทวดผม”

“หรือบ้านพี่ณไปหาคุณตาจักรพันธุ์ที่เป็นญาติผู้ใหญ่ฝั่งคุณตาของชาช่าทุกอาทิตย์ (อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์) เพราะน้าแอ๋ (คุณฤาชุตา บุญสูง คุณแม่ของคุณณ) สนิทมาก แต่คุณพ่อคุณแม่เรากลับไม่รู้จักกัน เราไม่เคยเห็นกันด้วยซ้ำค่ะ มาเจอกันคือตอนโตแล้วที่เป็นเพื่อนกัน แล้วก็มารู้ว่าทำธุรกิจคล้ายกันตอนหลัง คุณแม่ชาช่าก็มารู้จักบ้านพี่ณตอนที่เราเป็นแฟนกันแล้ว”
“ตอนเด็กๆ ผมไม่รู้ว่าที่บ้านทำธุรกิจเหมือนบ้านเขาด้วยครับ คือที่บ้านมีหลายธุรกิจ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเราทำเกี่ยวกับโคคาโคล่าด้วย จนโตมาถึงรู้ แล้วก็แบบ อ้าว…บ้านชาช่าเขาก็ทำเหมือนกัน ก็เลยรู้ว่ามันมี 2 บริษัทนะ บ้านเราทำบริษัทหนึ่ง บ้านเขาทำอีกบริษัทหนึ่ง (บ้านคุณณทำบริษัทไทยน้ำทิพย์ ผู้ผลิตและจำหน่ายโค้กใน 62 จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนบ้านคุณชาช่าทำบริษัทหาดทิพย์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโค้กใน 14 จังหวัดภาคใต้) พอรู้จักกันแล้วโชคดีมากที่ครอบครัวเราเข้ากันได้ดี สามารถไปเที่ยวด้วยกันได้ พ่อแม่พวกเราเจอกันบ่อยครับ”
“เหมือนพ่อแม่เราก็มีเพื่อนที่เป็น Mutual Friend กันเยอะมากแค่ไม่เคยเจอกัน พอได้รู้จักเลยกลายมาเป็นเพื่อนกันด้วย เรื่องเลยง่ายค่ะ ไม่ได้มีความเกร็งแบบ…คุณแม่ช่วยไปเจอฝั่งพี่ณหน่อย ไม่มีอารมณ์นั้นเลย”
“ใช่ครับ เหมือนบางทีผมนั่งทานข้าวอยู่บ้านชาช่าแล้วคุยกับแม่ว่า เนี่ย ผมอยู่บ้านชาช่า คุณแม่ก็จะแบบแวะเข้ามาบ้านชาช่าเลย ง่ายๆ สบายๆ คิดว่าเราโชคดีมากครับ”

8 ปีที่เรียนรู้กัน
ด้วยระยะเวลาที่คบหากันค่อนข้างยาวนาน ครอบคลุมตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยไปจนถึงการสร้างธุรกิจ ทำให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้กันผ่านช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ
ความรักระยะไกล
“ความยากอย่างหนึ่งของคู่เราคือระยะทาง เพราะช่วงเริ่มคบกันผมเรียนอยู่อเมริกา แต่เราจะคุยกันเยอะครับ วิดีโอคอลกันครั้งละนานๆ บางทีเจ็ดแปดชั่วโมงก็มี”
“ต้องใจเย็นมากๆ ค่ะ เพราะบางทีเราพิมพ์ไปเขาหลับอยู่ ทะเลาะกันค้างอยู่ก็ต้องรอเขาตื่นก่อนถึงจะมาคุยกันอีกที ถือว่าโชคดีนะคะที่เราเฟซไทม์หรือไลน์หากันได้ ถ้าเป็นยุคจดหมายเรื่องน่าจะยากกว่านี้ เพราะเขาคงไม่เขียน” (หัวเราะ)
“ช่วงที่คุยกับชาช่าอยู่มีเทอมหนึ่งผมต้องไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อังกฤษ ผมไม่เคยไปอังกฤษเลยก็เลยต้องปรับตัวใหม่ทั้งการใช้ชีวิต ทั้งไทม์โซน ตอนแรกก็เลยเป็นชาเลนจ์นิดหน่อย แต่หลังจากนั้นก็โอเคขึ้นครับ เทคนิคคือคุยกันทุกวัน”
การแบ่งเวลาให้กัน
“พอเข้าสู่ช่วงทำงานก็ต้องแบ่งเวลาครับ เพราะที่บ้านมีธุรกิจเยอะ หลายบริษัท ฉะนั้นตารางของผมจะแรนดอม ไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวันเป็นรูทีน แล้วยังมีบริษัทลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ผมสร้างขึ้นมาเอง ต้องดีลงานกับเมืองนอก บางทีก็มีคุยงานกลางคืนด้วย”
“ชาช่าไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวัน จะเป็นฝ่ายที่ปรับเวลาให้แมตช์กับเขา คุยกับเขาว่าวันไหนไปกินข้าวที่บ้านเขาได้ก็จะไป เรื่องเวลาน้อยไม่ค่อยเป็นปัญหากับชาช่าค่ะ เพราะโตมากับคุณตา ก็เลยเข้าใจว่าการทำธุรกิจมันต้องใช้เวลา”

สิ่งที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน
“ของผมอาจจะมีเครียดค้าง ก็พยายามคุยกันว่าอย่าเอากลับมาที่บ้าน ข้อดีอย่างหนึ่งของเขาคือถ้ามี Conflict อะไรในความสัมพันธ์ เขา Identify มันได้เร็ว แล้วจะมาคุยกับผมเลย ถ้าทะเลาะกัน-เห็นไม่ตรงกันก็ถกเถียงกันจนจบแล้วหาข้อสรุป ไม่มีการทะเลาะข้ามวัน ซึ่งจริงๆ ดีมากเพราะว่าผมเป็นคนที่ไม่ค่อยง้อคน แล้วบางทีผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีปัญหา”
“ชาช่าไม่มีอีโก้ ไม่งอน หรือรอให้มาง้อ คือเขาเป็นแบบผู้ช้ายผู้ชาย บางทีเขาไม่เก็ต ชาช่าก็ต้องไปบอกเขาตรงๆ ว่าไม่ค่อยโอเคกับตรงนี้นะคะ เพราะพี่ณพร้อมที่จะแก้ปัญหากับชาช่าตลอด ไม่มีการโทษชาช่าฝ่ายเดียว เขาจะเป็นแนว…โอเค งั้นเดี๋ยวปรับตรงนี้แบบนี้ดีไหม ชาช่าคิดว่าทุกคู่แหละที่ทะเลาะกัน แต่ขึ้นกับว่าทั้งคู่อยากจะหาทางออกไหม ถ้าเกิดยังพยายามอยู่ทั้งคู่ ยังไงมันต้องไปรอด”
“ผมว่ามันต้องมีคนหนึ่งที่เป็นเหมือนชาช่าที่หาปัญหาให้เจอแล้วพูดออกมา จะได้จบ ไม่ใช่มางอนกันเป็นวันเป็นอาทิตย์ น่าจะไม่เวิร์ค ผมว่าแบบนั้นน่าจะไปกันยาก”

ความต่างที่ลงตัว
“ผมว่าเราเหมือนกันตรงที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก (ใช่ค่ะ – คุณชาช่าเสริม) รักความสะอาดมากเหมือนกัน ชอบกินเหมือนกัน แต่ตอนแรกเขาไม่ใช่สายกินขนาดผม แบบต้องไปลองร้านโน้นประเทศนี้ ผมเป็นคนพาเขาเข้ามาสายนี้”
“แต่ในส่วนของนิสัยจะไม่เหมือนกันค่ะ อย่างพี่ณคือเป็นคนนิ่งๆ ช่าก็จะพูดเยอะ แต่รู้สึกว่ามันก็เป็น A Good Match นะคะ”
“ผมว่าบางทีชีวิตผมก็เครียดไป พอมีชาช่าก็ทำให้ผมไม่เครียดเท่าเดิม”
“สำหรับชาช่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องบังคับตัวเองให้ทำ อย่างที่บอกไปว่าคุณตาก็ทำงานตลอดและเข้าโรงพยาบาลบ่อย ช่าก็จะไปอยู่กับคุณตา ไปทำให้เขาหัวเราะ ทำให้เขายิ้ม เป็นรูทีนของชาช่าทุกอาทิตย์ค่ะ ก็เลยมาทำให้พี่ณแทน มันเลยไม่รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเอง มันคือเหมือนเป็นตัวชาช่าที่พยายามทำให้คนรอบข้างหัวเราะ มีความสุข ด้วยการเป็นตัวเอง เลยไม่ได้รู้สึกว่าต้องปรับอะไรขนาดนั้น เหมือนเป็นตัวเองเรื่อยๆ” (จริงครับ ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องปรับอะไรเลย – คุณณเสริม)
จากคู่รักสู่คู่แต่งงาน
เมื่อทุกอย่างลงตัวก็ถึงเวลาก้าวสู่อีกสเต็ปของความรัก นั่นคือการใช้ชีวิตคู่ ซึ่งคุณณก็ได้ทำเซอร์ไพร้ส์ขอคุณชาช่าแต่งงานในโรงหนังส่วนตัวท่ามกลางครอบครัวแสนอบอุ่น
“ผมรู้สึกว่าอายุใกล้สามสิบแล้ว รู้สึกพร้อม ที่สำคัญปีนั้นธุรกิจของตัวเองค่อนข้างดีก็เลยถือว่าการเงินก็พร้อม ก็เลยตัดสินใจขอแต่งงานครับ”
“ความจริงเราไม่ค่อยคุยเรื่องแต่งงานกันนะคะ คือเรามองอนาคตร่วมกันไว้อยู่แล้ว แต่เรื่องแบบเมื่อไหร่จะขอนี่ไม่มีเลย คือชาช่าคิดอยู่แล้วว่ายังไงก็อยู่กับคนนี้ เขาจะขอแต่งเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ตอนเขาขอก็ดีใจที่จะได้เริ่มสเต็ปต่อไป เพราะว่าก่อนแต่งทางบ้านชาช่า Conservative มากๆ คือห้ามนอนค้างบ้านพี่ณเลย ต้องกลับบ้านทุกวัน ไปเที่ยวก็ต้องแยกห้อง พอแต่งงานจะได้เริ่มเข้ามาอยู่กับเขา เป็นอีกสเต็ปหนึ่งที่สำหรับชาช่าคือมีความสุขมากค่ะ” (ยิ้ม)
Transition Phase ที่ราบรื่น
“เคยได้ยินคนพูดกันว่าช่วงเตรียมงานแต่งจะทะเลาะกันเยอะ แต่ของเราไม่มีเลย เพราะว่าเขาปล่อยให้ชาช่าครีเอทีฟได้หมด (หัวเราะ) ทุกอย่างเลยง่ายมาก แต่ก็จะเคารพการตัดสินใจของเขานะคะ อะไรที่ต้องตัดสินใจร่วมกันก็จะไปถามเขา”
“สำหรับผมงานแต่งงานเป็น Transitionary Phase มากกว่า คือเป็นจุดที่เราผ่านไปเพื่อจะเป็นทีมเดียวกัน ถ้ามัวมาขัดแย้งกันทุกอย่างงานจะเดินช้า ผมเลยปล่อยชาช่าจัดการเรื่องธีม สี ดอกไม้ต่างๆ ไปเลย มีแค่เรื่องอาหารที่ผมจะซีเรียสหน่อย เพราะผมเป็นสายกิน เวลาไปเที่ยวคือไปกินเป็นหลัก จัดตารางไปลองร้านอร่อยแน่นๆ ชมวิวเป็นเรื่องรอง พอเป็นงานแต่งก็เลยเลือกร้านที่เราทั้งคู่ชอบจริงๆ มา เช่น ร้านสีฟ้า คั่วกลิ้งผักสด เทพผัดไทย 984Wolf หรือ Madbeef”
“ความที่ชาช่าก็ไม่ได้มีภาพในใจว่าต้องแบบนี้แบบนั้น การเตรียมงานเลยเป็นไปแบบสบายๆ อย่างเช่นเรื่องดอกไม้แค่บอกโทนสีกับเวดดิ้งออร์แกไนเซอร์ไปแล้วให้เขาจัดการ ชาช่าขอแค่มีดอกไลเซนทัสเยอะๆ เพราะเป็นดอกไม้โปรดของคุณตา ท่านเสียไปก่อนจะได้เห็นชาช่าแต่งงานก็เลยอยากรู้สึกว่าท่านอยู่ด้วยและท่านจะได้คิดว่างานเราสวย พอถึงวันงานก็มีดอกไลเซนทัสเต็มงานเลย (ยิ้ม) เป็นงานที่อบอุ่นและมีความสุขค่ะ เพราะแขกทุกคนเป็นคนที่รักและสนิทมาก”

Life as a Newlywed
“หลังแต่งงานได้มาใช้ชีวิตกันจริงๆ เราก็มีปรับตัวเรื่องความเป็นอยู่ครับ เพราะว่ารูทีนเยอะและมีความเฉพาะตัวทั้งสองคน ก็ต้องเอามาเบลนด์กัน ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้น อย่างเตียงนอนก็ต้องซื้อใหม่เป็นไซส์ใหญ่เลย เพราะชาช่าเขาจะมีวิธีการนอนของเขาที่ต้องใช้พื้นที่เยอะ วางหมอนเยอะจนผมเบียด แล้วก็ต้องการที่เก็บของเยอะๆ ก็ซื้อเฟอร์นิเจอร์มาเติม”
“พี่ณเคลียร์พื้นที่ตู้ให้เยอะเลยค่ะ แล้วก็ผ้าห่มก็ต้องแยก เพราะชาช่าชอบผ้าห่มหนัก พี่ณชอบผ้าห่มเบา แล้วก็มีเรื่องอุณหภูมิที่ปรับเข้าหากัน เพราะพี่ณนอนเย็นมาก 16 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิต่ำสุดที่แอร์ทำงานได้ เขาก็ปรับขึ้นมาหน่อยให้ชาช่าโอเคด้วย เวลาเขาเข้านอนทีหลังและตื่นก่อนก็จะย่อง ชาช่าชอบลุกไปเข้าห้องน้ำกลางคืนก็ต้องย่อง คือเรามีความเกรงใจให้กันค่ะ”
“จริงๆ ตอนแรกผมคิดว่าว่าพอแต่งงานแล้วเราน่าจะต้องการพื้นที่ส่วนตัวอยู่บ้าง แต่สรุปมันไม่เป็นแบบนั้น ทั้งที่ผมเป็นคนมีความเป็นส่วนตัวสูง เป็นคน Introvert ที่เวลาอยู่กับคนนานๆ จะรู้สึก Drain Energy แต่กับชาช่าไม่เป็น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราต้องมานั่งคุยนั่งเอนเตอร์เทนกันตลอดนะ บางทีผมก็นั่งทำงานของผม เขาก็นั่งทำงานองเขา เราก็อยู่กันได้”
“เราแทบไม่มีพื้นที่ส่วนตัวค่ะ ชาช่าจะไปรังควานเขาตลอด (หัวเราะ) เพราะเราขี้เหงาไง ก็จะแบบ…พี่ณทำอะไรอยู่ ส่วนมากเขาก็จะทำงานอยู่ ช่าก็จะเปิดทีวีข้างๆ ชาช่าเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าพอมาอยู่ด้วยกันจริงๆ มันจะยากนะ แต่จากที่มาอยู่กัน ตอนนี้ก็สองอาทิตย์ ช่ารู้สึกว่ามีความสุขมากๆ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันยากค่ะ”
สิ่งดีๆ ที่ได้เรียนรู้จากกันและกัน
ทั้งคู่ผ่านการศึกษาดูใจและเรียนรู้ซึ่งกันและกันจนมาถึงวันนี้ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งต่างก็มีความประทับใจในสิ่งดีๆ ของอีกฝ่าย
“สิ่งดีๆ ที่ได้จากพี่ณคือ พอคบกับพี่ณแล้วชาช่าโตขึ้นในทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การดูแลตัวเอง เมื่อก่อนชาช่าก็เป็นลูกคนเล็กก็จะแบบ อะไรๆ ก็แม่ พ่อ พี่เลี้ยง แต่มาอยู่กับเขา ชาช่าเห็นเขาดูแลตัวเองเป็น ทำงานเอง ทำให้ชาช่าอยากขยันและมีวินัยเหมือนเขาบ้าง ทั้งที่เขาไม่เคยขอให้ช่าทำหรือเปลี่ยนอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เราเห็นเขาแล้วยากพัฒนาตัวเองค่ะ”
“เขาทำให้ผมรู้จัก Enjoy the Moment มีช่วงหนึ่งที่พี่บริษัทของผมเองบรรลุเป้าหมายแล้วแต่ผมก็มองเป้าหมายต่อไปทันที ซึ่งชาช่าก็คอยเตือนผมว่าอย่าลืม Celebrate ที่มาถึงจุดนี้นะ มีความสุขกับตรงนี้สักนิดที่ทำได้ขนาดนี้แล้วค่อยไปต่อ”
“…สำหรับผมชาช่าทำให้ผมเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับชีวิตครับ”