หลายคนอาจเคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก หรือตื่นตระหนกแบบไม่มีสาเหตุชัดเจน ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอาการของโรคแพนิค หนึ่งในความผิดปกติทางจิตเวชที่พบได้บ่อยในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในคนวัยทำงานที่ต้องเผชิญความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว
คนที่เคยเกิดอาการแพนิคทั้งแบบรุนแรงและไม่รุนแรง อาจสงสัยว่าโรคแพนิค คืออะไร โรคแพนิคอันตรายไหม อาการแบบไหนเข้าข่ายโรคแพนิคบ้าง และที่สำคัญที่สุดคือ โรคแพนิครักษาหายไหม? บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคแพนิคให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดสามารถรับมือกับโรคแพนิคได้อย่างเหมาะสม
โรคแพนิค (Panic Disorder) คืออะไร?
โรคแพนิค (Panic Disorder) หรือโรคตื่นตระหนก คือ ภาวะทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของโรควิตกกังวล (Anxiety Disorders) โดยผู้ป่วยจะมีอาการแพนิค หรือเรียกว่า Panic Attack ที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน ทำให้กลัวถึงขีดสุดภายใน 3-10 นาที โดยไม่มีสิ่งกระตุ้นที่ชัดเจน แล้วอาการจะค่อย ๆ ลดลงใน 20-30 นาที
อาการของโรคแพนิคมักมาแบบไม่คาดคิด มีหลายอาการร่วมกัน เช่น รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย หายใจไม่ออก หัวใจเต้นเร็ว มีเหงื่อออกมาก บางคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นโรคหัวใจและรีบไปโรงพยาบาล ทั้งที่จริงแล้วร่างกายไม่ได้มีความผิดปกติใด ๆ ทางกายภาพ
แม้ว่าโรคแพนิคจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตโดยตรง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาการอาจจะกำเริบขึ้นเรื่อย ๆ และอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยได้มากกว่าที่คิด
เช็กลิสต์โรคแพนิค มีอาการอย่างไรบ้าง

อาการโรคแพนิคสามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายแบบ และแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไป แพนิคมีอาการที่พบบ่อย ดังนี้
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก
- เหงื่อออกมากผิดปกติ ร้อนวูบวาบ หรือหนาวสั่น
- ตัวสั่น หรือรู้สึกกระตุก ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้
- หายใจไม่อิ่ม หายใจตื้น หรือหายใจถี่ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจ
- ตัวชาหรือรู้สึกซ่า (Paresthesia) ตามมือและเท้า
- รู้สึกวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือคล้ายเป็นลม
- คลื่นไส้ หรือปั่นป่วนในท้อง
- รู้สึกเหมือนสิ่งรอบตัวไม่จริง เหมือนอยู่ในความฝัน (Derealization) หรือ รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในร่างตัวเอง ควบคุมตัวเองไม่ได้ (Depersonalization)
- โรคแพนิคยังทำให้รู้สึกกลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวเสียสติ กลัวควบคุมตัวเองไม่ได้ และกลัวว่าจะตาย ผู้ป่วยจะรู้สึกสิ้นหวัง อยู่คนเดียวไม่ได้
สาเหตุของโรคแพนิค เกิดจากอะไร
โรคแพนิค ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียวที่ชัดเจน แต่อาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ดังนี้
- พันธุกรรม : ผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นโรคแพนิค จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคสูงกว่าคนทั่วไปประมาณ 4-8 เท่า
- การทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง : ความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทบางชนิด เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) นอร์อีพิเนฟริน (Norepinephrine) และ GABA อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค
- โครงสร้างสมอง : ความผิดปกติของสมองส่วนที่ควบคุมความกลัวอย่างอะมิกดาลา (Amygdala)
- ความเครียดและเหตุการณ์สะเทือนใจ : เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ปัญหาทางการเงิน หรือการทำงานหนักเกินไป สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคแพนิคได้
- การใช้สารเสพติด หรือยาบางชนิด : สารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน ยาเสพติด หรือการถอนยาบางชนิด อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคได้
วินิจฉัยโรคแพนิค ต้องทำอย่างไรบ้าง

การวินิจฉัยโรคแพนิค ต้องอาศัยการประเมินจากจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต โดยกระบวนการวินิจฉัยประกอบด้วย
- การซักประวัติอย่างละเอียด เกี่ยวกับอาการแพนิคที่เกิดขึ้น
- การตรวจร่างกาย เพื่อแยกแยะสาเหตุที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายคลึงกับโรคแพนิค เช่น โรคหัวใจ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ การใช้ยาหรือสารเสพติดบางชนิด
- การประเมินทางจิตเวช จะใช้เกณฑ์การวินิจฉัยจากคู่มือวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM-5) โดยผู้ป่วยจะต้องมีอาการแพนิคเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ฉับพลัน กลัวสุดขีดในไม่กี่นาที และมีอาการของโรคแพนิคมากกว่า 4 ข้อ รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับการเกิดแพนิคครั้งต่อไป หรือมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
โรคแพนิค รักษาหายไหม ควรดูแลอย่างไร?
โรคแพนิคสามารถรักษาให้หายขาดได้ถึง 1 ใน 3 ของผู้ป่วย โดยจะใช้เวลารักษาประมาณ 8-12 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยวิธีรักษาโรคแพนิคหลัก ๆ มีดังนี้
- การบำบัดทางจิตใจ : โดยเฉพาะการบำบัดด้วยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (CBT) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะจัดการกับความคิด เผชิญหน้าความกลัว และสอนวิธีรับมือเมื่ออาการกำเริบ
- การใช้ยา : ยารักษาแพนิคที่นิยมใช้คือยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs เพื่อปรับสมดุลสารสื่อประสาทในสมอง และในบางกรณีอาจใช้ยากลุ่ม Benzodiazepines สำหรับแก้อาการแพนิคเฉียบพลัน
- การดูแลตัวเอง (Self-Care): เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมการรักษา โดยการรักษาแพนิคด้วยตัวเอง ควรเน้นการออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และสารเสพติด รวมถึงฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ และการทำสมาธิ ควบคู่กับการปรึกษาจิตแพทย์
โรคแพนิค รักษาให้หายขาดและป้องกันได้ ถ้ารู้จักการดูแลสุขภาพใจที่ถูกต้อง
โรคแพนิค คือ อาการของโรควิตกกังวลชนิดหนึ่ง มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้ป่วยใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จะเป็นลม กลัวเสียสติหรือกลัวตาย จนอาจกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หากมีอาการเหล่านี้ควรเข้ารับการวินิจฉัยแต่เนิ่น ๆ เพราะการรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ
เพื่อป้องกันโรคแพนิค ควรหมั่นดูแลสุขภาพจิต ลดความเครียด และฝึกการผ่อนคลายอย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการบ่อย ๆ สามารถปรึกษาแพทย์หรือขอรับคำแนะนำผ่านช่องทางออนไลน์กับแอป BeDee ซึ่งมีจิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก และนักจิตบำบัดพร้อมให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ช่วยให้เข้าใจตนเองมากขึ้น และสามารถดูแลสุขภาพใจสุขภาพกายให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง