สุดสัปดาห์มีนักร้องหน้าใหม่ในวงการเพลงไทยมาแนะนำอีกแล้วค่า ครั้งนี้เป็นศิลปินเดี่ยวที่อิมพอร์ตมาจากอเมริกาเลยเด้อ นั่นก็คือ Jom Jager หรือ จอม-ธนกฤต กองแก้ว ชายหนุ่มจากเมืองแอนาไฮม์ในรัฐแคลิฟอร์เนียที่เติบโตมาในเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของนักดนตรีมากมาย
จอมได้ย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอเมริกาเป็นเวลามากกว่า 15 ปี โดยได้เริ่มเล่นดนตรีครั้งแรกตอนเรียนไฮสกูล ทำให้จอมมีโอกาสได้เล่นดนตรีอาชีพกับนักดนตรีผิวสีในอเมริกา ซึ่งทำให้ผ่านประสบการณ์ในสายดนตรีมากมาย จนกระทั่งจอมตัดสินใจกลับมาประเทศไทยเพื่อเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักร้องกับค่าย REDCLAY ด้วยความสามารถทางด้านดนตรีและการร้องเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เขาเป็นนักร้องหน้าใหม่ที่น่าจับตามองสุดๆ งานนี้สุดสัปดาห์เลยขอไปพูดคุยถึงชีวิตที่อเมริกาและการตัดสินใจกลับมาประเทศไทยเพื่อเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในการเป็นนักร้องของเขากันค่ะ
พูดคุยกับ Jom Jager หมดเปลือก ชีวิต 15 ปีที่อเมริกา ผ่านประสบการณ์ทางดนตรีอะไรมาบ้าง
แนะนำตัวเองให้ผู้อ่านสุดสัปดาห์รู้จักหน่อยค่ะ
สวัสดีครับ ผมชื่อจอมนะครับ ก่อนหน้านี้เป็นนักดนตรีอยู่ที่อเมริกาไปอยู่มาได้ 15 ปีครับ เพิ่งจะกลับมาไทยได้สัก 2 ปี ตั้งใจกลับมาทำเพลงครับ เพิ่งออกซิงเกิลแรกไปเลยครับ
อยากรู้ว่าถ้าพูดถึงตัวตนความเป็นจอม จะเป็นแบบไหนคะ
ส่วนใหญ่ก็จะจำๆ มาจากที่คนอื่นพูด ถ้าส่วนตัวเราก็รู้สึกว่าตัวเองมีความนิ่งๆ ไปหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วเป็นคนเกรียนๆ นี่แหละครับ คุยได้ ตลกๆ สนุกๆ ได้
เคยใช้ชีวิตที่อเมริกา 15 ปีเลย ไปอยู่อเมริกาตั้งแต่อายุเท่าไหร่ และชีวิตที่นั่นเป็นยังไงบ้าง
ผมไปอยู่อเมริกาตอนช่วงม.ปลายครับแล้วหลังจากนั้นก็อยู่ยาวเลยครับ การไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาก็ค่อนข้างแตกต่างกับการอยู่ที่ประเทศไทย เช่น เรื่องไลฟ์สไตล์ แต่ว่าตอนแรกไปก็คือเพื่อไปเรียน แล้วสักพักหนึ่งเพื่อนๆ ก็ชวนไปเล่นดนตรีที่วง ซึ่งตอนที่อยู่ที่ไทยก็เคยมีจับกีตาร์บ้าง เครื่องดนตรีที่ผมเล่นหลักๆ เป็นกีตาร์ครับ แต่เพิ่งมาจริงจังตอนที่เพื่อนชวนไปเล่น เลยมีโอกาสได้เล่นเยอะขึ้น จนอยู่ดีๆ ก็ทำวงกับเพื่อนแล้วก็ไปรับงานจนได้มาเล่นดนตรีเป็นอาชีพแบบจริงจังเลยครับ และก็เลยเรียนสายดนตรีด้วย
ได้รับอิทธิพลจากตรงไหนที่ทำให้เริ่มเล่นดนตรี
จุดเริ่มต้นน่าจะมาจากที่บ้านครับ มีน้าๆ เขาชอบเล่นดนตรีกันอยู่แล้ว จะมีกีตาร์วางอยู่ในบ้านครับ เราก็คงอาจจะเคยหยิบจับมาเล่น แล้วเขาก็เลยสอนเราเล่นเป็นคอร์ต 3 คอร์ตครับ ก็เล่นได้แค่นั้น มาจนถึงจุดที่ไปอยู่อเมริกาแล้วมีเพื่อนชวนไปเล่นดนตรีครับ ก็เลยฝึกจริงจังมากขึ้นเพื่อไปเล่นกับเพื่อนนี่แหละครับ ไม่ได้คิดอะไรเยอะครับ
ได้ข่าวว่าตอนอยู่อเมริกาได้เล่นดนตรีอาชีพกับนักดนตรีผิวสีด้วย เล่าประสบการณ์การเป็นนักดนตรีที่นั่นให้ฟังหน่อยค่ะ
ผมก็จะมีไปเล่นที่โบสถ์ครับ ก็จะไปเล่นทุกวีคเลย จะไปทุกวันอาทิตย์ เราจะมีโบสถ์ที่ไปเล่นประจำอยู่แล้วแต่ช่วงแรกๆ ก่อนที่จะไปเล่นที่โบสถ์ ตอนที่เริ่มเล่นกับคนผิวสีครั้งแรกคือเราไปเล่นเหมือนเป็นงานแทนเขาครับ ติดต่อมาผ่านพี่ต๊ะที่อยู่วง The Parkinson เขาให้เราไปแทนงานหนึ่ง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มาก เพราะว่าเพลงเป็นแนวที่เราไม่เคยเล่นมาก่อน ก็เหมือนเปิดโลกเลยครับ ตั้งแต่ครั้งนั้นมาก็เริ่มเล่นไปเรื่อยๆ จนมาเจอวงหนึ่งที่เขาให้เราไปเล่นงานด่วนแบบนาทีสุดท้ายเลย เขาหากีตาร์วันนั้น แล้วผมก็ไปเล่น ซึ่งเหมือนเคมีมันตรงกัน เขาชอบที่ผมเล่นครับ เขาก็เลยถามผมว่าอยากมาร่วมวงไหม โดยจอมเล่นอยู่กับวงนั้นประมาณ 2 ปีได้ครับ ก็รับงานกันไปเรื่อยๆ อีเวนต์ต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอีเวนต์แบบงานฮิปฮ็อปด้วยซ้ำ
แล้วเคยเจอประสบการณ์อะไรพีคๆ ตอนที่ไปเล่นดนตรีตามงานไหมคะ ปกติคนอเมริกันเวลาฟังดนตรีจะเป็นสไตล์ไหน อย่างคนไทยก็จะชอบร้องเพลงตาม
คนที่อเมริกาก็จะเป็นสไตล์ที่แสดงออกเยอะเลยครับ คือถ้าเล่นอะไรจะมีความโยกความเฮร้องตามอะไรอย่างนี้อยู่แล้วครับ เหมือนเป็นวัฒนธรรมของเขาอยู่แล้วที่เขาจะค่อนข้างแสดงออกเรื่องดนตรีมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่รู้สึกว่าเซอร์ไพรส์ที่สุดคือตอนเล่นกับวงนี้นี่แหละครับ ที่เซอร์ไพรส์ก็คือเราต้องเล่นแนวฮิปฮ็อปครับ เพราะเราไม่เคยเล่นมาก่อน แต่ก่อนเราจะคิดว่าฮิปฮ็อปคือการเล่นกับแทร็ก เล่นกับดีเจอะไรอย่างนี้ครับ แต่อันนี้เป็นไลฟ์ฮิปฮ็อป ซึ่งก็มีสมาชิกในวงที่เขาเล่นคีย์บอร์ดกับดีเจด้วย คือจะเปิดแทร็กแล้วมือกลอง มือเบส มือกีตาร์เล่นสดครับ แล้วซาวนด์จะมีความหนา มีความร็อก มีเอนเนอร์จี้สูงมากเลยครับ มันต่างจากที่เราฟังออริจินัล การเล่นไลฟ์เอนเนอร์จี้จะสูงมากครับ ซึ่งก็จะมีมุมที่ต่างกับที่เล่นในโบสถ์ แต่ก็รู้สึกว่ามันมีความเชื่อมกัน เพราะนักดนตรีในวงที่เล่นด้วยกัน เขาก็เล่นในโบสถ์กันหมดเลย
พอต้องมาเล่นแนวที่แตกต่างไปจากเดิม มีต้องไปหาข้อมูลอะไรเพิ่มไหมคะ
ใช่ครับ ก็ต้องมีไปฟังฮิปฮ็อปเพิ่ม ไปหาฟังใน YouTube และก็มีไปถามรุ่นพี่ที่เคยเล่นแนวฮิปฮ็อปครับ ในพาร์ตของเราที่เล่นกีตาร์ ก็ต้องไปหาซาวนด์ที่เข้ากับแนวมากขึ้นครับ ซาวนด์ที่เราต้องเล่นเหมือนจะมีความร็อกมากๆ เลย จะไปในเชิงร็อกเมทัลเลยครับ ซึ่งปกติเราจะเล่นอยู่ในเวย์ที่ไม่ได้ขนาดนั้น เราจะเล่นอยู่ในป็อป อาร์แอนด์บี โซล อะไรแบบนี้ครับ ไม่ได้เล่นซาวนด์ที่หนักขนาดนั้น แต่พอไปฟังฮิปฮ็อปแล้วเราต้องฝึกและฟังเรื่อยๆ ครับ
แล้วพอเราเห็นภาพที่คนสนุกตามไปกับดนตรีของเรา ทำให้รู้สึกยังไงบ้าง มีจุดประกายให้อยากไปสายนักร้องบ้างไหมคะ
ถ้าตอนนั้นยังครับ ยังไม่ถึงตอนที่คิดไปถึงเป็นนักร้องครับ ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าไวบ์ตอนนั้นดีมาก ตอนที่เราเล่นกีตาร์แล้วคนเอนจอย เหมือนวงพาเราไปจุดที่เราไม่เคยไปมาก่อน เวลาเขาปล่อยให้เราโซโล่ไปเลย ทำให้หลุดไปในโลกของเรา หลังจากที่แยกกับวงแล้ว ประสบการณ์แบบนั้นเราก็ไม่เคยได้สัมผัสอีกเลย ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษ
แล้วจุดไหนคะที่ทำให้เริ่มอยากเป็นนักร้อง หลังจากเป็นนักดนตรีอาชีพผ่านประสบการณ์มาเยอะมากๆ เลย
หลังจากพาร์ตนั้น ก็จะมาเป็นอีกพาร์ตหนึ่งแล้วที่เราเริ่มเล่นดนตรีแบบฟูลไทม์จริงๆ 7 วันก็คือเล่นดนตรีทุกวันเลยครับ เริ่มมีไปเล่นดนตรีตามร้านที่เป็นไทยมากขึ้นแบบวีคละสี่วันห้าวัน ซึ่งในแต่ละวันเราจะไม่ได้เล่นกับแบนด์เยอะ มันจะมีงานอะคูสติก ก็เลยมีโอกาสได้ร้องเพลงมากขึ้น เพราะว่าเราเล่นคู่กับนักร้อง บางทีก็จะมีสลับร้อง เราก็เลยเริ่มต้องแกะเพลง ต้องร้องเพลงอยู่ระยะหนึ่ง จนเริ่มมีความรู้สึกว่าเราน่าจะพอทำได้แหละ เลยเริ่มคุยกับพี่ๆ ที่อยู่ที่ไทยที่เขาทำเกี่ยวกับสายดนตรี เขาก็ให้ความสนใจว่าเราน่าจะมาสายนี้ได้นะ เพราะส่วนตัวเราก็แต่งเพลงมาตั้งแต่ ม.ปลาย ก็คือชอบเขียนเพลงอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นที่เขียนเพลงเราไม่เคยจินตนาการว่าเป็นเสียงตัวเอง คิดมาตลอดว่าเป็นเสียงพี่คนนั้น เสียงพี่คนนี้ที่อยู่ในวงการอะไรแบบนี้ครับ
แล้วอะไรคือจุดที่ทำให้ตัดสินใจกลับมาอยู่ที่ไทยถาวร
จริงๆ ที่โน่นเราก็มีจุดลงตัวพอสมควรแล้วนะ แต่ไม่รู้ว่าเรารู้สึกไปเองหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นความจริงนะครับอันนี้ เรารู้สึกว่าเราอิ่มตัวแล้ว อยากหาอะไรใหม่ๆ ทำครับ ที่จะดันเพดานของเราขึ้นไปอีก ก็เลยตัดสินใจกลับมาทำเพลงที่ไทยครับ จริงๆ จะกลับมาก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้ว แต่ติดช่วงโควิด-19 ช่วงที่มันล็อกดาวน์ ช่วงนั้นก็ไร้สาระเลย ผมกับเพื่อนทำอะไรไม่ได้เลย งานดนตรีก็ไม่มีเลยที่อเมริกา
เห็นบอกว่าเริ่มแต่งเพลงมาตั้งแต่ ม.ปลาย แล้วปกติจะหาแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงมาจากไหนคะ
ทุกอย่างรอบข้างเลยครับ อาจจะเป็นฟีลลิ่ง โมเมนต์ตอนนั้น เช่น ความรู้สึกตอนนั้นหรือประสบการณ์ตอนนั้น หรือบางทีตอนนั้นอกหักก็เขียน หรือเห็นดอกไม้สวยจัง อารมณ์มันมาบางทีก็เขียนเพลงครับ มันจะเป็นฟีลมากกว่า ตอนนั้นเราแต่งเพลงก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักแต่งเพลงที่เป็นมืออาชีพ ไม่ได้กดดันตัวเองมากว่าต้องแต่งเพลงนี้ให้เสร็จ เราก็ปล่อยไปตามฟีลครับ
แนะนำเพลง “พอแล้ว…พอ” หน่อยค่ะว่าเป็นเพลงเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
ตอนเขียนเพลง “พอแล้ว…พอ” จำความรู้สึกได้อยู่ว่าเป็นฟีลลิ่งที่เราอยากบอกตัวเองเฉยๆ แบบความรู้สึกพอ เหมือนเราไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งแล้วเราสปาร์กกับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลย แล้วก็ได้เจอกันเรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าความรู้สึกนี้ที่เรารู้สึกมันอันตรายจังเลย เรากลัวว่าถ้าเราชอบเขาไปมากกว่านี้ เราจะต้องเจ็บแน่ๆ เลย เป็นฟีลลิ่งประมาณนั้น เลยเป็น “พอแล้ว…พอ” แบบห้ามความรู้สึกตัวเองไว้ อย่าไปมากกว่านี้ เวลาเราชอบผู้หญิงคนหนึ่งมากๆ จากประสบการณ์ส่วนใหญ่มันค่อนข้างจะเจ๊ง พอเริ่มชอบใครเลยพยายามห้ามไว้นิดหนึ่ง ก็เลยเกิดเป็นเพลงนี้ครับ
เล่าเบื้องหลังถ่ายเอ็มวีให้ฟังหน่อยค่ะ เพราะต้องเล่นเอ็มวีเองด้วย ยากไหมคะ
ตอนแรกกลัวเหมือนกันนะ เพราะการแสดงเป็นสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่ายังไม่ได้เก็ตฟีลขนาดนั้นว่าจริงๆ แล้ว มันต้องคิดอะไรยังไง ตอนที่ไปเล่นจริง มีความรู้สึกว่ามันง่ายกว่าที่คิดเลย และรู้สึกว่าไม่ได้ยากขนาดนั้นหนิ อาจจะเพราะพี่ผู้กำกับกับทีมงานช่วยบิลด์ แม้กระทั่งตัวนางเอกเอ็มวีด้วย เขาก็ช่วยเราครับ มันก็เลยทำงานง่ายมากๆ
พอได้ลองเล่นแล้ว มีความรู้สึกว่าการแสดงก็น่าลองนะอะไรแบบนี้ไหมคะ
อยากลองครับ แต่ก็ยังไม่กล้าการันตีตัวเองว่ามันจะเหมือนกันหรือเปล่า เพราะในพาร์ตเล่นเอ็มวีจะไม่มีบทพูดที่เราต้องจำครับ เป็นคนไม่ค่อยไว้ใจความจำตัวเองเท่าไหร่ (หัวเราะ) ปกติมื้อเช้ากินอะไรมายังจำไม่ได้เลยครับ ถ้าเป็นพาร์ตการแสดงที่ต้องพูดน่าจะเป็นอีกชาลเลนจ์หนึ่ง
เพลงของจอมมีสไตล์หรือกลิ่นแบบไหนที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง
ถ้าเป็นเพื่อนที่เป็นนักดนตรีด้วยกัน เขาจะมองเราเป็นสายโซล อาร์แอนด์บี บลูส์นิดหน่อย แต่พอมาทำเพลงที่เป็นเพลงร้อง เราก็พยายามจะนำเสนอในจุดนั้นแหละ แต่อาจจะไม่ได้เป็นแนวนีโอโซล หรืออาร์แอนด์บีจ๋า ก็จะมีความผสมกับความเป็น T-POP ด้วยครับ ก็คือผสมระหว่างป็อปไทยและแนวเพลงที่เราอยากจะนำเสนอ ซึ่งคือแนวอาร์แอนด์บี โซล แต่จะเป็นยุคเก่าหน่อยครับ แบบช่วง 80s ถึง 2000s
สุดท้ายนี้ ฝากผลงานและฝากอะไรถึงผู้อ่านสุดสัปดาห์หน่อยค่ะ
ฝากเพลง “พอแล้ว…พอ” ด้วยนะครับ ลองไปฟังดูกันได้ครับ ชอบไม่ชอบติชมกันได้เลย ตั้งใจนำเสนอแนวเพลงในสไตล์ของผมครับ เพลงต่อๆ ไปก็จะมีความน่าสนใจในเรื่องพาร์ตดนตรีและในพาร์ตเนื้อร้อง อยากให้รอติดตามฟังกันดูนะครับ จะอยู่โซนของโซลและอาร์แอนด์บี เราพยายามจะทำให้มันร่วมสมัยมากขึ้น ก็จะเป็นมิติใหม่ๆ อยากจะชวนให้ทุกคนมาลองสัมผัสในมุมที่เราจะพาผู้ฟังไปครับ สามารถไปชมเอ็มวีเพลงที่ออกมาได้ที่ YouTube @Red Clay Official และไปฟังเพลง “พอแล้ว…พอ” ได้ทุกสตรีมมิ่งเลยครับ ส่วนช่องทางติดตามข่าวสารอัปเดตก็ติดตามในไอจีของจอมก็ได้ครับที่ Instagram : @JomJager ครับ
.
.
TEXT : ImJinah
PHOTO : นวพจน์ โพธิเกษม
.
.
อัพเดตข่าวบันเทิงเอเชีย ซีรี่ย์เอเชีย ดาราเอเชีย ไอดอลเอเชียได้อีกเพียบที่สุดสัปดาห์ค่ะ
คุยกับ CRAVITY แชร์ความประทับใจที่มีลอบิตี้ชาวไทย พร้อมแอบเมาท์เมมเบอร์
สัมภาษณ์พิเศษแบบจอยๆ กับ แทคยอน ไอดอล-นักแสดงตัวพ่อ แชร์ความผูกพันที่มีต่อประเทศไทย
สัมภาษณ์สุดพิเศษ พัคซอจุน & ฮันโซฮี ถ้าเจอสัตว์ประหลาดแบบใน Gyeongseong Creature จะทำยังไง?!?
ซันนี่ & มัจฉา เมาท์กระจาย เผากันมัน เบื้องหลังกองถ่ายหนัง “The Adventures” ของ Prime Video