ทิกเกอร์ เทริโอ ลูกไม้ใต้ต้นกับเส้นทางจาก Bedroom studio สู่ศิลปินอนาคตไกล

account_circle
event

 

ทิกเกอร์ เทริโอ ลูกไม้ใต้ต้นกับเส้นทางจาก Bedroom studio สู่ศิลปินอนาคตไกล

 

ศิลปินเดบิวต์ลำดับที่ 2 แห่งค่าย G’NEST (จีเนส) คนนี้จะว่าหน้าใหม่ก็ได้ หรือมองว่าหน้าคุ้นก็ได้อีก เพราะเชื่อว่าหลายต้องรู้จักหนุ่มน้อย “อชิระ เทริโอ” หรือ “TIGGER” ทายาทซูเปอร์สตาร์ “นิโคล เทริโอ” และ “แมว จิรศักดิ์ ปานพุ่ม” ขวัญใจวัยรุ่นยุค 90 อย่างแน่นอน

หลังจากผ่านการฝึกฝนในฐานะศิลปินฝึกหัดของ GMM Academy มานานเกือบ 3 ปี ในที่สุดทิกเกอร์ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินเต็มตัว โดยเดบิวต์เป็นลำดับสองก็จริง แต่ถือว่าเป็นศิลปินเดี่ยวคนแรกของค่าย โดยมี R U OK?” เดบิวต์ซิงเกิ้ลจากมินิอัลบั้มแรกCRUSH” ออกมาให้แฟนๆได้ตกหลุมรักกันทั่วบ้านทั่วเมือง ไหนๆ เราก็เห็นทิกเกอร์มาตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย ถึงเวลาเดบิวต์เป็นศิลปินเต็มตัวขนาดนี้สุดสัปดาห์มีหรือจะพลาด ต้องขอจูงมือทิกเกอร์มาพูดคุยถึงเส้นทางดนตรีของเขาสักหน่อย

 

 

ถ้าย้อนไปช่วงวัยเด็ก ทิกเกอร์สนใจด้านดนตรีตั้งแต่เมื่อไรคะ

จริงๆ ผมไม่ได้สนใจดนตรีเลยครับ ด้วยความที่เราเป็น Music Family มันเลยเหมือนเป็นความคุ้นชินมากกว่า เหมือนเรายังไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก เลยยังไม่ได้โฟกัสเรื่องดนตรีเท่าไร จนกระทั่งอายุ 11 ปี คุณแม่อยากให้ไปเรียนกีตาร์ครับ เพราะมีงานอีเว้นต์ที่ต้องโชว์ที่เชียงใหม่ ผมเล่นกีตาร์ส่วนคุณแม่ร้องเพลง เป็นเพลงเปรี้ยวใจครับ ตอนนั้นผมก็ยังไม่ค่อยอินเท่าไร รู้สึกว่าเล่นแล้วเจ็บนิ้ว ดีดคอร์ดยากจัง กว่าจะเล่นได้แต่ละเพลงไม่ง่ายเลยครับ

 

แล้วก็มีวันหนึ่งที่ผมดีดคอร์ดเอง แล้วก็เล่นไลน์กีตาร์ที่ผมคิดขึ้นมาเอง มันเป็นความรู้สึกที่คลิกเลยครับ เป็นโมเมนต์ครั้งแรกที่ผมเรียงคอร์ดกีตาร์เองได้ เหมือนเป็นคนสร้างเพลงเองน่ะครับ

เป็นโมเมนต์ที่ magic โอ้! … โอเค มันเป็นแบบนี้ก็ได้นะ ถ้าผมพัฒนาได้มากกว่านี้ มันก็จะยิ่งดีกว่านี้แน่ๆ เลย จากโมเมนต์วันนั้นที่เกิดในห้องนอน ผมก็หลงรักดนตรีเลยครับ

ทิกเกอร์

เรียกว่าคลั่งรักเลยไหม

หลังเลิกเรียนก็จะกลับบ้านมาก็ซ้อมๆๆ เมื่อก่อนผมเป็นเด็กที่เล่นแต่เกมครับ แล้วพอได้คลิกกับดนตรีผมก็หลงแบบสุดๆ ตอนนั้นมีแล็ปท็อปอันเก่าๆ ที่คุณแม่ซื้อให้ไว้ให้ทำการบ้านทำรายงาน แล้วผมก็จะเปิดเพลงจากแล็ปท็อปนั้น แล้วก็ดีดกีตาร์ที่คุณแม่ซื้อให้ ไปพร้อมกับแอมป์กีตาร์ที่คุณพ่อให้มาครับ ฝึกเล่นเองทุกวันวัน ผสมกับเรียนกับครูสอนกีตาร์ด้วย

 

ด้วยความที่ครูเน้นสอนเพลงร็อคเลยทำให้ผมอินกับเพลงร็อค จนมีวันหนึ่งผมฟังเพลง Teddy Picker ของ Arctic Monkeys ในรถ แล้วรู้สึกชอบไลน์กลองมากๆ ผมถอดหูฟังออก แล้วหันไปถามคุณแม่ว่า “ขอซื้อกลองไฟฟ้าได้มั้ยครับ อยากฝึกเล่น อยากฝึกตีกลองครับ” คุณแม่ก็ถามว่า “เท่าไร” ผมก็ไม่รู้ราคาหรอก แต่รู้สึกว่าอยากฝึกตีกลอง อยากพัฒนาการเล่นดนตรี อยากเล่นดนตรีได้หลายๆ อย่าง คือถ้ามันเกี่ยวกับการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาตัวเอง คุณแม่ก็โอเคครับ พร้อมที่จะสนับสนุนในด้านดนตรีของผมมากๆ ครับ พอได้กลองมาปุ๊บ ผมก็ฝึกโดยการฟังเพลงแล้วก็แกะเอง ฝึกทุกวันหลังเลิกเรียน วันละ 3 ชั่วโมง สัก 6 เดือนถึง 1 ปี ก็เริ่มเล่นได้ดีมากขึ้น

 

แล้วจากกลองไปต่อที่เครื่องดนตรีอะไรอีกคะ

เบสครับ วันเกิดปี 2017 คุณแม่ซื้อแมคคอมให้ แล้วผมก็โหลดแอปทำเพลงครับ แอปที่ใช้เรคคอร์ดเสียงกลอง เสียงกีตาร์ เสียงทุกอย่างได้ และทำเป็นเพลงของตัวเองได้

หลังจากนั้นก็ชอบและเริ่มที่อยากจะเรียนรู้การเล่นเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ ทั้ง กลอง, เปียโน, เบส ด้วยตัวเอง โดยการใช้เวลาอยู่ใน Bedroom Studio เพื่อทำเพลงลง Youtube Channel : Tigger Theriault ของผมเองครับ

 

ก็ครบแล้วนะคะ คนเดียวตั้งวงได้เลยค่ะ ไม่ต้องจ้างใคร

ใช่ครับ ครบแล้วครับ (หัวเราะ)

 

มีใครเป็นแรงบันดาใจที่ทำให้เราอยากเป็นนักดนตรีบ้างคะ

คนใกล้ตัวผมที่สุด คือคุณพ่อคุณแม่ครับ (หัวเราะ) แต่คุณพ่อไม่ค่อยมีเวลาสอนผมนะครับ เพราะต้องทำงานหนัก มีงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะมาก แต่คุณพ่อก็จะเอาหนังสือที่ใช้เรียนเอง ซึ่งเป็นหนังสือที่เขาซื้อมาทั้งชีวิต ตั้งแต่ยุค 90s เอามาให้ผม ซึ่งมันดีมากๆ ครับ เป็นหนังสือที่สมัยนี้หาไม่ได้แล้ว เป็นทฤษฏีที่ โอ้… ดีมาก แปลกใหม่มากจริงๆ ครับ ทั้งทฤษฎีดนตรีคลาสสิก ดนตรีแจ๊ส ซึ่งมันเป็นพื้นฐานการเรียนดนตรีที่ดี ซึ่งทำให้เราต่อยอดไปได้ไกลครับ

 

แล้วทิกเกอร์มีความอยากเป็นศิลปินขึ้นมาตอนไหน

ตอนนั้นผมอยากเป็นศิลปินอินดี้ แต่ด้วยความที่เราเด็ก เราก็ไม่รู้หรอกว่าวงการดนตรีมันกว้าง และสนุกมาก การมีค่ายที่แข็งแรงมาสนับสนุนความรัก ความฝันของเรา ผลักดันเรา มันทำให้เราได้พัฒนาศักยภาพ และได้รับโอกาสที่ดีมากๆ ครับ ด้านคุณพ่อกับคุณแม่ก็สนับสนุนเต็มที่ ไม่ได้ห้ามเลย

 

 

คุณพ่อคุณแม่แนะนำอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะในเรื่องการทำงานวงการบันเทิง

ไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษครับ ส่วนใหญ่ผมก็จะรับรู้ว่าต้องเตรียมตัวยังไง จากประสบการณ์ตรงของคุณพ่อคุณแม่เองที่เล่าให้ฟังมาตลอด เช่น ช่วงพีคตอนยุค 90s พ่อแม่เจออะไรบ้าง พ่อแม่ดูแลแฟนคลับยัง เป็นการเล่าสู่กันฟังมากกว่าครับไม่ถึงกับสอน เวลาผมเจอแฟนคลับ จะพยายามเข้าไปทักทายสวัสดีทุกคน ผมอยากให้แฟนคลับรู้สึกว่าเราเข้าถึงได้ เป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน เพราะแฟนคลับผมมีหลายรุ่นเลยครับ มีแฟนคลับของคุณแม่ก็มาเป็นแฟนคลับผมด้วยครับ (ยิ้ม) เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นมาก

 

ขอถามถึงเส้นทางการเข้ามาเป็นศิลปินที่ GNEST ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างไรบ้าง

ช่วงแรกผมเรียนร้องเพลงกับครูเจมส์ครับ จากนั้นครูก็บอกว่าเดี๋ยวทิกเกอร์ต้องมีออดิชั่นนะ เป็นค่ายใหม่ในเครือแกรมมี่ ผมก็ โอ้! ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าตัวเองพร้อมหรือเปล่า แต่พอได้โอกาสผมก็อยากทำให้เต็มที่ ขอลองก่อนแล้วกัน วันออดิชั่นผมร้องเพลงและเล่นกีตาร์ เล่นจบเพลงผมก็ “ขอบคุณครับ” (ยิ้ม) แล้วก็กลับบ้านมาลุ้นผลอยู่คนเดียว ใจเราตอนนั้นอยากออดิชั่นผ่านมาก เหมือนเราสู้มาด้วยตัวเอง นอนไม่หลับเลยครับ (หัวเราะ) รอไม่นานมาก ก็ได้รับผลว่าผ่าน จากนั้นก็ต้องมาเป็นเด็กฝึกหัด ต้องเรียนร้อง เรียนเต้น เรียนการแสดงด้วย ซึ่งผมก็เรียนรุ่นเดียวกับวง Perses เราเป็นรุ่นที่ผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะมาก จริงๆ ผมก็ชอบเต้นนะ ถึงจะไม่มีพื้นฐานมาก่อน จำได้ว่าตอนเรียนเต้นคือตัวเกร็งมากๆ มือขาไปไม่ถูกเลย

 

รู้มาว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อยกับการเป็นเด็กฝึก ต้องผ่านบททดสอบอะไรบ้าง

ระหว่างที่เป็นเด็กฝึกหัดของ GMM Academy ผมต้องเรียน ร้อง – เต้น – แรป และ Self Development หรือการพัฒนาศักยภาพตัวเองในทุกด้าน เพื่อก้าวเป็นศิลปินที่มีคุณภาพของแกรมมี่ ซึ่งกว่าจะผ่านบททดสอบมาได้ ผมต้องอดทนและทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างหนักเลยครับ คือเขาจะให้สอบทุก 3 เดือนครับ  รวมการเทรนก็จะประมาณ 4 พันกว่าชั่วโมง ฝึกเกือบทุกวันครับ เข้ามาที่ตึกก็เทรนหลายชั่วโมง กลับบ้านก็เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะสอบ ทั้งทำการบ้านและฝึกฝนเองต่อ ยิ่งช่วงที่เราเป็นเด็กฝึกช่วงนั้นเจอสถานการณ์ณ์โควิด มีการปรับเปลี่ยนแพลนต่างๆ ค่อนข้างบ่อย อาทิตย์หน้าสอบนะ แล้วต้องเตรียมพร้อมในอาทิตย์เดียว แทนที่จะมีเวลาเป็นเดือน มันทำให้เราเรียนรู้เรื่องความกดดัน เหมือนได้เข้าไปสัมผัสการทำงานในวงการแล้วจริงๆ

 

ทิกเกอร์

พอถึงวันที่เราได้เดบิวต์แล้วทิกเกอร์รู้สึกอย่างไร

มีหลายความรู้สึกมากๆ ตอนแรกกลัวมาก จะออกมาอย่างไร เพราะพ่อแม่เราก็สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงไว้ จะมีฟีดแบ็กอย่างไรบ้างนะ ผมตื่นเต้นมาก เพราะการเป็นศิลปินเป็นความฝันมานานหลายปีแล้วครับ

 

การเป็นทายาทศิลปินดังทำให้ทิกเกอร์กดดันมากมั้ยคะ

เมื่อก่อนก็แอบกังวลเรื่องนี้บางครับ แต่ช่วงนี้ผมก็ใช้เรื่องราวที่คุณพ่อคุณแม่ทำงานหนักเพื่อสร้างชื่อเสียงมา แล้วก็มีแฟนคลับที่ชื่นชอบพ่อกับแม่เยอะ เปลี่ยนมาแรงบันดาลใจครับ ผมใช้ตรงนี้มาเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองให้เก่งมากขึ้น

 

ถ้าอย่างนั้นเล่าถึงซิงเกิ้ลแรกในชีวิตให้ฟังหน่อยค่ะ

เพลง R U OK? ซิงเกิ้ลแรกของผมจะพูดถึงความรักความสัมพันธ์ของคนสองคนที่เลิกรากันไป แต่ยังคงมีคำถามคาใจว่า ตั้งแต่จากกันไปเธอเป็นยังไงบ้าง? สบายดีมั้ย? แต่สำหรับฉัน มันโอเคมาก! (ยิ้ม) เป็นการหักมุมในเนื้อเพลง ไม่ได้เป็นเพลงอกหัก แต่เป็นเพลง Move On ที่จุดประกายให้ทุกคนหันมารักตัวเองมากกว่า โดยแนวเพลงจะเป็นสไตล์ POP R&B ที่ได้ทำงานร่วมกับทีม Jam Factory นักแต่งเพลงทั้งจากฝั่งยุโรปและเอเชียผ่านระบบ Song Camp และทำเพลงร่วมกันกับ พี่ปณต คุณประเสริฐ วง Getsunova ที่นอกจากจะเป็น Executive Producer ของผมแล้ว ยังเป็นคนที่ช่วยเขียนเนื้อร้องให้เหมาะกับผมด้วย ขอบคุณพี่ปณตมากๆครับ และงานนี้ผมก็มีส่วนช่วยในเรื่องออกแบบการร้อง เพิ่มไลน์กีตาร์ เพิ่มไลน์เสียงประสานต่างๆเข้าไปในเพลง เพื่อให้เป็นสไตล์ของผมมากที่สุดด้วยครับ

 

ส่วนพาร์ทของ MV จะเป็นการเล่าเรื่องราวของ MR.OK ที่มาแชร์ประสบการณ์ความรักของตัวเองที่ยัง Move On ไม่ได้ ในรายการทอล์กโชว์ที่ชื่อว่า “TIG TALK” ซึ่งคำว่า TIG ย่อมาจากชื่อของผม TIGGER และพิธีกรที่ดำเนินรายการนั้นก็คือผมเองครับ ผมต้องคอย Cheer Up ให้มิสเตอร์โอเคที่ยังไม่โอเค ผ่านความผิดหวังครั้งนี้ไปให้ได้ แต่เรื่องราวของ MR.OK กลับทำให้ผมหวนคิดทบทวนเรื่องราวความรักของตัวเองที่ผ่านมาด้วยเหมือนกัน รายการนี้จะจบลงยังไง ต้องลองไปติดตามดูกันนะครับ (ยิ้ม) แถมตอนท้ายของ MV มีท่าเต้นท่อน Hook เพื่อเอาใจแฟนๆชาวโซเชียลให้ได้เต้นตามกันง่ายๆ ใครที่เต้นแล้วอย่าลืมติด #RUOKChallenge มาให้ดูกันด้วยนะครับ

 

ทิกเกอร์

 

มีศิลปินคนไหนที่ทิกเกอร์อยากร่วมงานด้วยมั้ยคะ

ถ้าเป็นอินเตอร์ก็ จอร์น เมเยอร์ ครับ ผมมีแผ่นเสียงของเขาทุกอัลบั้มเลยครับ  ส่วนศิลปินไทยก็จะเป็น แอลลี่ และเจฟ ซาเตอร์ครับ กับแอลลี่เราเพื่อนกันครับ โตมาด้วยกัน ผมจะปรึกษาเรื่องงานต่างๆ กับเขา หรือว่าเวลาเขาเจอเรื่องกดดันเขาจัดการอย่างไร ส่วนพี่เจฟ ซาเตอร์ ผมชื่นชมพี่เขามากๆ ผมชอบเพลง “ลืมไปแล้วว่าลืมยังไง (Fade)” คือแบบ โห… โทนเสียงร้อง และเทคนิคการร้องเขาคือแบบ Head Tone แบบสุดพลัง

 

 

 

ปิดท้ายทิกเกอร์มีอะไรอยากฝากกับแฟนๆที่เชียร์มาตลอดมั้ยคะ  

ทิกเกอร์ : อยากฝากเอ็มวี “R U OK?” ครับ แล้วก็ฝากติดตามมินิอัลบั้มชื่อว่า “CRUSH” ซึ่งชื่อนี้ผมปรึกษากับทีมแล้วครับว่าเป็นชื่อที่ลงตัวมากๆ เพราะผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หลงรักดนตรีจริงๆ สำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาติดตามกันก็สามารถติดตามโซเชียลมีเดียได้ทุกช่องทางที่ @tiggertheriault และอินสตาแกรมส่วนตัว @tiggerachira ครับผม

 

 

 

Text: AuAi

Photo: เติมสิทธิ์ ศิริพาณิช

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

อูกี & ชูฮวา สองสมาชิกแก๊งมักเน่ไลน์ (G)I-DLE ที่ต้องจากบ้านเกิดและครอบครัวมาทำงานในเกาหลี!

น่าจับตา! PERSES บอยกรุ๊ปน้องใหม่ในเครือแกรมมี่ กับความสามารถแบบจัดเต็มที่มาพร้อมเสน่ห์เฉพาะตัว