ต่อ-ไบร์ท กับบทบาทสุดท้าทายในละครดราม่าเข้มข้น “ใต้หล้า”

account_circle
event

 

 

เปิดโหมดความสนุก เข้มข้น มาจนถึงโค้งสุดท้ายแล้วสำหรับละครดราม่า ฟอร์มยักษ์ “ใต้หล้า” เรียกว่าเป็นละครน้ำดีอีกหนึ่งเรื่อง ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวครอบครัว ความรัก และคุณธรรม  แถมยังรวมสุดยอดนักแสดงไว้เพียบ นำทีมโดย พระเอกฝีมือดี “ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร” และพระเอกดาวรุ่งของ ช่องวัน31 “ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์” ที่พลิกบทบาทสุดขั้ว

ส่งท้ายก่อนละครจะอวสาน ต่อ-ไบร์ท แท็กทีมกันถ่ายปก Digital Cover กับสุดสัปดาห์ พร้อมพูดคุยเจาะลึกถึงการทำงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังในละครเรื่องนี้ที่ต่างก็ทุ่มเทกันแบบสุดพลัง

 

ต่อ-ไบร์ท กับบทบาทสุดท้าทายในละครดราม่าเข้มข้น “ใต้หล้า”

อยากให้ต่อกับไบร์ทพูดถึงความรู้สึกที่มีกับ “ใต้หล้า” และ “หิรัญ”

ต่อ:  ผมรู้สึกว่าใต้หล้า เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความเชื่อเฉพาะตัวอยู่ เชื่อในเรื่องความถูกต้อง แล้วเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ครับ สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เล่าแค่ชีวิตใต้หล้า แต่ว่าตัวละครในเรื่องนี้มันเติบโตขึ้นไปตลอดทั้งเรื่องครับ  ใต้หล้ายังเป็นคนที่รักครอบครัว อยากจะมีครอบครัวในแบบที่ตัวเองอยากมี คือมีครอบครัวในอุดมคติ อันนี้คือเชื้อเพลิงหลักของตัวละครที่ชื่อใต้หล้า

ไบร์ท: หิรัญเป็นคนที่น่าสงสารในมุมผมนะ ผมรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่น่าสงสาร เป็นตัวละครที่โตมากับความเหงาตั้งแต่เด็ก ซึ่งความเหงาทำให้หิรัญเป็นคนแบบนี้ เพราะหิรัญขาดความรักมากในครอบครัว ไม่มีอะไรเลย มีแค่เงิน มันอาจจะดูเหมือนเพียบพร้อม แต่มีแค่นั้นจริงๆ ซึ่งสิ่งที่ตัวละครนี้เห็นในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม พ่อแม่หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ มันหล่อหลอมให้เขาเป็นคนแบบนี้ ทั้งในเรื่องความรุนแรง ทั้งในเรื่องวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งเขาเลือกไม่ได้ มันไม่ได้เป็นคนชั่วอะไรขนาดนั้นหรอก มันแค่ไม่เคยเห็นว่าสิ่งดีๆ เขาทำกันยังไงแค่นั้น ครั้งแรกที่เห็นบท ครั้งแรกที่อ่าน ผมว้าวเลย มันเป็นอะไรที่พิเศษมาก

 

ต่อ-ไบร์ท

 

ได้ยินมาว่าเบื้องหลังการออดิชั่นของเรื่องนี้เข้มข้นมากเลยใช่มั้ยคะ

ไบร์ท:  ตอนออดิชั่นเราได้บทมาฉากเดียว แล้วเราก็อ่านฉากนั้นดู รู้สึกว่าตัวละครนี้ ดูกวนตีนจังว่ะ เรารู้สึกอย่างนั้นนะ ถ้าเปรียบเป็นสีผมรู้สึกมันคือสีม่วงๆ แดงๆ ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน รู้สึกว่ามันฉูดฉาดดี อยากลองเล่นดู ถ้าได้ก็จะดีมาก แต่ขอลองก่อนตอนออดิชั่น ลองดูซิ แบบสุดๆ ไปเลยจะเป็นยังไง โชคดีเล่นกับพี่ต่อ วันนั้นมันมากนะ ผมไม่เคยออดิชั่นครั้งไหนมันที่สุดเท่าครั้งนี้

ต่อ:  เฮ้ย! จริงเหรอ

ไบร์ท:  จริง ครั้งแรกเลย

ต่อ:  นี่ไม่เคยคุยกันนะ

ไบร์ท:  ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลยด้วย คือปกติบางครั้งเราอาจจะไม่ได้ใส่สุดมาก เพราะเราคิดว่าเราสุดแล้ว แต่ความจริงเราอาจสุดได้มากกว่านี้ แต่พอออดิชั่นวันนั้น เขาก็สุดมากเหมือนกัน เราก็เลย เฮ้ย! มันสุดได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ กูสุดบ้างดิ มันเลยทะลุไปอีกสเต็ปหนึ่ง สนุกมาก วันนั้นของกระจายเต็มห้องเลย

ต่อ:  คือวันนั้น ผมรู้สึกว่ามีแต่คำว่าเสียดาย หมายถึงว่าเสียดายหลายๆ คนที่เราได้เจอ เพราะจริงๆ ไม่ได้แคสต์แค่หิรัญ มีทั้งฟ้ารุ่ง อากาศ คือแคสต์หมดเลย เหมือนกับว่า เรามีโอกาสได้เห็นหิรัญ อากาศ ฟ้ารุ่ง ในหลากหลายเวอร์ชั่นมากๆ มันก็เลี่ยงไม่ได้ว่าสุดท้ายเรามีความชอบส่วนตัวบางอย่าง ที่… เราแพ้ทางแบบนี้ พอเจอแล้วชอบจังเลย แต่สุดท้ายแล้วหิรัญคือบทที่… ที่ตอนแรกรู้สึกว่าหายากสุด ด้วยซิมโบลิคของเรื่องที่มันจำเป็นจะต้อง …ไม่ใช่ใครก็ได้

ผมชอบคำพูดพี่เจี๊ยบ-วรรธนา มาก เขาบอกว่าใต้หล้ากับหิรัญเป็นกระจกของกัน กระจกที่หิรัญทำให้เห็นความชั่วของใต้หล้า และใต้หล้าก็ทำให้เห็นความชั่วของหิรัญ ซึ่งความหมายจริงๆคือ คนเราไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกแต่อยู่ที่ว่าเราอยู่กับใคร แล้วความสัมพันธ์แบบนั้นพัฒนามายังไง แม้กระทั่งใต้หล้าและหิรัญ ผมเรียกสิ่งนี้ว่าความสัมพันธ์นะ ต่อให้จะดูเป็นศัตรูกัน แต่สำหรับผมนี่ก็คือรีเลชั่นหนึ่งครับ

ไบร์ท:  คือความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งจริงๆ นะครับ เพราะสุดท้ายแล้ว มันไม่ได้ดีกันมาก แต่ถามว่ารู้จักกันมั้ย ผมว่าหิรัญกับใต้หล้า รู้จักกันและกัน แบบมากๆ เลย เดาได้ด้วยซ้ำ เดี๋ยวมันต้องทำอย่างนี้ เดี๋ยวต้องอย่างนั้น รู้ใจกันจริงๆ แค่ไม่ได้เข้าใจแบบเพื่อนรักกันแค่นั้นเอง

ต่อ:  ผมว่าดูแล้วจะเข้าใจ สุดท้ายแล้วถึงจุดหนึ่ง ผมเชื่อว่าจะมีหลายคนที่รู้สึกว่า นี่เกลียดกันจริงปะเนี่ย นี่เกลียดกันอยู่ใช่มั้ย เพราะว่าตอนเล่นผมมีความรู้สึกแปลกๆ อย่างนี้เสมอกับตัวละครนี้ สรุปเราเกลียดกันใช่ปะ หรือเราไม่ได้เกลียดกัน

ไบร์ท:  มันไม่ใช่แค่ว่า ฉันเกลียดแก ฉันต้องฆ่า เจอหน้าฉันต้องต่อย มันไม่ใช่แบบนี้เลยนะ มันเหมือนเกลียดเพราะต้องเกลียด ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน ความจริงจะเจอความรู้สึกอะไรระหว่างเล่นอีกเยอะมากๆ

ต่อ-ไบร์ท

ต่อ:   สิ่งที่ผมว้าวมากกับเรื่องนี้ สำหรับตัวละครเราสองคน เราเจอกันน้อยมาก เอาจริงๆ น้อยมาก อันนี้ถือว่าเป็นการสปอยล์เลย เราแทบไม่ได้เจอกันเลยในเรื่อง จริงๆ มันเป็นเคมีบางอย่างที่ผมค่อนข้างนับถือไบร์ทมากว่า…  ทุกครั้งที่เราเข้าฉากด้วยกัน เราแทบไม่ต้องคุยกันเลย

เอาจริง เชื่อปะว่ากองเราถ่ายตอนที่มันโคตรจะนิวนอร์มัล ในวันที่กองช่องวัน 31 เป็นปราการที่แข็งแกร่งมาก กฎเยอะสุดๆ ทุกอย่างต้องแยกกัน เรื่องนี้นักแสดงแทบไม่ได้คุยกัน เพราะฉะนั้นผมเลยยิ่งนับถือไบร์ทมาก เฮ้ย! มันคืออะไรไม่รู้ มันเป็นสิ่งพิเศษ ไม่น่าได้เจอกับทุกคน คือหมายถึงว่า… เดี๋ยวนะ ..กลัวคนเข้าใจผิด การเจอกันของใต้หล้ากับหิรัญ มันคือการเจอกันแบบที่ไม่ได้เจอ ใช้คำนี้ดีกว่า ไว้ลองดู ต้องดูๆ

 

เรียกว่าเรื่องนี้ทำให้เจอความท้าทายใหม่ๆ เลยใช่มั้ยคะ

ต่อ:  นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ผมใช้ชีวิตตัวเองเล่น แต่ผมบอกไม่ได้ เรื่องนี้ผมพูดไม่ได้จริงๆ ผมบอกไม่ได้ว่ามันคือพาร์ตไหน แต่เรื่องนี้ผมกล้าพูดว่า พี่เจี๊ยบเป็นคนเดียวที่รู้ว่า มันมีชีวิตจริงผมอยู่ในนั้น ตั้งแต่หลังฮอร์โมนไม่เคยเลย นี่เป็นอีกครั้งที่ลองเปิดใจ เอาส่วนเล็กๆ ของความทรงจำมาลองดูซิ แล้วก็บวกกับสิ่งที่เราอินอะไรแปลกๆ เช่น เรือนจำ หรือถ้าจะเอาดีเทลกว่านั้น เรื่องนี้ผมได้ทำอะไรครั้งแรกในชีวิตเยอะนะ เช่น เรื่องนี้ผมได้ทำอาหารจริงๆ ครั้งแรกในชีวิต ธนภพในวัย 28 ตอกไข่ไม่เป็นจนเล่นใต้หล้า ถึงตอกไข่เป็น ยิ่งถ้าเป็นไข่ ผมไม่กินอยู่แล้ว ผมทอดไข่เจียวสวยมาก อร่อยมั้ย ไม่รู้

 

คือผมค่อนข้างซีเรียสเรื่องเรือนจำมาก เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นสถาที่ที่เฉพาะทางมากๆ ไม่ใช่สถานที่ปกติ แล้วไม่ใช่เหมือนกับว่าเข้าไปแล้ว เราทำตัวปกติเหมือนเดิม ผมไม่รู้ว่าผมใช้คำถูกมั้ยแต่มันเหมือนเราควรจะต้องเคารพสถานที่เหมือนกัน คือมันมีความขลังอะไรไม่รู้ แล้วที่ที่เราถ่ายมันคือที่จริงครับมันไม่ใช่คุกปลอมที่ไม่มีใครอยู่ มันมีคนอยู่จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายๆ ครั้ง ผมรู้สึกว่าอยากจะเข้าใจก่อนแล้วค่อยอธิบายออกมา คือไม่ได้อยากอธิบายโดยที่ไม่เข้าใจ

 ผมอินอะ ผมอินมากเพราะว่า รูป รส กลิ่น เสียงในนั้น มันมากกว่าสิ่งที่เราเสพมาอีก มันอะไรไม่รู้อะ หรือเป็นเพราะเป็นเรื่องที่ผมอินมาตั้งแต่แรก แบบก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะมีใต้หล้า ผมอินเรื่องเรือนจำมาอยู่แล้ว แล้วบังเอิญได้ทำ แล้วได้มาที่จริง มันเลยฟรึ่บเข้ามาหมดเลย แต่หลักๆ เรื่องตัวละครผมว่าโชคดี ตอนที่เราทำเวิร์คชอปกัน พวกเราอยู่ด้วยกันตลอด แล้วก็มีพี่เจี๊ยบ พี่สันต์คอยบอก จริงๆ การเตรียมตัวที่สำคัญสุด คือตอนเวิร์คชอป ตอนนั้นแหละที่เราได้เวิร์คชอปกัน

ไบร์ท: จริง ถ้าไม่มีเวิร์คชอปนี่แย่นะ ผมว่าเรื่องนี้น่าจะหนัก

ต่อ:  แต่พอเวิร์คชอป เหมือนได้เกลาพวกเราให้มาอยู่ในแชนเนลเดียวกัน มันดีมาก พี่เจี๊ยบ พี่สันต์มาดูเอง พี่เจี๊ยบถึงขั้นแบบว่า มาดูพวกเราเวิร์คชอปกัน เล่นอิมโพรไวส์กันไปเรื่อย แล้วก็บอกว่า เดี๋ยวไปแก้บทดีกว่า

ต่อ-ไบร์ท

ไบร์ท:  เอาบทตามที่พวกเราเวิร์คชอปกัน เขาเป็นคนทำงานที่… ผมชอบเขามากเลย เจอเรื่องแรกผมรู้สึกว่า เจ๋ง เป็นคนที่เจ๋งมาก ขนาดที่เรามองเขาเจ๋งมาก แต่คนที่เจ๋งขนาดนี้ เขายังฟังเรา ฟังคนอย่างผมเนี่ยนะ ผมเล่นอิมโพรไวส์ไม่เตี๊ยมอะไร เล่นไปเรื่อยแล้วเขาก็บอก อันนี้ดี เดี๋ยวไปแก้บทดีกว่า

ต่อ:  แล้วบทก็เปลี่ยนจริง

ไบร์ท:   ท้าทายมากตั้งแต่คาแร็คเตอร์แล้วคือมันไกลตัวผมมากในทุกๆ อย่าง บทหิรัญไกลเลยอะ เรื่องครอบครัวผมแอบคิดว่ามันยากด้วย บ้านผมก็ปกติดี พ่ออยู่กับแม่ด้วยกัน แต่ว่าหิรัญเป็นครอบครัวที่มันcracked มันหนักมาก มันไม่ใช่แค่พ่อแม่แยกทาง มันเลยคำนั้นไปไกล  หิรัญคิดว่าพ่อมันรักมันจริงๆ เหรอ นี่เขาเรียกว่าความรักใช่มั้ย นี่คือความรักจริงๆ เหรอ ทั้งไม่มีเวลาให้ ทั้งทุบตี นี่คือความรักจริงๆ เหรอทำไมต้องทำขนาดนี้กับเรา คนอื่นไม่เห็นโดนเลย ทำไมต้องเป็นเราล่ะ มันนอกจากเหงาอย่างที่บอก มันยังน่าหดหู่มาก มากๆ ด้วยผมเลยคิดว่าผมอยากให้คนดูสัมผัสได้ถึงตรงนี้บางทีเขาอาจจะเข้าใจคนประเภทนี้ในสังคมมากขึ้นก็ได้

เข้าใจว่าทำตัวไม่ดี แต่ก็น่าสงสารนะ ไม่ใช่ว่าเกลียดเขาอย่างเดียว น่าสงสารมากครับ ถ้าได้รู้จัก ผมว่าน่าสงสารมากแล้วผมก็รู้สึกว่าตัวละครใต้หล้าก็รู้สึกอย่างนั้นลึกๆ ว่าหิรัญน่าสงสาร

ต่อ:  ต้องรอดูที่ตอนที่เห็นในนั้นมากกว่าจริงๆ ไบร์ทรู้ตั้งแต่เวิร์คชอปวันนั้นแล้ว  มันก็เป็นสาเหตุที่มันต้องแก้ หมายถึงบทที่มันเขียนมาตอนแรก ไบร์ททำให้ผมเจออีกมิติด้วยซ้ำของใต้หล้า ที่มันแบบหือ…มันมีทางแบบนี้ด้วยเหรอ แต่เราดันรู้สึกจริงๆ แล้ววันนั้นทุกคนในห้องเวิร์คชอปก็ดูสนใจสิ่งนี้ว่ามันคืออะไรวะ แบบ… ไม่ขมุกขมัว จนสุดท้ายมันเลยเป็นต้นเหตุที่เราเล่นซีนสุดท้ายแบบนั้นด้วยนะผมว่า

 

เรื่องนี้ต้องไปอัพสกิลอะไรกันบ้างคะ                             

ต่อ: ภาษาจีนครับ ก่อนหน้านี้ลงเรียนบีกินเนอร์ไว้ แต่พอเจอบทจริงๆ บีกินเนอร์ใช้ไม่ได้ ก็เลยต้องเรียนเพิ่มอีก มันมีศัพท์เฉพาะหลายๆ อย่างที่พอผมไปเปิดดิก เหมือนจะรู้ว่าอ๋อ อันนี้ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ผมนั่งเปิดดิกแล้วแกะทีละตัวอักษรจีนออกมาก่อน แล้วก็ค่อยๆ แกะตัวนี้ แปลว่าอะไร ถ้าตัวนี้รวมกับตัวนี้แปลว่าอะไร แกะอย่างนี้ทั้งเรื่อง แล้วก็ค่อยประกอบ ก่อนที่จะยัดมันเข้าไปในหัวเรา

ไบร์ท:  ตีกอล์ฟๆ ไม่เคยตีกอล์ฟเลย ในชีวิตไบร์ทไม่เคยตีกอล์ฟเลย เป็นกีฬาคนรวย หิรัญต้องเป็น มันคือทำอะไรไม่เป็นนอกจากตีกอล์ฟ เพราะฉะนั้นมันต้องตีกอล์ฟเก่ง

ต่อ: เดี๋ยวไล่ให้ นี่จำได้ กอล์ฟ… แล้วก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่ไบร์ทต้องหัดเป็นคนที่ไม่สมประกอบ อีกอันที่รู้สึกคือ ฮาวทู ทำนิ้วปลอมให้เนียน ที่ต้องใส่อันนั้นไว้

ไบร์ท:  นิ้วปลอมไม่ได้ทำอันเดียวแล้วจบนะ ที่ใช้ในเรื่อง คือทำหลายที่นะครับ มันไม่เนียน สีไม่เนียน เท็กซ์เจอร์ไม่เนียน มันต้องทำให้เหมือนนิ้วจริง แต่ให้ดูจากกล้องแล้วรู้ว่าเป็นนิ้วปลอมตอนไม่ได้ใส่นิ้วเทียมจะลำบากนิดนึง มันเป็นฉากที่ไม่เห็น เป็นฉากที่ด้วนอยู่ ก็จะลำบากหน่อย เพราะเหมือนเราจะเกร็งไปทั้งตัว ไม่ได้เกร็งแค่นิ้ว มันไปหมดเลย

ต่อ-ไบร์ท

ไลน์อัพนักแสดงเรื่องนี้คือปังมาก

ต่อ:  เรื่องนี้ผมขอบคุณช่องวันจริงๆ คือผมเพิ่งเคยเห็นการที่…ปกติคือชื่อที่คาดหวัง เราไม่แน่ใจหรอกว่ามันจะตรงมั้ย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมเห็นว่า ชื่อที่คาดหวังไม่หลุดเลยสักชื่อ ผมรู้สึกอยากขอบคุณพี่ๆ ที่ให้เกียรติและสละเวลามาเล่น เพราะว่าทุกคนเขาเก่งจริงๆ ผมรู้สึกว่าถ้าเรื่องนี้ออกมาดีได้ ไม่ใช่เพราะใครคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่าเพราะรอบๆ ตัวผมช่วยมากๆ

อาตู่น่ารักมากครับ แต่ผมเคยเห็นอาตู่หงุดหงิดแล้ว คือตอนพูดจีน อันนั้นคือซีนที่ยากสุดแล้ว คือเขาติดคำนี้ มันไม่เข้าปาก สุดท้ายอาโยนบท ซึ่งม้วนจนยับไปหมด แล้วบอก “มาๆๆ” ปรากฏว่าอาไม่ได้ถอดแว่น แล้วจะเล่นยังไง (บทหยางของอาตู่ต้องไม่ใส่แว่น) คือสมาธิมาละในหัวมีแต่ภาษาจีน แล้วก็ไม่ถอดแว่น ทุกคนก็พยายามแบบ เอ่ออ่า… (ทำท่าประกอบว่าอาต้องถอดแว่นก่อนคร้าบ) คืออาจะมีรังสีบางอย่าง…

ไบร์ท:  ตอนแรกก็รู้สึกเหมือนกันนะ ไม่กล้าคุยด้วย สวัสดีแล้วต้องรีบชิ่ง

ต่อ: แต่ความจริงเขาน่ารักตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอเขาเลย แรกๆ คือการเดินผ่านเขาเป็นเรื่องยากเหมือนกันนะเพราะรู้สึกว่า หรือเขานั่งมุมเพราะไม่ชอบให้ใครเดินผ่าน เขาคุยมั้ยวะ มันจะมีอะไรอย่างนี้ที่รู้สึกไปเอง โดยที่จริงแล้วคือ เขาปกติมาก ถ้าถามอะไรเขาก็ตอบได้หมด

สิ่งที่ยกนิ้วให้เขาจริงๆ เลยคือ ตั้งแต่เล่นกับอาตู่มา ผมรู้สึกว่าเขาเป็นรุ่นใหญ่ที่ปรับตัวโคตรเก่ง ผมได้เห็นอาตู่อิมโพรไวส์ครั้งแรกในชีวิตในเรื่องนี้ เล่นนอกบทจริงๆ

 

รู้สึกว่าพิเศษมากๆ แล้วก็ผมจะมีปัญหาเวลาเล่นซีนที่มันระเบิดมากๆ คือผมเป็นคนที่เล่นแล้วไม่รู้ตัวบ่อย เราก็จะเป็นห่วงคู่เล่น แต่อาตู่เป็นหนึ่งในคนที่… เขาเอาอยู่จนแบบอยู่จริงๆ เหมือนบางซีน ผมงงมากเวลามาดูเพลย์แบ็กว่า เขารู้ได้ไงว่าหยุดเราควรจะจับเราตรงอวัยวะส่วนไหน มัน meaning ทุกอย่างดู… เขาเทพอะ

พี่เผือก ผมว่าน่าจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ แบบที่หลายคนไม่เคยเห็น พี่เผือกทำผมเสียน้ำตาบ่อยมาก ในเรื่องนี่แหละ หมายถึงเขาเล่นในเรื่อง แต่ผมนอกเรื่อง เป็นคนดูเขาเล่น มันเป็นมู้ดแบบที่ว่า… คิดว่าพี่เผือกเล่นตลกเหรอ ก็ประมาณหนึ่ง คิดว่าพี่เผือกเล่นดราม่าเหรอ หืม แต่ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้นได้ ต้องดูครับ

พี่โอ นี่คือคนเดียวที่แบบตั้งแต่… มะลิลา คือ… พลังเขาล้นเหลือ จนแบบว่าหลายๆ ซีนผมต้องขอพี่สันต์ว่าเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนชุดได้มั้ย ขอดูเขาก่อน เป็นผู้ชายที่ขยับอะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่ามีของให้ได้ตลอดจริงๆ

พูดถึงเรื่องการสวิงอารมณ์ของเขา คือผมเพิ่งจะหัดสวิงได้หลังจากที่เคยเล่นออทิสติก หรือไบโพล่าร์ใดๆ แล้วเรารู้สึกว่านั่นมันเร็วมากแล้ว แต่เวลาผมเห็นพี่โอเล่น มันเหมือนกับเราอยู่กันคนละลีก เหมือนพี่อยู่ในอีกมิติหนึ่ง พี่ข้ามมิติมาเหรอ พลังมันตู้ม! ออกมา พลังเยอะมาก แต่พอตัวจริง น่ารัก ปุ๊กปิ๊ก น่ารักมากเลย แล้วก็คุยเก่ง

ต่อ-ไบร์ท

ไบร์ท: ผมจำภาพพี่โอจากในละคร ในหนัง พอมาเจอตัวจริง ห๊ะ! พี่โอน่ารักกว่าที่คิดไปไกลมาก น่ารักแบบผมคาดไม่ถึงเลย ไม่ถึงเลย เขาน่ารักมาก ชวนคุย เดินมาหยอก ไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำตอนนั้น

และผมต้องขอบคุณที่พี่ดอม ที่เล่นเป็นพ่อ เพราะว่าในเรื่อง ในวัยเด็กถึงมหาลัย หิรัญจะถูกพ่อตีกรอบ พ่อจะตีกรอบไว้ชัดเจนมากๆ ต้องทำอย่างนี้ๆๆๆๆ ถ้าไม่ได้ก็ทุบตี คาดหวัง ซึ่งถ้าไม่ใช่พี่ดอม ผมอาจจะไม่กลัวขนาดนี้ก็ได้ เพราะพื้นฐานตัวเราเอง ห่างไกลกับคำว่ากลัวพ่อมาก ต้องขอบคุณตอนเวิร์คชอปด้วยทำให้แบบ ให้เราตัวสั่นเวลาเขาพูดใส่เรา แล้วพอเป็นพี่ดอมเขาก็เล่นได้แบบสุดมากครับ บทจะเสียงดังใส่เรา เราก็กลัว บทจะพูดเบาๆ ใส่เรา เราก็กลัว กลัวแบบเข้ากระดูก กลัวตาย ไม่ใช่แค่กลัวพ่อด่า มันคือกลัวไปถึงเบอร์นั้นเลย

 

ต่อ:  กับเบญตั้งแต่เจอกันตอนหัวใจศิลา แต่พอมาเจอเบญเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่า… เหมือนเป็นเบญร่างทอง เขาเรียกยังไงดี

ไบร์ท: เป็นช่วงท็อปฟอร์ม

ต่อ:  บวกกับที่เบญมีน้องชายจริงๆ แต่ผมดันเป็นคนที่เคยอยากมีน้องสาว มันเลยทำให้จิ๊กซอว์นี้พอดี จริงๆ คนดูจะเก็ตแล้วว่าความสัมพันธ์ อย่างใต้หล้ากับฟ้ารุ่งมันคือ… พี่ที่ดูเป็นน้อง กับน้องที่ดูเป็นพี่ มันเลยเข้ากันตรงที่ว่า ผมก็อยากมีน้องอยู่แล้ว การที่ผมเป็นน้องไม่ได้ติดเลย เพราะทำตัวเป็นพี่อยู่แล้ว ในฐานะที่เขารู้ความรู้สึกตัวเอง เขามีน้อง เขาจะรักน้องได้ยัง ผมว่าเคมีพี่น้องแบบนี้ผมชอบมาก

แล้วพอตัดมาเจอฟีลของอากาศ นี่เป็นบทที่เราหาเหมือนกัน หมายถึงความรักที่แบบ… โอเค ความรักมันไม่น่าจะสวยหรู ไม่ได้เรียบง่าย ไร้อุปสรรค เราต้องมีอุปสรรค แต่หมายถึงว่า นี่คือความรักที่ไม่ได้เกิดโดยการแก่งแย่งและชู้สาวใดๆ มันคือความรักที่…รักสมัครใจนะเออ… เป็นความรู้สึกนี่แหละ เลิฟ สำหรับผมนะ มันเลยเป็นเคมีที่เป็นคู่รักที่เราพร้อมซัพพอร์ตซึ่งกัน

 

ไบร์ท:  ส่วนกับฟ้ารุ่งจะเป็นความรักที่แบบ… ตอนเวิร์คชอปผมว่ามันยากมากสำหรับผม ผมไม่คิดว่าผมจะทำได้ คำว่าอุปสรรคของคู่นี้ มันไม่ใช่อุปสรรคปกติ เป็นเรื่องที่พ่อเราไม่สามารถให้เราแต่งงานกับฟ้ารุ่งได้ ต้องแต่งงานกับไฮโซเหมือนกัน เพื่อประสานธุรกิจ อุปสรรคมันเยอะมากๆ มันคือความรักที่รักไม่ได้ทั้งคู่

 

ได้มาร่วมงานกันครั้งแรก ต่อ-ไบร์ท ประทับใจกันอย่างไรบ้าง

ไบร์ท:  คือ… เวลาที่ผมคิดว่าผมสุดแล้ว ผมเล่นกับเขา ผมจะได้คำตอบกลับมาตลอดว่า มันสุดได้กว่านี้เว้ย เวลาผมเห็นพี่เล่น ผมคิดว่าผมสุดแล้ว แล้วพี่เล่นกลับมา ทำไมเหมือนพลังมันไม่เท่ากัน เราเรียนรู้ว่าความจริงเราต้องสุดกว่านี้ พอเราคิดว่าเราไปได้อีก เหมือนมันทลายลิมิตไปทุกครั้งๆ กลายเป็นว่าเพดานเราสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาเลย เมื่อก่อนเราคิดว่าเท่านี้คือสุดแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ เรายังไปได้อีก ทำลายเพดาน

ต่อ:  ที่จริงผมก็รู้สึกแบบนั้นแหละกับไบร์ท จริงครับ ได้ยินยังสะดุ้งเลย ทำไมพูดสิ่งนี้ รู้สึกเหมือนกันเลย ผมรู้สึกกับการที่เราไม่ได้คุยอะไรกันมาก ไม่ดิ! ในกองเราก็คุย คุยเรื่องอื่นๆ ผมรู้สึกเหมือนไบร์ทเลย คือทุกครั้งที่ผมรู้สึกว่า เราสุดอยู่นะ สายตาผมที่เห็นก็รู้สึก ทำไมไบร์ทมันสุดจังวะ ผมรู้สึกว่า เทคหน้าต้องแก้ หรือเพราะสิ่งนี้มันเกิดขึ้นทั้งคู่ มันก็เลยไดร์ฟกันเอง เรื่องนี้เป็นละครดีที่ผมกล้ารับประกันว่าคือละครที่ดีเรื่องหนึ่งที่ดีด้วยนักแสดง ดีด้วยเนื้อเรื่อง แล้วก็เชื่อว่าคนดูที่ได้ดูจะชอบครับ

ต่อ-ไบร์ท

มิชชั่นก้าวต่อไปในการเป็นนักแสดงเป็นอย่างไรบ้างคะ 

ต่อ:  สำหรับผมนะครับ ในวัยนี้ ความคิดผมเปลี่ยนตลอดเวลา ณ วันนี้ ผมรู้สึกว่าชีวิตเรามันกลมกว่านั้น คือคนเราไม่มีใครอยากทำอะไรที่มันยากขึ้นไปตลอดชีวิตหรอก มันไม่ได้แปลว่า ต้องบทยากเท่านั้นเราถึงจะเล่น จริงๆ ทุกวันนี้ผมรู้สึกแค่ว่า ผมกับการแสดงก็ดูเป็นเรื่องบังเอิญ ผมอยากใช้ชีวิตเยอะขึ้นแล้วอยากลองปล่อยตัวเองมากกว่านี้ เพราะผมรู้สึกว่าชีวิตผมมันมักจะดึงอะไรใหม่ๆ เข้ามา อย่าเครียดกับงานถัดไปเลย รอให้มันมาตรงหน้าก่อน แล้วเราจะตอบตัวเองได้ ณ ตอนนั้นว่า เราอยากทำหรือเปล่า มันใช่สำหรับเราหรือเปล่า หรือจริงๆ แล้วกับคนอื่นมันอาจจะใช่กว่านะ

ไบร์ท:  ไบร์ทไม่เคยเลือกบทอะไรเท่าไร เขาให้อะไรมาก็เล่น พูดตรงๆ เลย เชื่อใจพี่ๆ ผู้บริหาร เขาคิดมาดีแล้ว เราคิดอย่างนั้นนะ เราก็ทำเต็มที่ทุกอัน

ความจริงไบร์ทเป็นคนขี้เกียจมาก แต่ว่าเรื่องนี้ไบร์ทไม่เคยปล่อยเรื่องบท ทุกคนเก่งหมด ไบร์ทไม่อยากเป็นคนที่อ่อนที่สุดในเรื่อง เราเลยค่อนข้างพุชตัวเอง เยอะมาก แต่ว่าในขณะที่เราพุชตัวเอง เราไม่ได้พุชไปพร้อมความเครียดเราพุชไปพร้อมความสุข กลายเป็นว่ามันสนุก พอเราสนุกคนดูก็น่าจะสนุก และหลังจากนี้ก็คง ยึดคอนเซปต์เดิม ทำไปสนุกไป มีความสุขไปด้วยในการทำงาน งานก็น่าจะออกมาดี

ต่อ-ไบร์ท

อยากให้ ต่อ-ไบร์ท เล่าถึงแง่มุมดีๆ จากใต้หล้าถึงคนดู

ไบร์ท: ในมุมมองไบร์ทนะ มันก็มีเรื่องเสียดสีสังคม สะท้อนสังคม มุมที่ชอบมีอยู่สองมุม มุมแรกคือมุมครอบครัว ไบร์ทว่าคนสมัยนี้ ยิ่งเป็นพ่อแม่ยุคใหม่ๆ หรือว่าคนที่เหมือนกับคุณเปี่ยมยศ พ่อของหิรัญ คนเลี้ยงลูกแบบนี้มีเยอะมากจริงๆ ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่อยากให้ดูเป็นตัวอย่างว่า หิรัญที่โดนเลี้ยงมาแบบนี้ โดนคาดหวัง โดนกดดัน สุด้ายแล้วจะทำให้เด็กโตมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน อยู่บ้านเขาอาจจะครับๆๆ ดีครับ แต่คุณไม่รู้หรอกว่าข้างนอกเขาทำตัวยังไง

ส่วนอีกมุมหนึ่ง ชอบมุมแรงบันดาลใจของชีวิตใต้หล้า เพราะว่าผมรู้สึกชีวิตจริงผมเหมือนชีวิตใต้หล้าเหมือนกันนะ ไม่ได้เกิดมาแบบกินหรู อยู่สบาย เกือบจะจนแล้วอีกนิดนึง แต่ว่าพอมีพอกินอยู่ ชีวิตพัดพาอะไรก็ไม่รู้ สุดท้ายแม้ในวันที่เขาล้ม ที่เลยคำว่าศูนย์ ไปถึงคำว่าติดลบ เขาก็ยังยึดมั่นในคุณธรรม ยึดมั่นในความดี เมื่อเราเป็นคนดี เราก็จะเจอแต่คนดีๆ รอบตัว จนวันหนึ่งที่เขามีทุกอย่าง อย่างที่เขาต้องการ มันน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนได้ ในการมุ่งมั่นทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง

 

ต่อ:  ผมว่ามันคือคำว่ายอมรับตัวเอง เรายอมรับทุกคนไปทั่วเลย แต่หลายๆ ครั้ง ผมยังเป็นเลย คือเราลืมยอมรับตัวเอง หรือให้คุณค่าตัวเอง จริงๆ แล้วตัวเราเองมีค่า แต่ทำไมทุกวันนี้เราถึงให้ค่าคนอื่นเต็มไปหมด ผมรู้สึกว่าคนที่กล้ายอมรับตัวเองต่างหาก คือคนที่พร้อมจะเปลี่ยน เพราะถ้าขนาดตัวเองยังไม่ยอมรับ เช่น ผิดก็รู้สิว่าผิด ถ้าผิดยังไม่รู้ว่าผิด แล้วมันจะแก้ได้ยังไง ขยายความได้อีกก็คือ เรื่องนี้กำลังจะพูดว่า เอาตรงๆ เราเป็นคน เราผิดได้ มันไม่มีใครถูกเสมอหรอก เราผิดได้ เราพลาดได้ และคำว่า “ความหวัง” ซึ่งมันนำไปสู่ “โอกาส” และสุดท้ายคือเรากำลังจะบอกว่า โอกาสมันควรมีให้กับทุกคน แต่มันไม่ใช่ทุกคนที่ควรได้โอกาสครับ

ต่อ-ไบร์ท

 

Text: AuAi 
Photo: เนาวพจน์ 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ขึ้นแท่น CEO ค่ายเพลง เปิดตัว วง PROXIE บอยกรุ๊ปน้องใหม่สู่เส้นทางไอดอล

ทำความรู้จัก ATLAS บอยแบนด์น้องใหม่ กับแพชชั่นในเส้นทางดนตรีที่มีเกินร้อย