ปัญหาสิว ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย …เมื่ออายุเพิ่มขึ้นปัญหาผิวก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ละช่วงวัยจะมีวิธีแก้ปัญหาผิวได้อย่างไร ไปหาคำตอบกับหมอเจี๊ยบ จาก The Clover Clinic กัน
นอกจากปัญหาผิวตามช่วงวัยแล้ว สภาพแวดล้อมก็เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่ภาวะแก่ก่อนวัยได้ และทุกวันนี้ปัจจัยที่มาทำร้ายผิวก็มีมากขึ้นพอๆ กับเทคโนโลยีในการดูแลผิว ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่คนวัย 30 ขึ้นไปที่หันมาใส่ใจปัญหาเหล่านี้ แม้แต่คนอายุ 20 ต้นๆ ก็เริ่มดูแลตัวเองกันมากขึ้น สุดสัปดาห์ได้พูดคุยกับ คุณหมอเจี๊ยบ – พญ.ศรินทิพย์ สุนทรัช แพทย์ผู้บริหาร The Clover Clinic ถึงปัญหาผิวของแต่ละช่วงวัยและวิธีการดูแลแก้ไข เป็นแนวทางสำหรับคนที่สนใจการดูแลผิวและเทคโนโลยีความงามในยุคนี้ …มาติดตามความรู้และทริคดีๆ จากคุณหมอกัน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อผิว
ปัจจัยภายนอก
“ปัจจัยภายนอกมีตั้งแต่มลภาวะ การสูบบุหรี่ หรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลทำให้เกิดภาวะเครียด และที่สำคัญก็คือแสงแดด เพราะแสงแดดมีผลต่อภาวะชรา (Aging) ของผิว เวลาผิวของเราแก่ตัวลง จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ Photoaging เป็นภาวะที่ผิวแก่ลงเพราะแดด เพราะในแสงแดดมีทั้งรังสี UVA UVB ที่จะมาทำร้ายผิวของเรา หรือแม้แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์ก็มีผลเช่นกัน ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน และเกิดปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสีผิวร่วมด้วย โดยภาวะ Photoaging จะเกิดควบคู่กับ Chronological aging ภาวะชราตามวัยซึ่งเป็นปัจจัยภายใน และทำให้ผิวแก่ก่อนวัยได้”
ปัจจัยภายใน
“ปัจจัยภายใน ได้แก่ ช่วงฮอร์โมน เช่น บางคนจะมีสิว มีผดขึ้นก่อนและหลังมีประจำเดือน นอกจากนี้ก็มีเรื่องของกรรมพันธุ์ คนที่เชื้อชาติต่างกันจะมีสภาพผิวต่างกัน อย่างคนเอเชียจะมีผิวดีกว่า ผิวแน่นกว่าคอเคเซียน นอกจากนี้ก็มีเรื่องของความเครียด รวมไปถึงอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนก็จะลดลง และทำให้ผิวของเราแก่ลง”
ปัญหาผิวในวัย 20 : ปัญหาสิวและรูปหน้า
ปัญหาสิว
“ถ้าเป็นวัยรุ่นหรือเด็กจบใหม่อันดับแรกจะเป็นเรื่องของสิว ในวัยรุ่น ต่อมไขมันยังผลิตน้ำมันได้ดีและบางครั้งอาจผลิตได้มากเกินไป เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว และมีรอยแดง รอยดำจากสิวตามมา”
ปัญหารูปหน้า
“นอกจากเรื่องสิวแล้ว ในวัยนี้จะมีหลายคนที่ต้องการปรับรูปหน้า อยากให้ใบหน้าเรียวเล็กลง หรือลดไขมันบริเวณแก้ม เพราะหลายคนในวัย 20 ก็ยังมีไขมันบริเวณแก้มกัน ซึ่งโดยทั่วไปไขมันบริเวณนี้จะลดลงตามวัยอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่อยากลดตรงนี้ลง ก็สามารถฉีดสาร Botulinum toxin Type A ตามแนวคางเพื่อช่วยปรับรูปหน้าให้ยาวมากขึ้น หรือทำหัตถการบางอย่างเพื่อลดไขมันบริเวณแก้ม และช่วยให้หน้าดูเรียวขึ้น”
ปัญหาผิว ในวัย 30 : ปัญหาผิวเริ่มเด่นชัด
รูขุมขนกว้าง
“เมื่อเข้าสู่วัย 30 ปีเป็นต้นไป คนเราก็จะเริ่มมีปัญหาเรื่องของสภาพผิวเพิ่มขึ้น หลายคนมีรูขุมขนกว้างขึ้น ซึ่งสาเหตุก็มี 2 แบบด้วยกัน แบบแรกคือ รูขุมขนกว้างจากสภาพผิวมัน (Oily Skin) ซึ่งเกิดจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันได้เยอะ ผิวมีความมันมากขึ้น ส่วนอีกกลุ่มคือ รูขุมขนกว้างขึ้นจากการที่คอลลาเจนลดลง ส่งผลให้เห็นรูขุมขนชัดเจนมากขึ้น
“เราสามารถทำให้ปัญหาผิวเหล่านี้ดีขึ้นได้ด้วยเครื่องมือหรือหัตถการบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องยกกระชับ การทำเลเซอร์ หรือการฉีดงานผิวที่ช่วยให้ผิวดีขึ้น มีความกระชับตามสภาพโครงร่างของแต่ละบุคคล ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพราะตั้งแต่อายุ 25 ปีเป็นต้นไป คอลลาเจนก็จะเสื่อมถอย สร้างได้น้อยลงทุกปี”
ความหย่อนคล้อย
“ในช่วงอายุ 30 เป็นต้นไปก็จะเริ่มมีปัญหาความหย่อนคล้อย ในส่วนนี้จะมีการใช้เครื่องยกกระชับมาช่วยยกผิวขึ้น ผลของการใช้เครื่องยกกระชับจะอยู่ได้ตั้งแต่หลักเดือนจนถึงระยะยาวเป็นปี ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เลือกใช้ นับเป็นการดูแลรักษาผิวในระยะยาว”
ริ้วรอย
“ความกังวลอีกอย่างในวัยนี้คือริ้วรอยที่เพิ่มขึ้น เราสามารถทำให้ริ้วรอยแลดูลดลงได้ด้วยการฉีดสาร Botulinum toxin Type A เข้าไปช่วยลดเลือนริ้วรอย หรือในปัจจุบันจะมีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) ซึ่งสารเหล่านี้จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวและอยู่ได้นานหลักปี”
ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ
“อีกปัญหาที่เริ่มเห็นชัดเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป คือปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสีที่ทำให้สีผิวดูไม่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะฝ้า กระ กระเนื้อ ปัญหาเหล่านี้ต้องใช้เลเซอร์ในการรักษาหรือไม่ก็การทายาควบคู่กับการทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพราะแสงแดดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหานี้รวมไปถึงปัญหาอื่นร่วมด้วย”
ปัญหาผิว ในวัย 50 ปีขึ้นไป : ผิวเสื่อมสภาพจากภาวะชรา
ผิวชั้นบน
“สำหรับคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ผิวจะเสื่อมสภาพจากความแก่ชรา และมีสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเร่งให้ผิวแก่เร็วขึ้น พออายุมากขึ้น เราจะไม่ได้มีปัญหาผิวแค่ปัญหาเดียว แต่จะมีปัญหาในหลายชั้นผิวร่วมกัน เพราะเวลาผิวคนเราแก่ลง ผิวจะแก่ไปพร้อมกันทุกชั้นผิว
“อันดับแรกก็ต้องตรวจดูก่อนว่าผู้รับบริการมีปัญหามากน้อยแค่ไหน แล้วดูว่าเราควรแก้ปัญหาผิวด้วยการใช้เครื่องหรือการศัลยกรรม ถัดไปต้องดูความสมัครใจของผู้รับบริการว่าสมัครใจจะผ่าตัดหรือไม่ หรือใช้เครื่องช่วยจะสบายใจกว่า
“สำหรับผิวชั้นบน ถ้าต้องการให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น ก็สามารถฉีด Botulinum Toxin ให้ริ้วรอยแลดูจางลงได้ หรือถ้าต้องการงานผิวให้ดีขึ้น ก็ฉีดสารเติมเต็มงานผิว หรือใช้สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน นอกจากนี้ก็มี Proteoglycan ซึ่งเป็นสารน้ำที่หล่อเลี้ยงผิวให้ดูฉ่ำขึ้น”
ชั้นไขมัน
“ชั้นถัดมาคือชั้นไขมัน เราสามารถใช้เครื่องที่ปล่อยคลื่น Monopolar RF มาช่วยเพื่อให้ผิวดีขึ้น แน่นขึ้น กระชับขึ้น และสามารถทำร่วมกับการฉีดสารต่างๆ ได้”
ชั้น SMAS
“ชั้นถัดลงมาคือ ชั้น SMAS เป็นชั้นที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังและชั้นไขมัน ชั้น SMAS คือชั้นที่ศัลยแพทย์จะดึงและเย็บเวลาทำการผ่าตัด ซึ่งเราก็จำเป็นจะต้องมีเครื่องมือที่ไปทำงานกับผิวชั้นนี้ นั่นก็คือ อัลตราซาวด์ โดยอัลตราซาวด์ที่ใช้จะไม่เหมือนที่โรงพยาบาลใช้กัน เครื่องนี้จะมี Real-Time Visualization ที่สามารถเอาไปทาบกับหน้าเพื่อดูผิวข้างในได้ แพทย์ก็จะรู้ว่าเราส่งพลังงานไปถึงชั้น SMAS หรือยัง ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ชั้นกระดูก
“เวลาที่เราแก่ขึ้น เราไม่ได้แก่แค่ชั้นผิว แต่เราแก่ไปถึงกระดูก ในวัยนี้กระดูกจะมีความกร่อนมากขึ้น วิธีการเติมเต็มชั้นกระดูกกับไขมันชั้นลึกได้ คือการฉีดสารเติมเต็มที่เป็น Hyaluronic Acid เข้าไป เพื่อเสริมให้ผิวฟูขึ้น ช่วยเติมเต็มผิวชั้นลึกได้ และสารอีกตัวที่จะแก้ปัญหาโครงสร้างบริเวณแนวสันกรามก็คือสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่มีส่วนผสมของ Calcium Hydroxyapatite ช่วยให้กรอบหน้ามีความชัดเจนมากขึ้น
“ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นปัญหาผิวโดยเฉลี่ยของแต่ละช่วงวัย แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในวัยนั้นจะต้องมีปัญหาผิวแบบเดียวกันเสมอไป เวลาผู้รับบริการเข้ามา เราต้องวินิจฉัยให้เหมาะสมกับสภาพผิวของคนๆ นั้น เพราะบางทีก็พบเคสที่มีอายุ 20 ปลายๆ แต่ต้องทำยกกระชับแบบคนอายุ 30 หรือ 40 เพราะโครงสร้างใบหน้ามีคางสั้น กระดูกแนวกรามสั้น ทำให้แก้มห้อยได้ง่าย จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือยกกระชับไปช่วย และอีกเคสที่พบบ่อยคือคนไปผ่าตัดศัลยกรรมที่เกาหลี ไปทุบโหนก เหลากรามแล้วทำให้จุดที่เป็นเหมือนหมุดยึดผิวแข็งแรงน้อยลง ทำให้แก้มที่เคยอยู่ข้างบนห้อยลงมา หรือบางคนที่ฉีดไขมันเพิ่ม แก้มก็จะคล้อยลง เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถระบุได้อย่างเฉพาะเจาะจงว่าแต่ละวัยต้องทำอะไร แต่เป็นการพูดถึงโดยเฉลี่ยว่าแต่ละวัยมีปัญหาอะไร แล้วเราสามารถแก้ปัญหาได้อย่างไร ทั้งนี้ ในการรักษา แพทย์ต้องวินิจฉัยเป็นรายบุคคล จึงเป็นเหตุผลว่าในการเข้ารับบริการใดๆ ควรต้องได้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ”
การดูแลผิวให้ดีทั้งภายในและภายนอก
สกินแคร์
“สกินแคร์ชิ้นแรกที่ต้องมีติดบ้านก็คือ กันแดด เป็นสกินแคร์ที่ต้องใช้ทุกวัน ไม่ว่าจะออกไปข้างนอกหรืออยู่ในบ้าน ยิ่งใช้เร็ว ใช้ตั้งแต่อายุน้อยก็จะดีต่อผิว และต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมคือ 2 ข้อนิ้วชี้ ทาให้ทั่วหน้า อีกอย่างที่ต้องรู้คือคุณสมบัติกันน้ำที่อยู่ในครีมกันแดด เมื่อสัมผัสกับน้ำจะอยู่ได้ประมาณ 90 นาทีเท่านั้น ดังนั้นต้องทาซ้ำเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตลอดวัน
“สกินแคร์อีกอย่างที่ต้องมีติดบ้านคือ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพราะเมื่ออายุเยอะขึ้น ผิวก็จะแห้งขึ้น และในส่วนของสกินแคร์ที่เหลือที่กำลังเป็นกระแสอย่าง เรตินอล ก็สามารถใช้ได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิมว่าเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน หรือมีความไวต่อสารต่างๆ มากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้เลือกให้ถูกต้องเหมาะสม”
อาหารการกิน
“บางคนอาจจะบอกว่ากินช็อกโกแลตแล้วเกิดสิว หรือกินอาหารบางอย่างแล้วสิวขึ้น ในส่วนนี้ก็มีการตรวจดูแนวโน้มของร่างกายว่าแพ้อาหารอะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม ไม่มีงานวิจัยด้านผิวหนังเผยแพร่ออกมาว่าจำนวนประชากรที่กินช็อกโกแลตแล้วเกิดสิวมีเยอะ ดังนั้นเราเพียงแค่รู้ตัวและระวังไว้ เพราะแต่ละคนอาจจะกินอาหารบางอย่างแล้วทำให้ผิวเกิดอาการอักเสบมากขึ้น ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ผิวเป็นสิว ไม่สบายง่าย ด้วยเหตุนี้จึงควรรู้ไว้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่กินอาหารประเภทนั้น แล้วทำให้ผิวดีขึ้น”
ปรับไลฟ์สไตล์ให้ผิวดีขึ้น
“อีกสิ่งที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้ดีขึ้น การพักผ่อนให้เพียงพอสำคัญมาก เพราะมีบางคนที่อดนอนแล้วผิวแห้งในวันรุ่งขึ้น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็มีผลต่อสมดุลฮอร์โมน ถ้าปรับไลฟ์สไตล์ได้ก็จะทำให้ผิวเราดีขึ้นจากภายใน”
การปรึกษาแพทย์
“นอกเหนือจากการดูแลผิวด้วยตนเองแล้ว อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือการปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยปัญหาผิวและแนะนำแนวทางการดูแลรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละคน เวลามีผู้รับบริการเข้ามา แพทย์ก็ต้องดูว่าแต่ละคนต้องการจะทำอะไร บางคนอาจจะมีปัญหาผิวหลายอย่างที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยเครื่องมือหรือหัตถการเดียว แพทย์จึงมีหน้าที่อธิบายให้ผู้รับบริการเข้าใจถึงปัญหา วิธีแก้ แล้วมาจัดลำดับความสำคัญในเรื่องที่ผู้รับบริการเป็นกังวล พร้อมกับดูเงื่อนไขอื่นของผู้รับบริการร่วมด้วย จึงจะเกิดเป็นผลลัพธ์ที่ดี มีประสิทธิภาพ ตรงใจ และได้ประโยชน์สูงสุด”
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวปัญหาผิวและการดูแลที่สุดสัปดาห์ได้พูดคุยกับคุณหมอเจี๊ยบเพื่อเก็บข้อมูลมาฝากผู้อ่านของเรา เมื่อมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วก็อย่าลืมดูแลสุขภาพผิวให้ดีตั้งแต่ภายในไปถึงภายนอกกันนะคะ
สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ The Clover Clinic โทร. 0868883459