อัพเดทเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE ที่เพิ่งเข้าไทยปีนี้กับ รมย์รวินท์ คลินิก …ปังจริงไหม ต่างจากตัวอื่นยังไง มาดูกัน!
เพิ่งเข้าไทยสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็เป็นที่พูดถึงในวงการความงามแล้ว สำหรับเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศมาพักใหญ่ พอมีการอิมพอร์ตเข้าเมืองไทย สุดสัปดาห์ เลยไม่พลาดที่จะไปเจาะลึกข้อมูลเด็ด ๆ จาก รมย์รวินท์ คลินิก มาอัพเดทคุณผู้อ่าน
งานนี้เราได้พูดคุยกับ คุณหมอออย พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ แห่งรมย์รวินท์ คลินิก ที่ถือว่าเป็นคลินิกลำดับแรกๆ ของเมืองไทยที่นำเข้าเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE มาใช้ในการดูแลผู้รับบริการ ตามมาทำความรู้จักเทคโนโลยียกกระชับตัวนี้ไปพร้อมกันเลยค่ะ!
รู้จักเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE …คืออะไร ต่างจากตัวอื่นอย่างไร
การปล่อยพลังงาน
“เทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE เป็นเทคโนโลยีที่ปล่อยพลังงานคู่ คือ Synchronized RF เป็นคลื่นวิทยุที่เข้าไปกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน ช่วยเรื่องผิวดูกระชับขึ้น แล้วก็ยังได้เรื่องของริ้วรอยเล็ก ๆ กับอีกพลังงานที่เป็นจุดเด่นของเทคโนโลยีนี้เลยก็คือ High Intensity Facial Electrical Stimulation (HIFES) ซึ่งเข้าไปกระตุ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเรา ในบริเวณหน้าผากและบริเวณกลางหน้า พอมันกระชับขึ้น บริเวณหน้าผากจะดูยกขึ้น ตาดูเปิดขึ้น โหนกแก้มดูลิฟต์ขึ้น” คุณหมอออยเริ่มอธิบายจากเรื่องพื้นฐานก่อน และเพื่อให้เห็นภาพคุณหมอออยได้ยกตัวอย่างให้เราฟังว่า
“เมื่ออายุมากขึ้นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ดึงลงจะออกแรงได้เยอะกว่า ทำให้หน้าดูคล้อยลง การไปกระตุ้นกล้ามเนื้อส่วนที่ทำให้หน้าเรายกก็เพื่อจะเอาชนะแรงดึงลงนั่นเอง”
ข้อแตกต่างจากเทคโนโลยีอื่น
เราเชื่อว่าหลายคนต้องสงสัยว่าแล้วเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE จะแตกต่างจากเทคโนโลยียกกระชับอื่น ๆ อย่างไร งานนี้คุณหมอออยอธิบายอย่างละเอียดว่า
“ผู้รับบริการมักจะเปรียบเทียบเทคโนโลยีตัวนี้กับการยกกระชับอื่น ๆ อย่างเช่นโปรแกรม Ulthera ซึ่งเป็นพลังงานในกลุ่มของ Ultrasound พลังงานที่ยิงจะลงไปที่ชั้น Smas ซึ่งเป็นชั้นพังผืดหุ้มกล้ามเนื้อที่หมอศัลยกรรมใช้ผ่าตัดดึงหน้า ช่วยทำให้หน้าดูกระชับและยกขึ้น แต่ไม่ได้มีผลกับกล้ามเนื้อโดยตรงเหมือนเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE เพราะฉะนั้นหลาย ๆ คนที่เริ่มทำโปรแกรม Ulthera ก็ยังเหมาะที่จะทำโปรแกรม EMFACE ด้วยเหมือนกัน เพราะการทำงานจำเพาะเจาะจงไปที่คนละชั้นผิว
“หมอคิดว่าจุดสำคัญอยู่ที่เราใช้ให้เหมาะกับปัญหา เพราะตอนนี้เรามีเทคโนโลยีให้เลือกเยอะ ทุกตัวอาจจะดีหมด แต่ตัวไหนจะทำให้เรารู้สึกว่าทำแล้วเห็นความต่าง อันดับแรกต้องดูที่ความต้องการของผู้รับบริการเองก่อนว่ากังวลอะไร เช่น ถ้ากังวลเรื่องผิว อยากกระชับรวม ๆ แก้มดูเล็กลง ผิวหน้าดูเด้ง ๆ ใส ๆ อาจจะเหมาะกับโปรแกรม Thermage ถ้ารู้สึกว่าอยากได้ความลิฟต์ คิ้วยก หน้ายก ตัวโปรแกรม Ulthera ก็จะจำเพาะกับชั้น Smas ช่วยให้เห็นกรอบหน้าชัดขึ้น แต่ในบางคนที่อายุเยอะ ๆ ผ่านการใช้กล้ามเนื้อมาหนักมาก รู้สึกหน้ามันตกไปเยอะแล้ว เคสแบบนี้น่าจะเหมาะกับเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE กับอีกกลุ่มที่เหมาะคือกลุ่มผู้รับบริการที่ไม่สามารถใช้สารลดเลือนริ้วรอย ทั้งจากการดื้อยาหรือกลัวเข็ม เพราะว่าเทคโนโลยีในกลุ่มอื่นไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม Thermage หรือโปรแกรม Ulthera ยังดูแลเรื่องของแรงกล้ามเนื้อไม่ได้
รมย์รวินท์ คลินิก กับเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE
เนื่องจากเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE เพิ่งเข้าไทยเมื่อต้นปี 2023 นี้เอง เราจึงอยากรู้ว่าอะไรทำให้รม รมย์รวินท์ คลินิก ตัดสินใจนำเครื่องตัวนี้มาใช้ดูแลผู้ใช้บริการของรมย์รวินท์ได้ลองใช้
“อย่างที่บอกว่าเครื่องมือแต่ละเครื่องมันจำเพาะกับชั้นผิวไม่เหมือนกัน ต้องเข้าใจก่อนว่าเวลาเราอายุมากขึ้น ชั้นผิวมันจะแก่ลงทุกชั้น ไม่ใช่ว่าเลือกว่าคนนี้เสื่อมแค่ชั้นไขมัน คนนี้เสื่อมแค่กระดูก แต่มันเสื่อมลงทุกชั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เราต้องการผลลัพธ์ที่เรียกว่า Perfect กับผู้รับบริการก็ต้องกระตุ้นในหลายชั้นผิว อย่างตัวนี้มันลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อซึ่งมันก็ยังไม่มีเทคโนโลยีไหนที่ทำได้ก็เลยคิดว่าตอบโจทย์ แล้วก็สามารถมาทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้เยอะค่ะ
“ผู้รับบริการที่ได้ทดลองเทคโนโลยีนี้ค่อนข้างชอบเพราะเป็นตัวที่ไม่ต้องเครียดในการตัดสินใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องจะเจ็บไหม จะมีรอยไหม ต้องพักฟื้นไหม ทำแล้วไม่เจ็บ ใช้เวลาน้อยมาก ช่วยให้หน้าดูกระชับ แก้มดูยก ตาดูเปิดขึ้น เป็นอะไรที่น่าลองสำหรับคนที่ชอบอะไรใหม่ ๆ แล้วก็เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเร่งด่วน ถึงจะเพิ่งเข้าไทยแต่ตัวนี้ก็ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากกลุ่มผู้รับบริการเก่าและใหม่ค่ะ เป็นที่นิยมในกลุ่มวัย 30+ โดยเฉพาะกลุ่ม 40-50 ปี”
เหมาะกับใคร แก้ปัญหาอะไร ทำได้ในช่วงอายุเท่าไหร่
สำหรับเรื่องนี้คุณหมอออยอธิบายว่าการดูแลตัวเองด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ นั้นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ การทำตั้งแต่อายุยังไม่มาก ถือเป็นการป้องกัน เหมือนการที่เราออกกำลังกายอยู่เสมอเพื่อบริหารกล้ามเนื้อ กับการทำตอนอายุเยอะซึ่งปัญหาเกิดขึ้นแล้ว อาจจะช่วยได้บ้างแต่ไม่ทั้งหมด
“ถ้าให้แนะนำอายุขั้นต่ำที่คอลลาเจนเริ่มเสื่อมก็คือ 25 ปีจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาชนะแรงตกหรือความไม่กระชับของผิว
“สำหรับตัวเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE นี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่ายิงพลังงานไปที่ชั้นกล้ามเนื้อ ฉะนั้นสิ่งที่หวังผล คือ การดูแลปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อย โดยเฉพาะความหย่อนคล้อยจากกล้ามเนื้อ เช่น คนที่หนังตาตกจนต้องเลิกหน้าผากเพื่อสู้แรงตก กลุ่มนี้จะรู้สึกว่าตาเปิดขึ้นเพราะเมื่อกล้ามเนื้อยก ใบหน้ามันก็กระชับขึ้น ผิวตาก็จะเปิดขึ้น หรือคนที่มีปัญหาจากกล้ามเนื้อตกหล่นอย่างร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก กรอบหน้าไม่ค่อยคม เมื่อกระชับบริเวณนี้เขาจะยกขึ้นช่วยให้ปัญหาดูดีขึ้น นอกจากนี้ผิวจะดูมีความกระชับ ดูละเอียดและดูอิ่มฟูขึ้น จากพลังงาน RF ที่ยิงควบคู่กัน
“ในส่วนของเรื่องช่วงอายุไม่ได้มีข้อจำกัดอะไรค่ะ เพราะการกระตุ้นกล้ามเนื้อก็เสมือนการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนที่ดึงขึ้น ไม่ได้มีอันตรายอะไร ใช้เวลาไม่เยอะ แล้วก็ทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้หมด เพียงแต่มีข้อจำกัดสำหรับคนที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจหรือติดอุปกรณ์สื่อไฟฟ้าในร่างกาย หรือมีโรคบางอย่าง ซึ่งในขั้นตอนปรึกษาคุณหมอจะซักประวัติและตรวจสกรีนให้เบื้องต้น”
ข้อควรรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีของโปรแกรม EMFACE จากคุณหมอออย
ถึงตรงนี้เชื่อว่าผู้อ่านน่าจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีตัวนี้มากขึ้นพอสมควรแล้ว ก่อนจะจบการพูดคุยเราจึงขอข้อแนะนำในการเลือกทำโปรแกรมนี้จากคุณหมอ รวมทั้งเทคนิคการดูแลตัวเองหลังทำเพื่อให้ผลที่ได้อยู่นานอย่างที่ควรเป็นมาฝาก
“การใช้เทคโนโลยีตัวนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่มันไม่ง่ายนะคะ เพราะว่าต้องแม่นกายวิภาคของกล้ามเนื้อต่าง ๆ บนใบหน้า และต้องดูการขยับของกล้ามเนื้อบนใบหน้าผู้รับบริการด้วย เพื่อวางตรงจุดที่จะกระตุ้นกล้ามเนื้อการยกใบหน้าได้มากที่สุด
จุดสำคัญคือการวางเครื่องมือต้องแม่นยำ และต้องมีการติดตามการทำงานของเครื่องว่าการยกกล้ามเนื้อตรงจุดไหม เท่ากันสองข้างไหม ต้องปรับเครื่องอีกไหม ไม่ใช่ว่าเซ็ตเครื่องเสร็จแล้วปล่อยไปเลย 20 นาที
“ดังนั้น หัตถการนี้ควรต้องทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและใส่ใจดูแลตลอดการทำค่ะ เพราะแม้เป็นเครื่องเดียวกันแต่เทคนิคและรายละเอียดต่าง ๆ ล้วนมีผลต่อผลลัพธ์ที่จะได้ นอกจากนี้ หมอคิดว่าการที่ผู้รับบริการเดินเข้ามาหาแล้วแพทย์สามารถวินิจฉัยปัญหาในภาพรวมได้ เช่น ปัญหาเหมาะกับหัตถการไหน ควรทำอะไรควบคู่ไหม ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร ฯลฯ จะทำให้ผู้รับบริการมีความเข้าใจในทางเลือกต่าง ๆ รู้สึกมั่นใจและไว้วางใจมากขึ้น
“ในส่วนของการดูแลตัวเองหลังทำ เนื่องจากเทคโนโลยีตัวนี้ไม่ได้มีบาดแผลหรือสร้างการบาดเจ็บในชั้นผิวจึงไม่มีอะไรต้องระวังเป็นพิเศษ ผู้รับบริการชอบถามว่าทำแล้วไปปาร์ตี้ได้ไหม หมอจะบอกว่าสามารถใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ปกติได้เลย แต่ถ้าให้แนะนำจะเป็นเทคนิคในการดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้ริ้วรอยถามหาหรือกลับมาเร็วเกินควรมากกว่า นั่นคือการมีสติ เช่น ถ้าเรารู้ตัวว่าติดขมวดคิ้ว ติดทำปากคว่ำ ซึ่งการทำย้ำ ๆ ตลอดเวลามันก็ทำให้เกิดริ้วรอย เมื่อรู้ตัวก็พยายามไม่ทำ ทริคง่าย ๆ คือ วางกระจกไว้ที่โต๊ะ พอเห็นจะได้รู้ตัวและไม่ทำ หรือการใส่แว่นกันแดดเมื่อออกไปข้างนอกก็ช่วยได้เพราะเราจะได้ไม่ต้องหรี่ตาหรือหยีตาซ้ำ ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วย Maintain เฉพาะตัวนี้นะแต่ช่วยกับทุกเทคโนโลยีเลยค่ะ”
ขอบคุณ พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ รมย์รวินท์ คลินิก
ติดตามข้อมูลและบริการที่น่าสนใจของรมย์รวินท์ คลินิก ได้ที่ www.romrawinclinic.com หรือสอบถามได้ที่รมย์รวินท์ คลินิกทั้ง 24 สาขา Tel: 080-153-9000 หรือ 080-154-9000 Line @romrawinclinic FB: Romrawin Clinic