ใครๆ ก็อยากหน้าเป๊ะผิวปังกันทั้งนั้น แต่ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นเราก็ไม่อาจหยุดความเปลี่ยนแปลงได้ โชคดีมากๆ ที่สมัยนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาให้เลือกมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือเทคโนโลยี MMFU สิ่งนี้คืออะไร ปังยังไง ทำไมถึงป็อป ตามมาหาคำตอบจากคุณหมอฝน แห่ง Rainnie Clinic กัน
อย่างที่บอกไปว่าเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาเยอะ ทำให้เรามี “ทางเลือก” ในการดูแลตัวเองให้เหมาะกับปัญหา ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมและเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้นในช่วงปีหลังๆ ก็คือ MMFU เอ๊ะ…มันคืออะไร ทำไมถึงน่าสนใจ งานนี้เราได้พูดคุยกับ คุณหมอฝน พ.ญ.พัทธนันท์ ทรัพย์ไพบูลย์ผล แพทย์ผู้ก่อตั้ง Rainnie Clinic อย่างละเอียด และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย …ตามมาอ่านกันเลยค่ะ!
MMFU คืออะไร
MMFU ย่อมาจาก Macro & Micro Focused Ultrasound ซึ่งพัฒนามาจากเครื่องอัลตร้าซาวด์ที่เมื่อก่อนเราใช้ในทางการแพทย์ แต่ในทางความงามจะมีการนำมาปรับโดยบีบพลังงานลงให้โฟกัสได้มากขึ้น เป็นที่มาของชื่อ Focused Ultrasound ทีนี้พลังงานที่เขาบีบลงมานี้ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากใช้ที่ความลึกเท่าไหร่ อาจจะลึก 4.5 มิลลิเมตร ก็สามารถโฟกัสไปที่ชั้นความลึกนั้นโดยที่ไม่โดนผิวหนังด้านบนเลย หรือถ้าเราอยากโฟกัสที่ชั้น 3 มิลลิเมตรจากผิวก็เลือกโฟกัสได้ ทำให้เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตามปัญหาของคนไข้
การใช้กับชั้นผิวที่ต่างกันให้ผลต่างกันอย่างไร
การยิงพลังงานลงไปที่ระดับความลึกของชั้นผิวต่างกันจะให้ผลที่แตกต่างกัน แพทย์จึงสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับปัญหา อย่างเช่น หัวที่ยิงลงไปในชั้นผิว 4.5 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นชั้น Smas จะช่วยในเรื่องของการยกกระชับผิว ทำให้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยดีขึ้น
ในขณะที่หัวสำหรับยิงพลังงานที่ 3 มิลลิเมตร จะโฟกัสที่ชั้นไขมันกับชั้นผิวด้านล่างซึ่งเป็นผิวชั้นลึก เหมาะกับการดูแลปัญหาหน้าแก้มเยอะจากไขมันที่เยอะ นอกจากนี้ยังมีหัวสำหรับยิงพลังงานที่ชั้น 2 มิลลิเมตรซึ่งเป็นผิวด้านบน หัวนี้จะเป็น Macro Focused Ultrasound หมายถึงพลังงานจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่จึงสามารถกระตุ้นคอลลาเจน จะช่วยในเรื่องของรูขุมขน ริ้วรอยเล็กๆ และช่วยให้ผิวหน้าดูใส
ทำไม MMFU ถึงเป็นที่นิยม
1. เป็นเทคโนโลยีที่เจ็บน้อย
2. เห็นผลค่อนข้างเห็นชัดเจน คือประมาณ 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่หลังทำทันที และเห็นผลเต็มที่ประมาณ 3 เดือน
3. ผลของเทคโนโลยีนี้จะอยู่ได้ประมาณ 6 – 9 เดือน แล้วแต่ปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล ทำให้ไม่ต้องมาทำซ้ำบ่อยๆ
4. ใช้เวลาไม่นาน (ประมาณ 30 นาที) หลังทำไม่ต้องพักผิว สามารถแต่งหน้าและออกไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแต่เลี่ยงแสงแดดและความร้อนประมาณ 2 สัปดาห์
โปรแกรม MMFU สไตล์ Rainnie Clinic เน้นเครื่องมือที่ดี+ประสบการณ์ของแพทย์
อันดับแรกจะต้องมีการพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพผิว พร้อมพูดคุยถึงความกังวลใจและความคาดหวังผลการรักษา เพื่อให้ คุณหมอได้วิเคราะห์ปัญหา รวมทั้งดูว่าปัญหาที่คนไข้กังวลกับปัญหาที่แพทย์เห็นเป็นจุดเดียวไหม ถ้าแก้แล้วจะได้ผลลัพธ์ประมาณไหน
จากนั้นจะมีการถ่ายภาพ Before เพื่อนำมา Analyze ร่วมกับคนไข้ว่าหมอจะแก้ไขจุดไหนบ้าง จากนั้นจะทำการรักษาครึ่งหน้าแล้วหยุดเพื่อให้คนไข้ดูว่าจากที่คุยกันจะเห็นผลที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นประมาณนี้นะ โดยเทียบกับหน้าอีกข้างที่ยังไม่ได้ทำการรักษา และหลังทำเสร็จทั้งหน้าก็จะให้ดูอีกรอบหนึ่ง
ตรงนี้เป็นการค่อยๆ ทำ และค่อยๆ ดูไปด้วยกันระหว่างหมอกับคนไข้ เพื่อสื่อสารให้ตรงกันว่าปัญหาที่กังวลและต้องการแก้ไขคือจุดเดียวกัน เห็นพ้องไปด้วยกัน
ความต่างที่ลงตัว… Facial Harmony Design by Rainnie CLinic
สำหรับเรนนี่ คลินิกนั้น ไม่ใช่มีแต่การดูแลรักษาด้วยเทคโนโลยี MMFU เพียงอย่างเดียว เพราะด้วยมุมมองในด้านความงามของคุณหมอฝนที่มองว่าความสวยจะเกิดจากจุดใดจุดหนึ่งบนใบหน้าไม่ได้ แต่เป็นภาพรวมที่ ลงตัว กลมกลืน และเหมาะสมกับใบหน้านั้นๆ เป็นที่มาของการดูแลรักษาในแบบฉบับของเรนนี่ คลินิก ที่เรียกว่า Facial Harmony Design คือการดีไซน์การดูแลรักษาเพื่อแก้ปัญหาใบหน้าในภาพรวม ซึ่งอาจจะใช้หัตถการมากกว่าหนึ่งอย่างผสมผสานกันตามความเหมาะสมกับปัญหาและรูปหน้า เพื่อให้ผลออกมาดูดีขึ้นอย่างกลมกลืนกันไปทั้งใบหน้า ไม่ใช่ดีขึ้นแค่จุดใดจุดหนึ่ง
การดีไซน์การรักษาในแนวทางของ Facial Harmony Design ก็เช่น การใช้เทคโนโลยี MMFU ร่วมกับสารลดเลือนริ้วรอยในบางจุดเพื่อให้รูปหน้าออกมาดูละมุนขึ้น หรือดูกระชับขึ้น (แล้วแต่การดีไซน์และจุดที่ทำ) หรือแม้แต่ใช้เลเซอร์ชนิดต่างๆ เพื่อเก็บรายละเอียดเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อให้ใบหน้าดูสวยกลมกลืนและละมุนที่สุด
เทคโนโลยีนี้เหมาะกับใคร
จริงๆ แล้ว MMFU สามารถแก้ได้หลายปัญหา ทั้งในเรื่องของความหย่อนคล้อย แก้มใหญ่หรือหน้าบานจากไขมันเยอะ ไปจนถึงปัญหาผิวไม่ค่อยกระชับ มีริ้วรอย รูขุมขนกว้าง แต่ทั้งนี้ต้องมีการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นกรณีไป เพราะเทคโนโลยี MMFU สามารถดูแลได้หลายปัญหา ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยและศิลปะในการปรับการรักษาของแพทย์
สำหรับผู้เขียนซึ่งเป็นเคสตัวอย่างในบทความนี้ มีปัญหาความหย่อนคล้อยไม่มาก เพราะแต่เดิมดูแลด้วยเทคโนโยลีอัลเทอร่าอยู่แล้ว แต่ว่ายังมีปัญหาเรื่องร่องแก้มอยู่เล็กน้อย หน้าทั้งสองข้างคล้อยไม่เท่ากันเล็กน้อย มีกระเปาะเล็กๆ ตรงมุมปากขวา ขณะที่ผิวรอบดวงตาที่มีริ้วรอยเล็กๆ
คุณหมอฝนจึงดูแลรักษาโดยโฟกัสชั้นผิวที่ช่วยยกกระชับผิวหน้า โดยปรับพลังงานที่ใช้กับหน้า 2 ข้างไม่เท่ากัน เพื่อหวังผลให้ออกมาดูเท่ากันขึ้น จากนั้นใช้หัวตื้นเก็บริ้วรอยรอบดวงตา เก็บรูขุมขน เก็บร่องแก้ม เพื่อให้ผิวดูเฟิร์มขึ้น โดยที่ระวังการยิงพลังงานไม่ให้กระทบกับไขมันซึ่งอาจจะทำให้แก้มตอบเกินไป ปิดท้ายด้วยการใช้หัวสำหรับชั้นผิว 2 มิลลิเมตรบริเวณรอบปาก และทำ Repositioning Fat เพื่อปั้นแก้มส้ม เพราะคุณหมอวิเคราะห์ว่ารูปหน้าแบบนี้ถ้ามีแก้มส้มจะดูละมุนและช่วยให้ดูเด็กลง
จะเห็นได้ว่าประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์มีส่วนสำคัญมากในการวิเคราะห์ปัญหาไปจนถึงดีไซน์การรักษาให้เหมาะกับแต่ละคน เพราะคนไข้แต่ละคนมีปัญหาและสภาพผิวที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลที่น่าพึงพอใจ
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามหรือติดตามข้อมูลได้ที่ Rainnie Clinic
โทรศัพท์: 065 963 9742
Line : @rainnie
Website: rainnieclinic.com
Facebook: https://www.facebook.com/Rainnieclinicth
Instagram: rainnie_clinic
หมายเหตุ – ผลลัพธ์ในการรักษาขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล การดูแลหลังการรักษา และปัจจัยแวดล้อม / ภาพเคสตัวอย่างเพื่อใช้ประกอบบทความเท่านั้น