หลายคนคงคุ้นหูกับคำกล่าวที่ว่า เวลาและจังหวะชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างคนในวงการบันเทิงก็ได้ บางคนสวย หล่อ ความสามารถเต็มเปี่ยม เล่นละครหลายเรื่องก็ไม่ดังปังสักที หรือบางคนเล่นเรื่องแรก โอ้โห ดังข้ามวันข้ามคืนข้ามปีกันไปเลย ‘คุณ – นิชคุณ หรเวชคุณ’ ก็เป็นหนึ่งในผู้โชคดี ที่เวลาและจังหวะส่งมารองรับอย่างรวดเร็ว ทำให้เขามีโอกาสได้เป็นหนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์เกาหลีชื่อดังอย่าง 2PM ถึงกระนั้น หากจะมีโชคแต่ไร้ความสามารถ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เขาเริ่มนับหนึ่งและเร่งพัฒนาฝึกซ้อมตนเองอย่างสม่ำเสมอ และผลแห่งความโชคดีก็ทำให้นิชคุณกลายเป็นไอดอลขวัญใจของสาวหลายๆ คน เพื่อให้แฟนๆ ได้หายคิดถึง ไปฟังเรื่องราวของนิชคุณในบทสัมภาษณ์นี้กันเลยดีกว่า
ชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ผมยังใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่เกาหลีครับ แต่ปีหนึ่งจะบินออกจากเกาหลีเกินครึ่งปี ช่วงนี้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นกับจีนบ่อย
ชินหรือยังกับชีวิตที่ต้องเดินทางไปมา
ชินแล้วครับ ทั้งเรื่องการเดินทางและภาษาที่ต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็ต้องปรับตัว ไปญี่ปุ่นก็ต้องปรับตัวให้ฟังและพูดภาษาญี่ปุ่น ไปจีนก็ต้องปรับตัวให้ฟังและพูดภาษาจีน ไม่ได้เครียดแต่มีเหนื่อยล้าบ้าง บางครั้งก็อยากอยู่บ้านหรือทำงานแบบไม่ต้องเดินทางบ่อย แต่อาชีพเราเป็นอย่างนี้ก็ต้องทำ รู้สึกดีครับที่มีแฟนคลับหลายประเทศ
ถ้าให้มองย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่ไปทำงานที่เกาหลีจนถึงวันนี้ มองเห็นอะไรบ้าง
ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้รับโอกาสนี้มา โชคดีที่ได้เจอคนดีๆ เพื่อนในวงก็นิสัยดีทุกคน สนิทกัน รักกัน เป็นพี่เป็นน้อง เป็นครอบครัว รู้สึกว่าโชคพาผมมาถึงจุดนี้ได้ จริงๆ ผมก็มีความพยายามและความมุ่งมั่นอยู่ข้างในน่ะแหละ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมากด้วย
แต่ก็ต้องให้เครดิตความพยายามของคุณด้วย ถ้าให้นึกย้อนกลับไปในวันที่นั่งอยู่ที่ร้านสตาร์บัคส์ แล้วเจอกับทีมแคสติ้งของเจวายพีที่แอลเอ
ผมไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มายืนถ่ายรูปเหมือนวันนี้ หรือยืนอยู่บนเวทีต่อหน้าคนเป็นพันเป็นหมื่น ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในชีวิต กระทั่งเรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องทำในชีวิตประจำวันไปแล้วจนชิน
ถ้าให้พูดถึงความประทับใจในฐานะสมาชิก 2PM
ดีใจที่มีโอกาสได้ทำงานกับทุกคน และวงนี้ทำให้ผมได้ไปในหลายๆ ประเทศและได้เจอแฟนคลับแต่ละที่ รวมถึงได้เห็นวัฒนธรรม ผมอยู่ต่างประเทศมาตั้งแต่เด็ก การได้เจอผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมเองมีความคิดกว้างขึ้น เวลาเจอคนบางคนก็สงสัยว่าทำไมคนนี้เขาทำอย่างนี้แต่ก็มองว่าคนเราต่างกัน เพราะเขาเกิดมาแบบนี้ เติบโตขึ้นจากตรงนี้ เลยทำนิสัยแบบนี้ในบางสถานการณ์ ถ้าพูดถึงเพื่อนๆ ในวง ก็ต้องบอกว่าทุกคนมีความสามารถ รักกัน เข้าใจกัน อย่างบางคนถ่ายหนังจนถึงดึกแล้ววันรุ่งขึ้นต้องตื่นเช้ามาทำงาน เพื่อนในวงคนอื่นๆ ก็จะบอกว่า “ไม่เป็นไร งั้นนายพัก” คนที่เหลือจะออกไปเตรียมตัวก่อน ผลัดกัน หรือเวลาที่ผมยุ่ง เพื่อนก็จะบอกว่า “ไม่เป็นไร นอนเพิ่มอีกสักชั่วโมงหนึ่งก็ได้” ตอนที่ผมไปถ่ายละครที่ประเทศจีนก็จะส่งข้อความมาหากัน “เป็นไงบ้าง สบายดีไหม” พวกเราในวงจะมีแชตรูมเอาไว้ส่งรูปตลกๆ ให้กัน คอยเป็นกำลังใจ มันคือเพื่อน คือความเป็นครอบครัว
บางคนอาจจะมองเห็นแต่ความสำเร็จของนิชคุณในวันนี้ ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ง่ายเลยกว่าจะมีวันนี้ได้
ใช่ครับ คนคิดว่าการเป็นดารา มีชื่อเสียง มีเงินและหลายๆ อย่าง ดูสวยหรู จนรู้สึกอยากเป็นบ้าง แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังหรือสิ่งที่เราต้องเสียสละเพื่อมาอยู่ตรงนี้มันเยอะมาก สมมุติว่าตัวเองไม่รู้จักห้ามใจตัวเองหรือไม่มีความเสียสละบางอย่าง ก็ยากที่จะมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ ถ้าคิดว่าจะเป็นเพื่อได้เงินหรือแสงสีเสียง เรื่องนี้ไม่ยั่งยืนหรอก ขึ้นเร็วก็ดับเร็ว การอยู่จุดนี้ต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้ได้ บางทีเราก็อยากทำนั่น ทำนี่ แต่ถ้ามันคือ สิ่งที่ไม่เหมาะสมก็ต้องนึกถึงแฟนคลับและคนที่ชอบเราว่าทำแล้ว เขาจะรู้สึกอย่างไร มันมีเรื่องให้คิดหลายเรื่อง แล้วการทำงานตรงนี้มีกฎระเบียบเยอะและต้องเตรียมตัวเยอะ อย่างการที่เราจะออกมาให้คนถ่ายรูปหรือออกมาแสดงคอนเสิร์ตครั้งหนึ่งได้ต้องผ่านการคิดเยอะมาก ต้องคิดว่ารูปที่ถ่ายจะอยู่ตลอดไป เราจึงต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุดเพื่อให้รูปออกมาดีที่สุด ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา อย่างตัวผมเองก็ต้องเข้าฟิตเนสและคุมอาหารเสมอ เพราะถ้าพุงออก มันก็ไม่ดีใช่มั้ยครับ (ยิ้ม) แต่ช่วงนี้แก้มก็ออกนิดหนึ่ง ก็โดนแซว
เรื่องประทับใจระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตคงมีหลายเรื่อง แต่ถ้าถามถึงครั้งที่จดจำได้ดี…
น่าจะเป็นตอนไปเล่นที่โตเกียวโดม ประเทศญี่ปุ่น เป็นคอนเสิร์ต “2PM Live in Tokyo Dome” สถานที่จัดเป็นสเตเดี้ยมเบสบอลที่ดังมาก มีศิลปินชื่อดังเคยมาแสดงคอนเสิร์ตที่นี่บ่อย เราแสดง 2 รอบ มีคนดูรอบละประมาณห้าหมื่นคน สองรอบก็แสนกว่าคน ธรรมดาเวลาแสดงคอนเสิร์ตจะเห็นแค่คนที่นั่งหรือยืนอยู่ด้านหน้า แต่ที่สนามแห่งนี้ผมมองเห็นคนเต็มพื้นที่ 180 องศาทั้งสามชั้น เป็นภาพที่…เห็นแล้วน้ำตาจะไหล คนเป็นแสนมาเพื่อดูเรา วันนั้นก็ร้องเต้นเต็มที่จนเหนื่อย นักร้องหลายคนคงอยากมีโอกาสแบบนี้ ผมเองโชคดีที่ได้รับโอกาสนั้น
แล้วความประทับใจที่มีต่อแฟนคลับชาวไทยล่ะ
มีหลายกลุ่มมากที่ติดตามผมตลอด จนจำได้ว่าใครเป็นใคร ชื่ออะไร บางคนติดตามผมมาก่อนเป็น 2PM ด้วยซ้ำ บางคนก็สนิทกับแม่ ไลน์คุยกัน ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นแฟนคลับ แต่เป็นเหมือนพี่คนหนึ่งที่คอยดูแลและสนับสนุน บางทีเขาก็จะไลน์มาบอกแม่ว่า “น้องคุณดูเครียดๆ นะ ช่วงนี้ มีอะไรหรือเปล่า” แม่ก็จะมาถามผมอีกที
พูดถึงน้องสาว ตอนนี้ชารีน ก็เข้าวงการแล้ว
ใช่ครับ ตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากให้เข้ามาทำสักเท่าไหร่ เพราะผมรู้ว่ามันเหนื่อยขนาดไหน และมันก็มีเรื่องให้เครียดเยอะด้วย แต่ว่าน้องชอบ เขามีความมุ่งมั่นและตั้งใจทำงานที่จะทำ เขามาปรึกษา ผมก็บอกว่าให้ตั้งใจทำงาน ไม่ใช่อยากเข้ามาเพื่อหวังจะดังอย่างเดียว ให้เป็นตัวของตัวเอง อย่าเฟค เวลาไม่พอใจแสดงออกว่าเราไม่พอใจได้ แต่อย่าให้มากจนเกินไป ต้องไนซ์กับทีมงาน ผู้จัดการ และสต๊าฟ เพราะถ้าเราไม่มีพวกเขาเราก็ทำงานไม่ได้ ถ้าผมไม่มีช่างแต่งหน้าทำผม ผมก็ออกมาถ่ายอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้จัดการก็ไม่ได้รับงานนี้ สอนเขาว่าต้องไนซ์กับคนรอบข้าง ผมยังไม่เคยทำงานกับเขาเลยไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แต่ที่ได้ยินจากพ่อกับแม่ท่านก็บอกว่าภูมิใจในตัวน้อง
พูดถึงหนังเรื่อง ฉลุย แตะขอบฟ้า หน่อยสิครับ ทราบว่าคุณร่วมแสดงด้วย
ในเรื่องผมรับบทศิลปินที่นิกกี้ (ณฉัตร จันทพันธ์) กับเจสซี่ (เมฆ เมฆวัฒนา) ซึ่งรับบทโต้ง กับป๋องอยากเอาเป็นแบบอย่าง เห็นเป็นไอดอลอยากเป็นแบบผม เลยบินไปตามหาความฝันที่เกาหลี ที่รับเล่นเพราะเป็นหนังที่สอนให้รู้ว่ากว่าจะถึงฝันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือเป็นได้โดยไม่ใช้ความพยายามและความมุ่งมั่น ไม่ว่าจะเป็นหมอ ทนาย หรือนักแสดงก็ตาม ผมว่าเรื่องนี้น่าจะสอนเด็กรุ่นใหม่ได้ว่าคนเราฝันได้ แต่ถ้าไม่มีความพยายามก็ไปไม่ถึง เป็นหนังที่ดีสำหรับเด็กรุ่นใหม่
คำถามสุดท้ายเข้ากับหนังเลย อยากให้ฝากอะไรถึงคนที่ยกนิชคุณเป็นไอดอลและอยากเจริญรอยตามบ้าง
ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเป็นอะไร หรือเป็นอะไรได้ แต่อยู่ที่ว่าเราเป็นได้เพราะอะไรมากกว่า ชีวิตผมไม่ได้สำคัญที่ผมเป็นดารา แต่สำคัญตรงที่ผมพัฒนาตัวเองจากเด็กที่ไม่มีความสามารถเลยจนวันหนึ่งสามารถขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีได้ ผมว่าการเดินทางสำคัญกว่าจุดหมายปลายทาง เราเลือกที่จะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และระหว่างทางเราได้สร้างความดีหรือทำอะไรบ้างกว่าจะมาถึงจุดนี้ สิ่งที่ผมมักจะพูดอยู่เสมอคือ การมีไอดอลเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ควรทำตามทุกสิ่งทุกอย่างที่ไอดอลคนนั้นทำหรือเป็น เพราะต่างคนก็ต่างมีชีวิตและความคิดที่แตกต่างกัน เอาความสำเร็จของคนคนนั้น มาเป็นแรงบันดาลใจและแรงผลักดันได้ แต่ไม่ใช่ดูว่าคนนั้นเขาแต่งตัวแบบนี้ ใส่เสื้อผ้าแบบนี้แล้วทำตาม แค่เราใส่เสื้อผ้าหรือทำอะไรตามคนที่เป็นไอดอลไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นอย่างเขาได้ การเป็นตัวของตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ