13 ตุลาคม 2559 คือวันที่เกิด ความวิปโยคครั้งใหญ่ ของชาวไทยทั้งแผ่นดิน หลังแถลงการณ์สำนักพระราชวังประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต สุดสัปดาห์ขอย้อนห้วงเวลาแห่งความอาลัยพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย เพื่อน้อมรำลึกถึงพระองค์ด้วยความจงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้
วันนี้เมื่อปีที่แล้ว 12 – 13 ตุลาคม 2559
วันที่ 12 ตุลาคม หลังสิ้นประกาศสำนักพระราชวังเรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 38 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2559 พสกนิกรชาวไทยจากทั่วทุกสารทิศพร้อมใจกันไปรอฟังข่าวพระอาการประชวรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่โรงพยาบาลศิริราช ประชาชนพร้อมใจกันใส่เสื้อสีเหลืองและสีชมพู มารวมตัวกันที่ลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หน้าศาลาศิริราช 100 ปี เพื่อสวดมนต์บทโพชฌังคปริตรตลอดค่ำคืนจนเข้าสู่เช้าวันใหม่ (13 ตุลาคม 2559) ต่างขอพรภาวนาให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้เป็นที่รักยิ่งหายจากพระอาการประชวร
จนกระทั่งเวลา 14.20 น. ของวันที่ 13 ตุลาคม 2559 สำนักพระราชวังประกาศงดลงนามถวายพระพร ณ ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง และขอความร่วมมือให้ประชาชนนับร้อยคนเคลื่อนย้ายออกจากศาลาฯ ณ เวลานั้นหลายคนหายใจไม่ทั่วท้อง ใจคอไม่สู้ดี นั่งไม่ติดเก้าอี้ และหลายคนรีบเดินทางไปโรงพยาบาลศิริราช ประชาชนที่นั่นจึงหนาแน่นมากกว่าช่วงกลางวัน และเสียงสวดมนต์ก็ดังขึ้นมากกว่าเดิม
หัวใจแตกสลายทั้งแผ่นดิน
13 ตุลาคม 2559 เวลา 18.47 น. หลังจากแถลงการณ์พระอาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ฉบับที่ 38 ออกมายังไม่ครบ 24 ชั่วโมง แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับใหม่ เรื่องประกาศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดิทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ได้ตามออกมา โดยในแถลงการณ์ดังกล่าวได้ระบุช่วงเวลาสุดท้ายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้เสด็จเข้ารับการรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราช ในวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2559 แต่ทรงมีพระอาการทรุดลงจนกระทั่งวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 15.52 น. เสด็จสวรรคตด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชย์สมบัติได้ 70 ปี
ทุกสายตาของประชาชนที่ไปรวมตัวกันที่อาคารศิริราช 100 ปี มองขึ้นไปยังชั้น 16 ความเงียบและอาการช็อค มีเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้โฮระงมทั่วบริเวณ สลับกับเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีมหาราชา
เปิดใจผู้ประกาศข่าวประวัติศาสตร์ ป๋อง-วีระศักดิ์ ขอบเขต กับข่าวร้ายที่ไม่อยากบอก
“วันที่ 13 ตุลาคมผมมีคิวอ่านข่าวตอนสี่ทุ่ม ประมาณบ่ายสาม โลกโซเชียลแชร์ข่าวในหลวงสวรรคต ผมรู้สึกใจไม่ดีเลยเข้าสถานีตอนหกโมงเย็น หัวหน้าข่าวเดินมาบอกว่า ป๋องเตรียมตัวนะน่าจะมีแถลงการณ์ ผมตัวชา ได้แต่ถามตัวเองว่า ‘จริงเหรอ ท่านจะไม่อยู่กับเราแล้วจริงๆ เหรอ’ (น้ําตาคลอ) ขณะที่เลือกเสื้อผ้าก็น้ำตาไหลตลอด รู้สึกว่า นี่เรากําลังจะบอกข่าวความสูญเสียระดับประเทศ ตัวเรายังรับไม่ได้ แล้วนี่เรากําลังทําให้คนไทย ทั้งประเทศเสียใจ ใครจะอยากรับฟัง เป็นการอ่านข่าวที่ยากที่สุดในชีวิต ซึ่งผมไม่อยากทําเลย
ระหว่างที่รอประกาศผมรวบรวมสมาธิ นึกถึงพระองค์ท่านและอธิษฐานว่า ขอให้ผมอ่านข่าวนี้อย่างไม่มีสะดุด ผมขอทําหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด เพื่อถวายงานเป็นครั้งสุดท้ายอย่างสมพระเกียรติ หันไปหาน้องทีมงานบอกว่า ช่วยพิมพ์ตัวหนังสือขึ้นจอให้ด้วย เพราะถ้าผมก้มลงอ่านจากกระดาษน้ําตาไหลแน่นอน แล้วจะอ่านต่อไม่ได้ ตอนอ่านบางช่วงจะมีเสียงสะดุดนิดหนึ่ง ผมกลืนน้ําลาย และเบิกตากว้างเพื่อให้น้ําตาไหลกลับ พออ่านแถลงการณ์จบ มีสารคดีพระราชประวัติตัดเข้าปุ๊บผมปล่อยโฮทันที”
วีระศักดิ์ ขอบเขต ผู้ประกาศข่าวสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT (ช่อง 11)
หลังจากอ่านแถลงการณ์ที่ช็อคหัวใจคนไทยทั้งประเทศจบ คุณวีระศักดิ์ก็ปล่อยโฮทันที
เรียบเรียง: จีราวัจน์ Photo: วสันต์ วณิชชากร wason_wanichakorn
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 หาดูยาก อยากให้คนไทยได้ดู
เรื่องเล่าจากสมเด็จพระพี่นางฯ ถึง เจ้านายเล็กๆ ครั้งทรงพระเยาว์
ปีติ พระองค์ทีฯ ทรงเป็นจิตอาสา ถวายสมเด็จปู่ ณ เยอรมนี (คลิกชมคลิป)