ดังเปรี้ยงปร้างแบบฉุดไม่อยู่กับตัวละครชื่อ แย้ม จากละครเรื่อง สุดแค้น แสนรัก รับบทโดย รัดเกล้า อามระดิษ ที่เล่นร้ายได้จนทำให้คนดูอินและหมั่นไส้ค่อนประเทศ ชนิดที่ว่าเปลือกทุเรียนในมือต้องมีสั่นตามๆ กัน แม้รัดเกล้าจะแสดงเป็นอีแย้ม ป้าแย้ม หรือย่าแย้มได้ร้ายสมจริงพาลให้คนดูเกลียดขนาดไหน แต่ชีวิตจริงไม่อิงตัวละครของเธอนั้นน่าสนใจสุดๆ อะ อะ กระซิบบอกซะหน่อยว่า เก่ง มีเสน่ห์ จนทำให้เกลียดเธอไม่ลงเลยละ
เคยคิดมาตั้งนานแล้วว่าถ้ามีโอกาสได้สัมภาษณ์จะถามถึงที่มาของชื่อต๊งเหน่ง
จริง ๆ ตอนเกิดคุณพ่อเขียนลงสูติบัตรโรงพยาบาลชื่อน้องเลิฟ…ดูน่ารักมาก (ขบกัดตัวเองขำ ๆ) แต่ผ่านไปประมาณ 2 วัน คงเห็นว่าไม่เหมาะ เพราะดีดเหลือเกิน เลยเปลี่ยน เคยถามท่านว่าทำไมถึงตั้งชื่อ “ต๊งเหน่ง” ไม่ใช่ “โป๊งเหน่ง” เหมือนคนส่วนใหญ่ ท่านบอกว่าดีด แรงเยอะ และไม่ค่อยมีผม ประมาณต๊งเหน่ง ต๊งแกละ ถามว่าเพื่อนล้อไหม ไม่ล้อ เพราะเรียนโรงเรียนเดียวมาตลอดตั้งแต่ ป.1 ถึง ม.6 (โรงเรียนสาธิตจุฬา) ทุกคนชิน
แต่ชื่อรัดเกล้าก็เป็นชื่อที่เพราะมาก
ขอบคุณค่ะ พี่สาวชื่อใกล้รุ่ง เป็นคำควบกล้ำ ก กับ ร พอเป็นเรา คุณพ่อก็สลับเอาตัว ร ขึ้นก่อน ตามด้วย ก และ ล โดยตัว ก นั้นได้มาจากอักษรที่เป็นพยัญชนะต้นของชื่อ คุณปู่ ส่วนตัว ร มาจากชื่อเล่นคุณแม่ คุณพ่อเลยนำมาผสมกัน
แล้วก็ต้องชมว่าตัวจริงสาวกว่าในละครตั้งเยอะ
ขอบคุณมากค่ะ ดีใจ (ยิ้ม)
เคยคิดไหมครับว่าถ้าวัดที่ความสามารถ เราเป็นนางเอกได้แน่นอน แต่เพราะสวยไม่พอเลยต้องเป็นตัวรอง
เรื่องนี้ไม่เห็นด้วยค่ะ จริง ๆ มีอีกหลายคนนะคะที่เป็นนางเอกหรือได้รับบทเด่นแต่ไม่ได้สวยพอ ไม่ใช่ว่าเราจะใช้ความสวยงามมาเป็นข้ออ้าง เรื่องนี้อยู่ที่ฝีมือ ความสามารถ และทักษะ จังหวะชีวิตที่เข้ามาก็สำคัญมาก ณ ตอนนั้นเราพยายามมากพอหรือยัง เราพัฒนาตัวเองและมีความสามารถพอจะรับบทนั้น ๆ ไหม ส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นนางเอก บทอะไรก็ได้ที่ได้รับมาถือเป็นโอกาสที่ดีของชีวิตแล้ว อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นหรือได้ทำ ถือว่าดีหมด ถ้าผลออกมาดีก็ทำให้เราดี ถ้าผลออกมาไม่ดีก็ทำให้เราได้เรียนรู้ อดทน และเป็นบททดสอบว่าเราจะฝ่าไปได้หรือเปล่า ความไม่ดีจะทำให้เห็นว่าเราพลาดตรงไหน “ครั้งหน้าเราจะไม่พลาดอีกแล้ว” เพราะฉะนั้นทุกโอกาสที่เข้ามา ทุกเพลงที่ต้องร้อง ถามตัวเอง ไม่ต้องไปถามโชคชะตาหรือคนจ้างว่าเราทำดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำดีที่สุดและทำอย่างเต็มที่แล้ว เราสามารถภาคภูมิใจกับตัวเองได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเดินจากไป เราจะไม่เสียใจหรือเสียดายว่าทำไมฉันไม่ทำให้ดีที่สุด
ถ้าจะบอกว่าบทแย้มเปลี่ยนชีวิต
ถึงวันนี้ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่างมาก ช่วงที่ผ่านมาซ้อมละครเวทีเยอะ แล้วโดยปกติเป็นคนที่อยากไปไหนก็ไป แต่งตัวง่าย ๆ สบาย ๆ ปกติก็ดูทรุดโทรมกะเร้อกะรังจนคนจำไม่ค่อยได้อยู่แล้วจึงไม่รู้สึกว่าชีวิตต่างไปเท่าไร แต่ก็มีคนรอบข้างที่คอยส่งอะไรที่เกี่ยวกับแย้มมาให้ดูบ้าง บางทีดูแล้วก็เสียใจ บั่นทอน เพราะมีคนเกลียดเยอะมาก
แต่เป็นการเกลียดที่ทำให้ยิ้มและมีความสุขได้
ช่วงแรก ๆ ทำใจไม่ได้ ปวดท้องทุกวันเลยเพราะเครียด “มีคนเกลียดเราเยอะขนาดนี้เลยเหรอ” พยายามคิดกลับว่ามันเป็นสัจธรรม คนไม่ดีก็ต้องมีคนเกลียดอยู่แล้ว เมื่อมีคนคนหนึ่งที่เลวอย่างชัดเจนก็ต้องมีคนไม่ชอบ แม้ว่าตัวเองจะเป็นคนค่อนข้างเปิด แต่ก็รู้สึกว่าพลังงานจากคนที่ไม่ชอบมันเยอะมาก
ต้องไปฝึกเป็นแย้มไหม
หลังจากได้รับบทมาแล้ว ทางเมคเกอร์ เค (บริษัทที่ผลิตละครเรื่อง สุดแค้น แสนรัก) และพี่หนุ่ม (กฤษณ์ ศุกระมงคล ผู้กำกับ) ก็นัดไปพบกับครูแอ๋ว (รองศาสตราจารย์อรชุมา ยุทธวงศ์) ครูแอ๋วให้นั่งคุยถึงตัวละครแต่ละตัวว่าเราคิดว่าเป็นอย่างไร มีบุคลิกลักษณะอย่างไร ครูบอกว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้มีเวลาไปสัมผัสคนที่เขาใช้ชีวิตแบบนี้จริง ๆ แต่ก็ไม่มีโอกาสไป เลยใช้วิธีอ่านบทแทน ซึ่งคำพูดที่เขาพูดออกมามันบอกถึงความคิดของเขาได้ เพราะเขาคิดแบบนี้ เลยพูดแบบนี้ และกระทำแบบนี้ เพราะเขาเจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิต เลยต้องกลายเป็นคนแบบนี้ คำพูดและการกระทำของเขาทำให้เรารู้จักตัวเขามากขึ้น พอเราอ่านบทไปเยอะ ๆ ก็เข้าใจตัวละครมากขึ้น เคยมีคนถามว่าเกลียดแย้มไหม จะบอกว่าเราเข้าใจแย้มที่เขาเป็นแบบนั้น โดยลักษณะนิสัยโดยกมลสันดาน สภาพแวดล้อม และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต มันทำให้เขาเป็นอย่างที่เห็น ที่รู้สึกคือแย้มเป็นคนชอบมโน จินตนาการของเขากว้างไกลมาก พูดไปเรื่อย “ทำไมแกต้องออกไปนอกบ้าน…อ๋อ แกอยากให้ชาวบ้านเขารู้กันใช่ไหมว่าฉันเป็นแม่ผัวที่ไม่ดี” คือคิดไปเองเป็นตุเป็นตะ พอพูดบทเสร็จ ก็ถามตัวเองนะว่าเป็นไรมากปะ นางพูดไป 20 ประโยค ลูกก็จะ “แม่…” พูดอีก 10 ประโยค ลูกก็ได้พูดต่อแค่ “แม่อย่า…” เท่านั้น
ถ้าถามถึงฉากที่ยากที่สุดในบรรดาฉากต่าง ๆ ที่ถ่ายไป
มีหลายซีนนะคะ เช่น ซีนที่แย้มโกรธมากแต่ระเบิดไม่ได้ เพราะอยู่ในโรงเรียน แย้มโกรธอัมพร (รับบทโดยโดนัท – มนัสนันท์) ที่จะมาเอาหลานไป เคยยอมให้แต่งงานกับลูกชายก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดของชีวิตไปแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้ลูกเราตายไม่พอ ยังจะมาเอาหลานคืนอีก เลยโกรธมาก คิดว่าถ้าเล่นต่ออีกนิดเดียว เส้นเลือดในสมองแตกแน่ ๆ
เคยเจอแฟนละครที่อินมาก ๆ ไหมครับ
เคยไปกดเอทีเอ็มที่ตลาดหน้าบ้าน เป็นตลาดที่เดินมาเป็นสิบปีแล้ว กับแม่ค้าก็สนิทกัน ขนาดไปตอนตลาดวาย แม่ค้าเก็บของแล้วยังหันมาว่าว่า “โอ๊ย กล้ามาด้วยเหรอ มาทำไม ไม่มีที่ให้ยืนหรอก” เคยลงรูปก้มลงกราบแล้วบอกว่า “ขอที่ให้แย้มยืนด้วยนะคะ” เขาคงจะเห็น พอเจอเราเลยบอก “ไม่ต้องขอหรอก ไม่มีที่ให้ยืน จะไปไหนก็ไป” บางคนก็คอมเมนต์ว่า “ไปยืนในดงมดแดงสิ” ยิ่งตอนนี้หน้าทุเรียนด้วยชอบกินมากเลย แต่ต้องไปซื้อร้านที่ปอกใส่ถาดโฟม ต้องซื้อเจ้าที่รู้จักกันด้วยถึงปลอดภัย
ดูเป็นคนยิ้มแย้ม อารมณ์ดี ชีวิตจริงเคยแค้นใครหนัก ๆ ไหมครับ
ไม่เคย แต่เป็นคนจำนะ ไม่ได้จำเพื่อให้มันมาบั่นทอนชีวิต บั่นทอนกำลังใจ แต่จำเพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งนั้นมันเกิดเพราะอะไร จะได้ไม่ทำอีก บางครั้งก็นึกเสียว่าเดินไปเหยียบอึหมา แต่จะให้ลุกขึ้นมาทำแบบ “ฉันต้องวางแผนแก้แค้น” หรือทำแบบแย้ม มันดูลงทุนไป เสียเวลา สู้เอาเวลาไปออกกำลังกาย ปีนผ้า ทำงานหาตังค์ กินของอร่อย ๆ ดีกว่า
ชีวิตของรัดเกล้าในวัยประมาณรพีพรรณกับหทัยรัตน์เป็นอย่างไรครับ
สมัยมัธยมเป็นเด็กเรียนค่ะ เป็นเด็กเนิร์ดชอบเรียนหนังสือ แต่ก็ทำกิจกรรมในวันเสาร์ – อาทิตย์ ชอบเรียนโน่นเรียนนี่ เคยขอคุณแม่ไปเรียนเปียโน เรียนบัลเลต์ ตีขิม แต่ว่าหลักสำคัญของชีวิตคือต้องตั้งใจเรียนหนังสือก่อน เพราะคุณแม่เป็นอาจารย์ด้วย คุณแม่จบคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ พี่สาวเราก็สอบเข้าคณะนี้ได้ ลูกพี่ลูกน้องหรือว่าญาติพี่น้องทุกคนก็ตั้งใจเรียน เราก็ต้องทำให้ได้ ที่เรียนคณะอักษรศาสตร์ คุณแม่ถือว่ามีส่วนมาก คุณแม่ชอบอ่านหนังสือ ที่บ้านมีหนังสือเยอะมาก โตมาโดยมีเสียงเพลงอยู่ในบ้านเลย เพราะคุณพ่อชอบฮัมเพลง เปิดแผ่นเสียงกล่อมตั้งแต่เด็ก ได้ยินเพลงจากหนังเรื่อง The Sound of Music และเพลงของเอลวิส เพรสลีย์ตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่หัวสมองอาจจะไม่ไปทางสายวิทย์ด้วย เลยมาทางอักษรฯ แล้วกัน จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นแกะดำของครอบครัว อยู่ดี ๆ ก็ออกมากระโดดโลดเต้นเป็นนักร้องนักแสดงแม้กระทั่งช่วงที่จะออกเทป คุณพ่อคุณแม่ก็ยังเรียกคุยเพื่อถามว่าเมื่อไหร่ลูกจะทำงาน ทุกวันนี้พี่สาวเป็นห่วงมากว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต และจะเอาเงินที่ไหนรักษาตัวถ้ายังรับจ้างอิสระแบบนี้บอกว่า “อีกหน่อยแก่ตัวไปก็ไม่มีใครจ้าง” คือครอบครัวมองว่าอาชีพตรงนี้ยังไม่มั่นคง พอเขาถามก็ตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็เกาะพี่กินไป” เพราะพี่รับราชการ (หัวเราะ)
บางคนจะไม่รู้ว่ารัดเกล้า อามระดิษ คือเจ้าของเสียงประกาศบนบีทีเอส พอจะพานั่งรถไฟฟ้าย้อนกลับไปวันที่ตัวเองพากย์เสียงนั้นได้ไหมครับ
มีพี่ที่รู้จักกันมาบอกว่าบีทีเอสอยากติดต่อไปลงเสียง ปกติก็เป็นโฆษก รับอ่านสปอตโฆษณา สปอตวิทยุ หรืออะไรที่ใช้เสียงอยู่แล้ว วันนั้นก็แค่ถามความต้องการลูกค้าว่าต้องการแบบไหนแล้วลองพูดให้ฟัง “Please move inside the train away from door areas. ผู้โดยสารกรุณาเดินเข้าด้านในของตัวรถ และจับห่วง เสา หรือราวขณะเดินทาง” พูดเพราะไป ทางลูกค้าก็บอก “คุณพูดอย่างนี้ไม่มีใครทำตามหรอกนะ นอกจากไม่เดินเข้าด้านในขบวนรถแล้ว ยังจะทำไม่สนใจด้วย” ก็ต้องปรับเสียง สิ่งที่ต้องคำนึงคือ หนึ่ง จะพูดอย่างไรไม่ให้น้ำเสียงดุเกินไป สอง จะต้องไม่อ่อนจนเกินไปจนเขาไม่ทำตาม และสาม จะต้องไม่ใช่แค่สวยงามอย่างเดียว แต่เวลาฟังแล้วต้องทำตามต้องไม่เหมือนเพลงแอมเบียนต์ที่ฟังแล้วลอยผ่านแต่ไม่เรียกความสนใจ สิ่งที่ยากคือการหาความพอดี เราต้องคุยกับผู้จ้าง อ่านให้เขาฟัง ถ้าประโยคแรกผ่านปุ๊บ ต้องพยายามคงโทนน้ำเสียงแบบนั้นไว้ตลอดเพื่ออ่านอีก 30 หน้า ลูกค้าจะเป็นคนบอกว่าโอเคหรือไม่โอเค เหมือนเป็นผู้กำกับ เขาจะนั่งอยู่ในห้องอัดเลย
รู้สึกเขินไหมครับเวลาเข้าไปในขบวนแล้วได้ยินเสียงตัวเอง
เขิน แล้วจะคอยจับผิดตัวเองด้วย ออกเสียง ร เรือเยอะไปไหมตอนพูดคำว่า “ราชเทวี”
ชีวิตนอกเหนือจากการแสดงและร้องเพลงทำอะไรบ้างครับ
ออกกำลังกายค่ะ ชอบปีนผ้า อย่างที่บอกว่าไม่ชอบอยู่เฉย ๆ บางครั้งก็ไปสมัครเรียนเต้น เรียนโน่นเรียนนี่ เพิ่งหยุดเต้นบัลเลต์ไปเมื่อ 6 – 8 ปีที่แล้ว เรียนจนกระทั่งเพื่อนในชั้นเรียนเป็นลูกเราได้ คุณแม่เขาอายุน้อยกว่าเราอีก ตอนนี้ถ้าวันเสาร์อาทิตย์มีเวลาว่างก็จะไปออกกำลังกาย
ล่าสุดกำลังจะเล่นละครเวทีเรื่อง วันสละโสด กับโจทก์เก่า ๆ พูดถึงคำว่าสละโสด เลยอยากถามเรื่องความรัก
ขอตอบคำถามนี้แบบสั้น ๆ และห้ามถามต่อ “เป็นโสดค่ะ”