“เติร์ด-กัปตัน” กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในภาพยนตร์แนวใหม่ Achilles Curse…อคิลลิสเคิร์ส กับสมบัติต้องคำสาป” 

account_circle
event

ได้รับความสนใจมาตั้งแต่เปิดไลน์อัพนักแสดงนำภาพยนตร์ Achilles Curse… อคิลลิสเคิร์ส กับสมบัติต้องคำสาป” ภาพยนตร์แนวแฟนตาซี สืบสวนเรื่องแรกในไทย และครั้งนี้ก็เป็นการกลับมาร่วมงานในพาร์ทการแสดงด้วยกันอีกครั้งของ 2 เพื่อนซี้ เติร์ด ลภัส งามเฉวง และกัปตัน ชลธร คงยิ่งยง ซึ่งวันนี้สุดสัปดาห์ก็ได้ชวน 2 หนุ่มมาเล่าถึงการทำงานด้วยกันอีกครั้ง  

แนะนำตัวกับทางสุดสัปดาห์กันหน่อย

กัปตัน : สวัสดีครับ ผมกัปตัน ชลธร ครับ ผมบทเป็นจินครับ  

เติร์ด : สวัสดีครับ เติร์ด ลภัสครับ แล้วบทเป็นลุคครับ

ในหนังเรื่องนี้บทบาทที่ได้รับเป็นยังไงบ้าง

กัปตัน : บทของจิน คือเป็นนักธุรกิจ ที่บ้านทำธุรกิจอยู่แล้ว แต่ว่ามีคู่หมั้นชื่อวนิลา (จ๋อมแจ๋ม-สุพิชชา สุบรรณพงษ์) บ้านของจ๋อมแจ๋มทำพิพิธภัณฑ์ เป็น Museum เก็บสมบัติ ผมมีหน้าที่เข้าไปช่วยบริหาร จริงๆ ต้องบอกก่อนว่า setting ในโลกของ Achilles curse มันเป็นแฟนตาซี คืออายุของเราจะไม่ได้แบบ 28-29-30

โลกนี้มันจะมีจุดนึงในตัวทุกคนที่เรียกว่าจุดอาร์ค มาจาก (achilles curse) เป็นจุดหนึ่งที่อยู่ตามร่างกายมีเพียงจุดเดียว แต่ละคนจะมีไม่เหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าอยู่จุดไป ตัวเองก็ไม่รู้ จุดนี้ถ้าเกิดโดนทำร้ายแรงๆ ก็อาจจะตายได้ ไม่

จริงๆ ในโลกนั้นทุกคนก็เป็นคนปกติทั่วไป ก็มีแค่บางครอบครัวที่มีพลังพิเศษ แต่เป็นคนกลุ่มน้อยครับ ฟีลอเวนเจอร์ส มี Something บางอย่างในครอบครัวให้ดูแตกต่าง  

เติร์ด :  ผมรับบทเป็นลุคครับ เป็นนักสืบเป็นเอกชน แต่ว่าเบื้องหลังครอบครัวก็เป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจอสังหาฯ แต่  ว่าเราเลือกที่จะไม่ทำธุรกิจ มาเป็นนักสืบ เพื่อค้นหาปริศนาบางอย่าง ปริศนานั้น คือก็อยู่ในโลกนี้แหละ 

บทที่ได้รับเหมือนหรือต่างกับตัวจริงอย่างไรบ้าง คาแรคเตอร์เป็นยังไง

กัปตัน :  ก่อนที่จะรับ ทางทีมมีเช็คด้วยนะ ว่าเราเป็น personality คล้ายกับตัวละครหรือเปล่า

ที่ผ่านมากัปตันมักจะได้รับบทเป็นพวกนักธุรกิจ นักลงทุน  

กัปตัน :  (ยิ้ม) อาจจะเป็นคนที่ดูนิ่งๆ เป็นอินโทรเวิร์ตด้วย พอตอนเช็คมันก็มีความใกล้เคียงอะไรบางอย่างกับตัวละคร มันก็ต้องมีความเชื่อมกัน     

มีอะไรที่ไม่เหมือนกัปตันบ้าง    

กัปตัน : น้อยครับ น้อยมาก ผมว่าค่อนข้างเหมือน ชอบกับการแสดงครั้งนี้ จะบอกว่าไม่ยาก ก็ไม่ได้ขนาดนั้น    

เติร์ดล่ะคะ บทที่ได้รับเหมือนหรือต่างกับตัวเรายังไงมั้ย   
เติร์ด
: ต่างนิดนึงครับ ตัวละครที่ผมเล่น เป็นนักวางแผน จะมีการวางแพลนทุกอย่างเป็นสเต็ปๆๆ แต่ตัวผมเองไม่ค่อยวางแผนอะไร จะแล้วแต่เจอสถานการณ์หน้างาน แต่ความท้าท้ายมันน่าจะ อยู่ที่ Dialogue มากกว่า เพราะว่าบทที่ผมต้องพูดแต่ละอันด้วยความที่เป็นนักสืบ มันจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับคดีนั่นนี่  Dialogue มันจะยาวครับ ยาวมากบาง บางซีนคือแบบผมต้องพูด 40-50 บรรทัดติดกัน ความท้าทายที่สุดน่าจะเป็นการจำ Dialogue   

กัปตัน : ของผมบทไม่ค่อยยาวมาก แล้วจริงๆ ในเรื่องนี้ผมไม่ได้เป็นตัวเดินเรื่องเยอะ มันไม่ได้ยากในเชิงบทแต่ยากในการทำความเข้าใจกับตัวละคร

แล้วเรื่องนี้ทุกคนต้องแคสต์ติ้ง

กัปตัน : แคสต์ครับ คือให้บทมาแล้วคิดว่าเราสามารถทำได้ไหม แล้วก็ลองไปแคสต์ให้ผู้กำกับดู  ก็ต้องผ่านการเตรียมตัวกันมาก่อนครับ ว่าเราอยากจะให้ผู้กำกับเห็นแบบไหนแล้ว จากนั้นมาคุยกันหน้างานอีกทีว่า เขาอยากได้อะไร เราก็ต้องตีความของเราเองก่อน ถ้าคุยกันแล้วเห็นภาพตรงกันมันก็จะง่าย

เหตุผลที่ตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้

เติร์ด : คือตอนแคสต์เขามีเรื่องย่อมาให้ และก็มีบทมาให้ ผมอ่านแล้วก็รู้สึกว่า เรื่องมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่ ผมเองเป็นคนที่ชอบอ่านนิยายอยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าน่าสนใจ เลยแอบสืบมาว่าแคสต์คนอื่นนั่น มีใครบ้างพอรู้ก็รู้สึกว่านักแสดงเซ็ทนี้น่าร่วมงานด้วย

แล้วเรารู้มั้ยว่ามีกัปตันร่วมแสดง
เติร์ด :
รู้ฮะ(หัวเราะ)

แล้วกัปตันรู้มั้ยว่ามีเติร์ด
กัปตัน
: รู้ พอรู้ผมก็เอาล่ะ ไปละ
เติร์ด : ผมรู้แล้วว่ามี candidate ใครบ้าง

กัปตัน : มีคนที่เรารู้จักมีใครบ้าง พอเห็นชื่อเติร์ดก็แบบโอเคโอเค๊ คงสนุกแล้วแหละ

หลังจากที่แสดงซีรีส์ด้วยกัน งานด้านการแสดงก็ไม่ได้เจอกันเลย
กัปตัน: ล่าสุดก็Great Men academy
เติร์ด: ใช่ครับ Great Men academy
กัปตัน : ถ่ายหนังก็ยังไม่เคยร่วมงานกันครับ

มาเล่นหนังฟีลแตกต่างกันเยอะมั้ยจากซีรีส์

กัปตัน : ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเหมือนทุกคนเป็นศิบปินแล้วไปแสดงกัน มันยังเด็กอยู่เหมือนว่าพอเรามาเล่นหนังเราก็มาจำแนกอีกว่าหนังคืออะไร แล้วสำหรับผมเป็นหนังเรื่องแรกด้วย เราก็ต้องรู้ก่อนว่าเราจะเล่นต่างกับซีรี่ส์ยังไง

เล่นหนังครั้งแรกตื่นเต้นมั้ย

กัปตัน:  ตื่นเต้นนะครับ หนังกับซีรีส์มันคนละแบบ ผมว่ามันอยู่ที่แพลตฟอร์มด้วยนะ หนังคือทุกคนเข้าโรงภาพยนตร์ไปเพื่อจะดูหน้าเราอยู่บนจอใหญ่ คือแบบทุกการขยับทุกการกระทำมันมีความหมายหมด มันไม่เหมือนซีรีส์ที่แบบ อาจจะดูผ่านๆ ได้ ดูเป็นบางฉากดูแค่นิดๆ ได้ อันนี้มันคือทุกคนตั้งใจดูตรงนั้น เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก ฟิลลิ่งในการทำงานก็แปลกไปก็รู้สึกตื่นเต้นและก็ได้ความรู้ใหม่ๆเยอะครับ

เติร์ดละเป็นยังไง ทำงานครั้งนี้ได้เจอเพื่อน

เติร์ด : สนุกดีครับ ผมดีใจเสมอเวลาที่เจอเพื่อนในกอง เพราะอย่างน้อยจะมี 1 คน ที่เรารู้สึกว่าเออ… เราพึ่งพาได้แน่ๆ มันอุ่นใจ มันเหมือนกลับมาทำงานด้วยกัน ในพาร์ทที่แต่ละคนก็โตขึ้นด้วย ทั้งอายุและก็ประสบการณ์การทำงาน

พอเวลามันผ่านไปแยกย้ายกันไปทำงาน พอเรามองกันและกัน เรารู้สึกกับเพื่อนเรายังไงบ้าง
เติร์ด
: เอาจริง ผมคิดว่าพอเราเป็นเพื่อนกันมานานมันมองกันเหมือนเดิมมากกว่า 

กัปตัน : ผมก็รู้สึกเหมือนเดิมมากกว่า อะไรที่เคยคุยก็คุยกันเหมือนเดิม 

เติร์ด :  เพราะเหมือนพอเราอายุเยอะขึ้น มันเหมือนจะมีสิ่งที่มาครอบเราเรื่อยๆ แต่สำหรับเราสองคน ผมว่า กัปก็คือ กัปตันอะที่แบบไม่มีฟีลเตอร์ (หัวเราะ) 

กัปตัน :   เติร์ด ก็คือเติร์ดคนเดิ มที่แบบไม่มีฟีลเตอร์ (หัวเราะ) จริงๆ เราก็คุยกันเรื่องเดิมๆ เลยเนอะ พอได้กลับมาเจอกัน เราก็จะคุยกันใน conversation ที่มัน happy จับคู่คุยอยู่แล้วพ อโตมาเราก็จะโหยหาอะไรแบบนี้

ซีนที่ประทับใจ

เติร์ด : ผมขอก่อน จริงๆ ถ่ายไปประมาณ1 ปีแล้ว   
กัปตัน : ผมเข้ากับเติร์ดน้อยมาก แค่สัก2 ซีนเอง ผมเข้ากับจ๋อมแจ๋มเป็นหลัก เวลาผมเข้ากับจ๋อมแจ๋มผมก็รู้สึก  ประทับใจนะครับจ๋อมแจ๋มเป็น Partner ที่ดี จ๋อมแจ๋มเป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งคู่แสดงที่ดีฮะ พอเราอยู่ข้างนอกแล้วเรา  ค่อนข้างสบายใจในการคุยกันพอเข้าไปทำงานมันจูนกับแป๊บเดียวมันติดเลย โชคดีเป็นแบ very good partner 

เติร์ด : ของผมประทับใจซีนที่เข้ากับมาเบล กับพิมมาครับ มันจะมีอยู่ซีนหนึ่ง แต่ว่าบอกไม่ได้ว่าซีนอะไร แต่ว่า…ใช่ ๆ รู้สึกว่าเป็นสีนที่แบบผมควรพบอะไรใหม่ๆ ในด้านการแสดงความสมควร มันเป็นการค้นพบความรู้สึกใหม่ในการแสดงครับ

เรื่องมหัศจรรย์ของการแสดง

เติร์ด : ใช่ๆมันเป็นซีนที่ได้ค้นพบอะไรใหม่ที่ใหม่มากไม่เคยรู้สึก 
มันเป็นยังไง
เติร์ด : รู้สึกว่ามันแปลกใหม่ เป็นMagic Moment สำหรับผมแล้วกัน

ประทับใจอะไรกับงานเรื่องนี้

กัปตัน : ผมชอบไวบ์ในการทำงาน เป็นไวบ์ที่สนุก เราไม่ได้รู้สึกแค่ตื่นมาทำงานให้เสร็จนะ แต่รู้สึกว่าในกองมีเพื่อน พี่ น้อง เหมือนกลับไปอยู่ในโรงเรียนอีกครั้ง มันเป็นการที่ทำงานไปด้วย สนุกไปด้วยแล้วมันทำให้performance หรือ qualityที่ ในการทำงานมันแบบเฉื่อยมันเฟรชไปหมด คิดว่าน่าจะได้อะไรที่ส่งผลไปถึงการทำงาน

เติร์ด : ผมชอบแคสต์นักแสดงครับ รู้สึกว่า atmosphere ในการทำงานมันค่อนข้างที่สนุกเหมือนได้ไปเจอเพื่อนจริงๆ

แล้วกับนักแสดงคนอื่นๆ ทำงานด้วยกันต้องปรับต้องจูนอะไรกันก่อนมั้ย 
เติร์ด
: ผมเป็นคนที่ไม่ต้องจูนอะไรกันมาก เข้ากับคนง่าย คือผมเป็นคนมีกำแพงนะ กำแพงสูงเลยครับ แต่ว่าผมจะมี โหมดทำงานอยู่ คือด้วยการที่เราทำงานในวงการ-มันมีกำแพงขนาดนั้นไม่ได้ แต่เราอาจจะมีกำแพงในชีวิตส่วนตัวเราเยอะ ในภาษาทำงานเราต้องสามารถ break down ได้ เพราะว่ามันคืออาชีพเรา   

อะไรคือจุดเด่นที่คนดูจะต้องเลือกมาดูหนังเรื่องนี้   

กัปตัน : ผมว่าถ้าการเราตีความ นี่คือหนัง Fantasy และสืบสวน เพราะว่าประเภทของหนังแนวนี้ ในหนังไทย มันยังน้อยครับ มันมีแฟนคลับคนกลุ่มนี้ และคนที่ชอบอาจจะชอบโคนัน ชอบเชอล็อคโฮม ชอบอะไรที่มันเป็นการ สืบสวน แล้วบางทีมันไม่มีอะไรให้เขาดู บางทีเขาดูแต่หนังฝรั่ง แต่มันไม่มีหนังไทยเขาได้แบบติดตามเลย ผมว่าอันนี้ก็ อาจจะเป็นแบบจุดเริ่มต้นที่ดี ทำให้แบบคนอีกกลุ่มหนึ่งได้แบบมีอะไรที่เป็นของไทยได้ รู้สึกอยากเข้าไปดู ก็อยากให้ลองเปิดใจมาดู ถ้าเกิดไม่มีใครเริ่ม ก็เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะไปไกลได้แค่ ไหน 

เติร์ด : ก็รู้สึกว่าสิ่งที่สนใจน่าจะเป็นด้วยแนวใหม่มั้งครับ ก็อยากให้ทุกคนลองเปิดใจมาดู มันก็เป็น category ที่เรา ก็ไม่เคยเห็นเยอะในวงการภาพยนต์ไทยเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจดีครับ ด้วยตัวพล็อตและตัวนักแสดง เราอยากให้ทุกคนมาเป็นกำลังใจให้กันเยอะๆ เพราะว่าเรื่องนี้ก็เป็นภาพยนต์เรื่องแรกของหลายๆ คนในเรื่องเหมือนกันครับ ยกเว้นเติร์ดที่เล่นหนังมาแล้ว

เติร์ด : ใช่ครับ เป็นเรื่องที่สอง เรื่องแรก Mother Gamer

พูดเรื่องหนังไปแล้ว ขอถามถึงเรื่องส่วนตัวบ้าง ถ้ารีวิวชีวิตตัวเองในช่วงวัยนี้ เป็นอย่างไรบ้างคะ 

กัปตัน : กัปเวอร์ชั่นอายุ 26 ก็เป็นเวอร์ชั่นที่กำลังเรียนรู้อะไรใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ มีเรื่อง

เรียนเพิ่มเติมธุรกิจบ้าง มีเรียนการแสดง พอมีธุกรกิจเข้ามา เราก็จะมองภาพเปลี่ยนไปว่าตลาดเป็นยังไง มันก็จะเห็นแบบภาพกว้าง มองโลกกว้างขึ้น

ตอนนี้ในพาร์ทธุรกิจตอนนี้ทำอะไร

กัปตันกำลังหา Partner หา Product หรือ Service ที่รู้สึกตัวเองอิน และพยาย

ามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คิดว่าเราจะสามารถทำอะไรให้โลกนี้ในอนาคตยั่งยืนได้ และทำธุรกิจไปด้วยได้

เติร์ดล่ะคะ

เติร์ด : ของผมก็เป็นสเตจที่ Transition จากการเป็นศิลปินมาเป็นเจ้าของค่ายเอง คือการเปลี่ยนผ่านชีวิต ตอนนี้มุมมองหลาย ๆ อย่างในด้านวงการเพลงก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เรามาลงทุนเอง รวมถึงควบคุม การผลิตเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคน เลือก Production ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นสิ่งที่เรียกว่าต้อง Handle เยอะขึ้น รู้สึกสนุกครับ เหมือนเราได้เลือกชิ้นส่วนทุกชิ้นส่วนกับมือของเราเอง เพื่อประกอบว่าเป็นผลงาน  

เผลอแป๊บเดียว จากตอน 9×9 ตอนนี้เติร์ด เป็นเจ้าของค่ายแล้ว เวลามันผ่านไปเร็วเหมือนกัน    

เติร์ด : ก็เร็วครับ ผมยังรู้สึกว่าวันที่ผมออกเพลงแรก แป๊บเดียวก็ 10 กว่าปีแล้ว   

ยังอยากทำอะไรในวงการนี้อีกบ้าง แพลนที่เรายังอยากทำ 

เติร์ด : ผมรู้สึกว่าความสุขของผม มันยังเป็นสิ่งเดิมอยู่ ชอบร้องเพลง ชอบอยู่บนสเตจ ก็จะเป็นความสุขของผมต่อไป ก็น่าจะอยากทำเพลงมาเรื่อยๆครับ

ส่วนพาร์ทการแสดงก็เป็นอีกมิชชั่นนึง

เติร์ด : เป็นอีกมิชชั่นนึง ที่แยกกัน

แล้วด้านวงการบันเทิงของกัปตันล่ะ เป้าหมายเป็นอย่างไร

กัปตัน : คงเป็นอาชีพที่ทำควบคู่กันไป เราอาจจะต้องเป็นนักแสดงแบบอาชีพนักแสดงขนาดนั้นแต่เราอาจจะเป็นนัก ธุรกิจ เราอาจจะเป็นอะไรหลายๆ อย่าง คือเราอยากทำอะไรๆ ที่ทำให้เราได้เจอสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ อยากหาอะไรแบบรองรับในอนาคตได้แบบทุกวิธีทางอะไรอย่างเงี้ย  เราก็ทำมาหลายอย่างแล้วด้วย ก็เลยรู้สึกว่าเราคง ต้องตัดชอยส์แล้วแหละ ว่าเราจะเป็นอะไรกันแน่ในสายทางนี้ และมันถึงจะไปเลือกสายทางอื่นได้

ซึ่งน่าจะเน้นสายนักแสดงมากกว่า 

กัปตัน : ครับผม อยากเป็นนักแสดงเป็นหลักครับ อาจจะไม่ได้ใช้คำว่าเป็นศิลปิน แต่คำว่าเป็นนักแสดงเป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เป็นศิลปินไปด้วยแล้ว เป็นศิลปิน เป็นพิธีกร ผมทำมาทุกอย่างแล้วครับ แค่ไม่ได้ลงลึกไปในสายนั้นมาก แต่มันทำให้เราเห็นว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่

10 ปีในวงการนานมาก มันเหมือนทุกปีเรามันมีโกล์มั้ง เพราะมันสำเร็จโกล์ทุกปี มันก็เลยทำให้เราแบบหล่อหลอมเป็นกัปตันคนนี้ในวันนี้ได้ เราไม่ได้จะปล่อยเวลาผ่านไป 10 ปีผมว่ามันเป็นระยะเวลาที่นาน มันต้องสร้างอะไรขึ้นมาให้ได้สักอย่างหนึ่ง

10 ปี เดบิวต์ให้เราเป็นกัปตันในวันนี้ยังไงบ้าง

กัปตัน : เป็นวันนี้แหละ ถ้าเกิดมันไม่มีอะไรสักวันหนึ่งที่ผ่านมา ผมก็ไม่ใช่คนนี้ ในเวอร์ชั่นนี้ และผมไม่รู้สึกเสียดายอะไรที่ผ่านมาเลย

เติร์ด : ของผม ถ้าเริ่มจากการแสดงเลย 18 ปี ครับ  ผมแสดงตั้งแต่ 7 ขวบครับ ถ้าเป็นนักร้องก็ประมาณ 10 ปีครับ

18 ปี ผมรู้สึกว่าเหมือนทุกๆ อย่างที่เราเจอมาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องดีไม่ดีมันประกอบให้เราเป็นเราในเวอร์ชั่นปัจจุบัน ก็เป็นเวอร์ชั่นที่เหมือนตอนนี้ ทำงานด้วยความสุขครับ เพื่อนเราค่อนข้างผ่านพาร์ทการ ทำงานมาค่อนข้างเยอะแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เราต้องการคือ เราแค่ต้องการ ทำสิ่งที่เราสนุกและมีความสุข

งานในวงการบันเทิงที่อยากทำอีกมั้ยคะ

เติร์ด : ผมว่าน่าจะลองมาหมดแล้วนะครับ แต่งานเบื้องหลังเป็นพาร์ท ที่จะไม่แตะเลยครับ เพราะผมชอบอยู่ข้างหน้า แต่เขาเป็นพาร์ทที่สำคัญมาก ผมแค่รู้สึกว่าความสุขคือการอยู่บนเวที เป็นสิ่งที่ทำให้เรายังอยากทำอาชีพนี้ต่อ

ในวันนี้เติร์ดยากขอบคุณใครที่สุด

เติร์ด : อยากขอบคุณตัวเองครับ 18 ปีมันก็นานเหมือนกันเนอะ ขอบคุณตัวเองที่วันนี้ยังมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ ขอบคุณตัวเองที่ไม่เบื่อ เพราะว่าผมรู้สึกว่าแบบ ถ้าอาชีพนี้นะ ถ้าเราไม่ได้ชอบจริงๆมั นอยู่ยากมากเลย กับการที่ ต้องอยู่นานขนาดนี้

กัปตัน : ทุกอย่างอ่ะทุกอย่างที่แบบหล่อให้เราเป็นคนนี้ ทุกคนที่เข้ามาครับ

สุดท้ายฝากภาพยนตร์ Achilles Curse…อคิลลิสเคิร์ส กับสมบัติต้องคำสาป”

กัปตัน : ฝากหนัง ผมว่ามันมีคนที่ชอบหนังแนวนี้ คนกลุ่มนี้แหละมันเป็นกลุ่มที่ค่ายอยากดูแบบเชอร์ล็อกโฮม ผมว่ามัน  เป็น Good Choice ที่จะทำให้เปิดตลาดอีกตลาดหนึ่งในเวอร์ชั่นไทย ผมว่าทุกคนตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุด ด้วยความเป็นแฟนตาซี มันคือการเอาเรื่องของจินตนาการออกมาให้คนได้ดู ก็อยากให้ทุกคนมาดู มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และอยากให้ผลักดันสิ่งนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไปสู้กับต่างประเทศได้ อยากให้ไทยเป็นจุดที่ เหมือนมันเป็น hub ของวงการอุตสาหกรรมภาพยนต์ไทยด้วย

เติร์ด : ก็อยากฝากทุกคนมาติดตาม “Achilles Curse…อคิลลิสเคิร์ส” กับสมบัติต้องคำสาป กันเยอะๆ เปิดใจลองมาดูกันเพราะว่ารู้สึกว่าอันนี้เป็นการที่ออกจากกรอบภาพยนต์เดิมๆ อยากให้ทุกคนเป็นกลางใจให้ทั้ง ผู้ผลิตและก็นักแสดงครับเพราะว่าทุกคนก็ตั้งใจกันทำงานมากๆ ก็ลองเปิดใจมาดูกันครับ

Text: ohhioh

Photo: Ton

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up