Paper Planes หัวหน้าแก๊งวัยรุ่นฟันน้ำนมที่สร้างปรากฎการณ์ทรงอย่างแบด แต่ไม่แซด เพราะชนะใจแฟนเพลงทุกรุ่น!

account_circle
event

Paper Planes วงดนตรีร็อกที่มีแฟนเพลงวัยรุ่นฟันน้ำนมร้องเพลงตามแบบสุดพลัง สร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ขวัญใจลูกเล็กเด็กแดง ไปจนถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง เพราะไม่ว่าพี่ฮายพี่เซน แนะนำให้ทำอะไร ลูกหลานต่างทำตามแบบว่านอนสอนง่ายจนพ่อแม่ยังงง!

หากย้อนกลับไปยังจุดเริ่ม ของ 2 สมาชิก ฮาย-ธันวา เกตุสุวรรณ และ เซน-นครินทร์ ขุนภักดี กว่าที่จะกลายเป็นวงร็อกดาวรุ่งอย่างทุกวันนี้ พวกเขาผ่านเส้นทางการพิสูจน์ตัวเอง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และเฝ้ารอความสำเร็จอย่างเข้าใจในความเป็นตัวเอง บทสัมภาษณ์ที่ไม่เสแสร้งนี้จะทำให้เราเข้าใจความเป็น Paper Planes อย่างถ่องแท้ และชื่นชมพี่ฮายพี่เซนมากขึ้นไปอีก

อัพเดทชีวิตช่วงนี้กันสักนิด คิวงานแน่นมากตอนนี้

ฮาย: นอนน้อยแต่นอนนะ (หัวเราะ) เรียกว่างานยุ่งมาก มีคิวแทบจะทุกวันเลยครับ มีตารางโชว์ประมาณ 15 วัน นอกจากนั้นพวกเราก็จะทำงานเบื้องหลังกันให้กับศิลปินอื่นๆ ด้วยครับ

ถ้ามีเวลาว่างจะทำอะไรกันเหรอคะ

เซน:  เวลาว่างก็เล่นเกมส์ ดูหนัง นอน

ฮาย: ได้กินของอร่อยๆ เป็นสิ่งที่เติมความสุขให้กับตัวเองได้อย่างง่ายๆ เลยครับ

ผมว่าการนอนจริงๆเป็นเรื่องง่ายๆ แต่มันช่วยได้เยอะจริงๆ พอเวลาเรานอนพอ มันจะรู้สึกสบายใจ ตื่นขึ้นมาก็จะสดชื่นมากๆครับ

ที่บอกว่าชอบเล่นเกมส์ ติดเกมส์กันเลเวลไหนคะ

ฮาย: ช่วงนี้ผมพยายามปรับ ไม่ค่อยเล่นเกมส์ที่มีสตอรี่ยาวๆ ส่วนใหญ่จะเล่นเกมส์ที่จบง่ายๆ จบเป็นแมทช์ และเล่นได้กับเพื่อนหลายๆคนครับ เพราะงั้นจะไม่ได้นอนและจะยิ่งเสียสุขภาพ เมื่อก่อนก็เล่นยาวๆ ได้ครับ แต่ช่วงนี้ก็พยายามทำกิจกรรมร่วมกันมากกว่า จะได้เหมือนกับบังคับให้ทุกคนได้มาเติมความสุขด้วยกันครับ

ขอย้อนถามไปช่วงแรกๆ ถึงจุดเริ่มต้นที่เข้ามาทำงานในด้านดนตรีเริ่มกันตั้งแต่ตอนไหนคะ

ฮาย: เด็กๆเนอะ

เซน:  จริงๆก็ตั้งแต่เด็กๆ ของผมถ้าชอบดนตรี น่าจะช่วงประถม 10 ขวบครับ

ฮาย : คล้ายๆกันครับ ตอนนั้นชอบดนตรี พวกเราจะมีแรงบันดาลใจเป็นพี่ๆในค่ายอย่าง แกรมมี่ เช่น บอดี้สแลม, เรโทรสเปกต์, สวีตมัลเล็ต

เซน : ศิลปินในค่ายทุกคนเป็นหัวกะทิทั้งนั้นเลยครับ (หัวเราะ)

ฮาย : พอเราเริ่มเล่นดนตรีก็เริ่มอยากมีวงแบบพี่เขา อยากมีเพลงกับพี่เขา อยากเข้าไปอยู่ในค่ายแบบพี่เขา เราก็เริ่มฟอร์มวงตัวเองกัน แต่ละคนมีวงเป็นของตัวเองกันมาก่อน และได้มาเจอกันหลังจากนั้นครับ เพราะฉะนั้น ถ้าให้พูดถึงช่วงแรกในยุคของผมคือ ผมต้องศึกษาวิธีการทำเพลงเองเอง เพราะเรายังไม่มีเงินที่เข้าห้องอัด เลยเริ่มศึกษาพวก computer music รวมถึงโปรแกรมต่างๆ ที่ใช้ในการทำเพลง จึงเป็นจุดเริ่มต้น parallel กับการทำวงไปด้วย ก็เลยเหมือนได้ฝึกให้เรารู้ว่า การทำเพลงต้องทำยังไง พอเราทำเพลงได้ เราก็ไปทำให้ศิลปินท่านอื่น เพื่อเป็นรายได้ให้กับตัวเองด้วยครับ

เซน : มันเป็นมากกว่าการเล่นดนตรีเพื่อหารายได้นะ มันไปถึงจุดที่เราอยากสร้างผลงานของตัวเอง เลยเริ่มศึกษาพวกงานเบื้องหลังไปด้วย

ตลอดระยะเวลาหลายปีกว่าจะมีวันนี้การรอคอยให้อะไรกับทั้งคู่บ้างคะ

ฮาย : มันเป็นการรอที่เหมือนไม่ได้รอ เพราะเราทำงานเบื้องหลังให้ศิลปินท่านอื่นๆ ด้วย เรารู้ว่าแค่ต้องทำไปเรื่อยๆ ให้ผลงานของเรามีมาตรฐาน และมีความชัดเจน จนวันหนึ่งก็จะถึงวันของพวกเราเอง เราจึงไม่ได้รู้สึกว่ารอนานขนาดนั้น เพราะเราก็ขยับไปทีละเป้า ความจริงแล้วเส้นทางของแต่ละวงก็ไม่ได้เหมือนกันครับ บางวงก็จะทำสิ่งนี้ก่อนและค่อยไปทำสิ่งนั้น หรือบางวงก็จะมีโจทย์ของตัวเองที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะเริ่มในแง่ของการทำเพลงให้ง่ายที่สุดไว้ก่อน เพื่อที่จะดึงคนฟัง  บางคนเริ่มที่การเป็นนักแสดงมาก่อน และมาทำเพลง อย่างของพวกเราไม่ได้พยายามทำให้เข้าสู่ Mass Platform เร็ว แต่ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองมีเอกลักษณ์ที่ชัดที่สุด แตกต่างมากที่สุด ซึ่งถ้าเอาเพลงของเรามาอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ คนอื่น ก็อาจจะไม่ได้เป็นค่ามาตรฐานขนาดนั้น ผมเรียกว่าเป็น ความแปลกละกัน

เซน : แต่ถ้าในแง่ของการบ่มเพาะ ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องของตัวตน เรายิ่งบ่มเพาะ มันจะยิ่งชัดเจนขึ้นไปเรื่อยๆ

ฮาย : เราก็ไม่ได้ทำเพลง pop มาตั้งแต่แรก เราเลยเข้าใจ way ของมัน เข้าใจทางที่เราเลือก การทำชื่อเสียงในวงกว้าง มันเลยไม่ได้เป็นโจทย์ของเรา เราคิดว่ามันไปได้ แต่ต้องไปด้วยทางที่ธรรมชาติ และมันจะมีเวลาของมันเอง แค่รู้สึกว่าไม่ถึงกับต้องร้อยล้านวิว แต่เราจะมี audience ของเรามาเอง เราจะมี core target  กลุ่มก้อน แฟนเพลงอะไรแบบนี้ และมันจะโตได้เหมือนกัน จากประสบการณ์ที่ทำเบื้องหลังมา หลายๆคนอาจจะคิดว่าการจะประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงหรือในฐานะศิลปินต้องมียอดวิวที่เยอะ แต่จริงๆแล้วศิลปินทุกคนมีฐานของตัวเองและสามารถเติบโตทำเงินได้อาจจะในจำนวนเท่ากันกับคนที่ทำได้ร้อยล้านวิวไปเลยด้วยซ้ำ ถ้าเรามีฐานที่มั่นคงและชัดเจน

เซน : ซึ่งกลุ่มคนที่ติดตามเรา เขาจะพร้อมซัพพอร์ตเรามากๆ

ฮาย : จริงๆ แล้วศิลปินในไทยมีคนที่ยอดวิวไม่ต้องถึงสิบล้านวิว แต่ผมเชื่อว่าเขารวยกว่าคนที่มีถึง เพราะเขามีความชัดเจนในตัวเอง และเขารู้ว่าต้องทำยังไงกับ Audience ของเขา ร้อยล้านวิวมันอาจจะเป็นแค่ข้างหน้า ซึ่งเราก็ยินดีนะ (หัวเราะ) เราก็อยากได้ร้อยล้านวิวเหมือนกัน ถ้าเลือกได้ก็อยากได้ทุกทาง แต่ง่ายๆ แค่ต้องทำค่ามาตรฐานให้แข็งแรงในแบบของตัวเอง เข้าใจธรรมชาติของตัวเราเอง ว่าเราอยู่จุดไหน เราเล่นลีกไหน

ทำเพลงมาหลายเพลง จากเพลงเสแสร้ง” ซึ่งก็มีความพีค และที่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ทรงอย่างแบดที่เรียกว่าเป็นเพลงที่เปลี่ยนชีวิตของ  Paper Planes

ฮาย : เรียกว่าอย่างนั้นได้เลยครับ จริงๆ แล้วเพลงเสแสร้ง ถือว่าประสบความสำเร็จสำหรับเราแล้วนะในฐานะวงร็อค แต่ ทรงอย่างแบด พาเราไปจุดที่กว้างมากขึ้น ค่อนข้างไปสุดทางเลย เราได้มีแฟนคลับใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กจนถึงคุณปู่คุณย่าเลย อย่างงานล่าสุดตอนกลางคืน ก็มีคุณยายตามมาดู

ตกใจไหมคะกับความพีคนี้

ฮาย : ก็สนุกนะ คือความเป็นพวกผมอะ  ด้วยความที่เป็นศิลปินวงร็อค เวลามันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับพวกเรา เราจะรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ พวกเราเลยตื่นเต้นกับการก้าวเดินของพวกเราอยู่เสมอ

มีแฟนคลับทุกกลุ่มแบบนี้มีวิธีตั้งรับยังไงกับแฟนๆ ที่ชื่นชอบเรา

ฮาย : ถ้าเรื่องวิธีคิด ผมไม่ค่อยเป็นห่วง เพราะอย่างเพื่อนก็มีวิธีคิดที่โอเคอยู่แล้ว และคงเป็นเพราะช่วงวัยเด็กของผม เหมือนโลกโยนให้เราไปต่อสู้กับอะไรค่อนข้างเยอะ เราเลยเป็นคนที่คิดเยอะ วิเคราะห์ สังเกตอยู่เสมอ เราเลยไม่ค่อยห่วงตัวเองในเรื่องนั้น แต่ว่าในเรื่องการวางตัวเราก็ปรับตัวประมาณหนึ่งเหมือนกัน เหมือนคนส่วนใหญ่จะ defined ว่ามีแค่เรื่องดีและเลว ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่าการใช้ชีวิตมันมีเฉดสีมากกว่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่เราต้องปรับตัว ทำให้คนเห็นว่าจริงๆ แล้วเราอาจจะไม่ได้วางตัวดีมากนัก แต่สามารถอยู่ในพื้นฐานที่อยู่ร่วมกับคนในสังคมได้

อย่างเช่นเรื่อง รอยสัก คนทั่วไปโดยส่วนใหญ่และดั้งเดิม จะ defined ว่าเป็นสิ่งที่ดีและไม่ดีไปเลย หลายคนไม่ได้คิดว่ามันอาจจะเป็นตรงกลาง มันอาจจะเอียงซ้ายอยู่ มันอาจจะเอียงขวาอยู่ แล้วแต่บริบท คนมักไม่ได้ดูบริบทรวมๆ ว่า มันคืองานศิลปะหรือความชอบของเรา ถ้าจะมองให้มันแย่ก็มองได้ อย่างเช่น การสักก่อนวัยอันควร อันนี้ก็อีกบริบทนึง แต่ถ้าเกิดเรามองว่ามันเป็นงานศิลปะก็อีกบริบทหนึ่ง เพราะฉะนั้นการออกมาพูดให้คนเข้าใจ 2-3 ประโยค มันเป็นเรื่องที่ยาก เราจึงต้องค่อยๆ พูดไปเรื่อยๆในทุกๆ ครั้งที่เรามีโอกาสได้พูดในสื่อ

รู้สึกยังไงที่ทุกคนมองเราเป็นหัวหน้า “แก๊งฟันน้ำนม” กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลสำหรับเด็กไปแล้ว

ฮาย : แรกๆ รู้สึกดีใจมากๆ เพราะพวกผมมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมในบางมุมเท่าที่ตัวเองอยากทำอยู่แล้ว ตั้งแต่เพลงยังไม่ดังเลย คือเราอยู่กับวงการบันเทิง อยู่กับศิลปิน เรารู้สึกว่าศิลปินพูดแล้วเสียงดัง ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง เรารู้สึกว่าวันที่เราเติบโตขึ้นมาแล้วเจอปัญหาอะไรมาบ้าง เราอยากจะเปลี่ยนแปลงตรงนั้นโดยใช้เสียงของเราเอง

และในวันหนึ่งที่เรามีพลังตรงนี้ เลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เรายินดีมากๆ อย่างเรื่องการศึกษา ที่บอกไปในตอนแรก ผมรู้สึกว่าการศึกษามันไม่ได้เข้าถึงได้ทุกคน การศึกษาดีๆ และเฉพาะทางมากๆ ต้องเป็นคนที่มีเงินเท่านั้น ก็เลยคิดว่าจะออกมาเริ่มทำอะไรมากขึ้น เช่น ลดช่องว่างในการศึกษา มีการศึกษาหลากหลายทางเลือกมากขึ้น ประมาณนี้ครับ

ยินดีในการเป็นหัวหน้าแก๊งนะ เพราะเราก็ต้องการที่จะได้ทำอะไรแบบนี้ แต่ถ้าถามว่ามีความยากไหม ก็มีนะ อย่างที่ผมบอก ขอใช้คำว่าเป็นคนสีเทาๆ ละกัน ผมรู้สึกว่าคนบนโลกนี้มันไม่มีคนดีไม่ดี มันคือคนที่เป็นสีเทาในแต่ละเฉดของตัวเอง ก็เลยวางตัวยากนิดนึง เพราะเมื่อเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เรารับสิ่งที่ไม่ดีมา เรารับผิดชอบกับมันได้ แต่ในการที่เราจะแสดงออกไปให้เด็กๆ ดูว่า การรับสิ่งไม่ดีเข้ามา มันอาจจะเร็วไปสำหรับเขาในบางเรื่อง อย่างเช่นเรื่องของ การอยู่ในสถานที่บันเทิงตอนกลางคืน รอยสัก บุหรี่ เหล้า การแต่งตัว และการวางตัว ผมรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ยาก และเราก็เป็นห่วงในความคาดหวังของผู้ปกครองบางคนที่รู้สึกว่าเราจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีตลอดไป เพราะบางทีเราก็มีผิดมีถูก มีพลาดได้

เซน : เราขอออกตัวเลยนะครับว่าเราก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่ผู้ปกครองหรือคนที่มองเข้ามาจะคาดหวัง ประมาณว่า ‘ลูกหลานฉันรักเธอแล้ว ฉันก็อยากให้เธอเป็นทุกอย่างของลูกฉัน’ แต่เราก็ไม่สามารถเป็นทุกอย่างให้ใครหลายๆคนได้

ฮาย : อย่างบางเรื่อง เช่น การกินนม โชคดีที่เราไม่ค่อยได้กินเหล้ากันอยู่แล้ว ก็เลยกินได้ ไม่ดูเป็นเป็นการฝืนขนาดนั้น แต่มันก็มีบางเรื่องที่เราก็ไม่ได้ทำเป็นปกติ เราจึงพยายามทำในสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว อย่างล้างจมูก ทำอยู่แล้ว ดื่มนม กินกันทุกวันอยู่แล้ว แต่อย่างกินผัก เราก็เลือกกินแค่บางชนิด

แฟนเพลงเด็กๆ เปลี่ยนอะไรในตัวทั้งสองคนไปบ้าง จากเดิมที่ไม่เคยเป็นเลย แต่พอเราได้เป็นที่รักของเด็กๆ เราอาจจะต้องปรับเพื่อเขาสักหน่อยละ

เซน : จริงๆมันก็ปรับตามอัตโนมัติ อย่างเช่น วิธีคิดที่ดูซอฟต์ลง

ฮาย:  อย่างผมไม่เคยใส่แว่นเลย ช่วงหลังก็ใส่บ่อยขึ้นเพื่อความซอฟต์ (ยิ้ม) ทีนี้เวลาต้องสื่อสารหรือให้ข้อมูลอะไรในเชิง educate การใส่แว่นก็ช่วยได้ครับ ก่อนหน้านี่้ผมก็ทำอะไรแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว แต่ ณ วันนั้นเสียงมันยังไม่ดังพอและก็ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกก็ยังเป็นเรื่องจำเป็น ทีนี้พอการใส่แว่นทำให้ผมดูเนิร์ดขึ้นอีกนิด เวลาพูดอะไรก็ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นอีกหน่อย  ผมก็รู้สึกว่าถ้าการทำแค่นี้มันช่วยให้เราสื่อสารเรื่องที่เป็นประโยชน์ได้ง่ายขึ้น ผมก็ยินดีที่จะทำ  

เซน : ผมรู้สึกว่าเมื่อก่อนเราสองคนจะมีความหม่น อย่างการแสดงออกด้านภายนอกอะไรแบบนี้อะครับ ตอนนี้เวลาเราเจอน้องๆ เรายิ้มมากขึ้น

ฮาย : มันเหมือนกับเรานอนพอ แล้วเราก็สดใสครับ แล้วพอเรามาเจอเด็กๆ ที่สดใส มันก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ คือเห็นเด็กยิ้ม จะไปตึงใส่เด็กก็แปลกๆ ครับ (หัวเราะ)

เซน : บางทีน้องๆ มาแบบทำอะไรดูตลกๆ น่ารักๆ ใส่เราอย่างเนี้ย เราก็สู้เลยครับ ตลกสู้กันไป (หัวเราะ)

ฮาย : รู้สึกว่าเด็กๆทำให้เรากลายเป็นคนที่ซอฟต์ลง และแสดงออกในมุมที่สดใสมากขึ้น เด็กๆ เป็นจุดเชื่อมให้ละลายความอคติของผู้ปกครองที่เขาตัดสินรูปลักษณ์จากภายนอก  เด็กๆ เป็นจุดเชื่อมที่ดีมากและตรงจังหวะมากๆ ในวันที่ทุกๆ อย่างของเรามันจะยกไปเป็น gen ของเขาแล้ว และทางผู้ปกครองก็กลายเป็นรักเราสองคนไปด้วยเลย

ก่อนจะมีเป็นหัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม เคยเจอคอมเมนต์อะไรแรงๆ มั้ยคะ   

ฮาย : ใช้คำว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ เมื่อก่อนทุกคนจะตัดสินผมอย่างรวดเร็วเลยว่า ผมแย่ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การกระทำ ที่โดนแรงสุดๆ คือ … เช่น  ผมคบกับใครสักคนในวงการ ก็โดน bully แล้ว ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก ไม่เหมาะสมบ้าง แต่ถ้าเป็น ณ วันนี้ ผมเชื่อว่ามันจะเป็นคนละแบบ ทั้งๆ ที่เป็นผมคนเดิม

เซน : หรือแม้แต่สิ่งที่เราทำทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่า ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจจะโดนว่า สร้างภาพ หรือ fake

ฮาย : แต่มา ณ วันนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งเด็กๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เปลี่ยนได้ ผมรู้สึกว่ามันดีมากๆ เพราะวันหนึ่งมันจะเป็นรุ่นของพวกเขา และเขาไม่ควรเจอเรื่องอะไรแบบนี้แล้วครับ

เวลาไปงาน เจอทั้งเด็กๆ พ่อแม่ คุณปู่ คุณย่า มาคอยยืนเชียร์รู้สึกอย่างไรบ้าง

เซน : รู้สึกดีครับ น่ารักมาก เห็นว่าผู้ปกครองซัพพอร์ตน้องๆ พาไปเที่ยว

ฮาย : เรารู้สึกว่ามีครอบครัวใหญ่ขึ้น เหมือนเรากลายเป็นลูกเป็นหลานเขาไปด้วยเลยครับ อย่างตอนนั้นก็มีมาเป็นครอบครัว มีคุณยายมาด้วย เขาบอก “อย่าลืมกินขนมนะลูก ยายซื้อมาให้ ร้านนี้อร่อย” “เจริญๆนะลูก” น่ารักมากเลยครับ ซึ่งเวลาตอนนั้นก็เที่ยงคืน ในชีวิตผม ผมไม่เคยคิดว่าจะมีคุณยายมาดูผมในผับเลย แต่มันได้เกิดขึ้นแล้วครับ ผมแบบ ห๊ะ…ยายของผมที่นั่งเปิดทีวีดู ยังจำหลานตัวเองไม่ได้เลย (หัวเราะ) และคุณยายคนนั้นก็บอก เดี๋ยวจะตามไปดูอีก แต่ผมก็แอบเป็นห่วงกันมาก เพราะไม่อยากให้เด็กๆ เข้าไปในร้านเหล้า ผมว่าเรื่องนี้เราต้องมา discuss กันอีกที เพราะมันเป็นความกังวลของวงอย่างหนึ่ง ว่ามันถูกต้องจริงไหม มันเป็นเทาเข้มหรือเทาอ่อน ต่อให้มันถูกต้องทั้งหมด แต่การที่เด็กคนหนึ่งจะต้องนอนดึก มีคนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ หรือเจอคนเมาอยู่ในสถานที่นั้น ซึ่งสภาพแวดล้อมมันไม่โอเค security ไม่ได้ครอบคลุมขนาดนั้น คนเมาคือคนที่ไม่ได้มีสติ 100% ซึ่งอันตรายมากสำหรับเด็กๆ สำหรับผมนะ ผมมองว่า ยังไม่ควร เคยบอกกับผู้ปกครองนะ “ไปเจอกันงานกลางวันไหม” บางคนก็ฟัง แต่บางคนก็รู้สึกว่า ฉันไม่มีโอกาสจะได้เจอพวกเธอแน่ๆ ทำให้ตอนนี้เลยพยายามรับงานกลางวันให้มากขึ้นครับ

มีโมเมนต์ไหนของแฟนๆ ที่ประทับใจที่สุดไหมคะ

ฮาย : เอาโมเมนต์แรกที่ประทับใจกันสองคนละกัน ผมว่าน่าจะเป็นตอนที่เพลงเสแสร้งดัง เพราะว่ามันเป็นช่วงที่เราบ้าบอกันมาก มันเป็นความยิ่งใหญ่สำหรับตัวพวกผมเอง เพราะผมรู้สึกว่าการจะทำให้เพลงแบบนี้ที่มันไม่ใช่มาตลอด ในระยะเวลาประมาณ 5 ปี 10 ปี แล้วมาวันหนึ่งเราทำได้ ทำให้มันใช่ในวันนี้ มันคือการอยู่ดีๆก็เกิดสิ่งที่แตกต่าง ผมภูมิใจกับตัวเองและเพื่อนๆ มากๆ เพราะตอนแรกเราไม่ได้เชื่อว่ามันจะดัง เราแค่เชื่อว่ามันจะสร้างสีสันให้กับวงการได้ นับตั้งแต่วันนั้นมันทำให้เราปลดล็อกทุกอย่างได้เลยครับ ว่าแบบ เออ… เราทำได้แล้วนะ จากที่มีคำพูดมากมายที่เวลาผมทำเบื้องหลัง “เราทำเพลงให้คนอื่นดัง เมื่อไรจะทำเพลงตัวเองให้ดังได้” คือมันอยู่ในใจมาตลอด

กดดันไหมคะตอนนั้น

ฮาย : ไม่กดดันในแง่ของตัวเอง แต่ผมกดดันที่จะต้องคอยอธิบายว่า เรารู้อยู่แล้วว่าเราเล่นลีกไหน ทุกคนก็มี way เป็นของตัวเอง ณ โมเมนต์นั้นผมก็ประทับใจที่สุด เพราะเราทำได้แล้ว เรารู้สึกว่า เราอยากให้มันมีสีสันใหม่ๆ ในวงการบ้าง คนอื่นอาจจะเฉยๆ อาจจะรู้สึกว่ามันแค่เพลงร็อค แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนหลายๆ อย่างให้กับ gen ใหม่

เซน : ผมจำได้เลยนะ ช่วงตอนนั้นที่เสแสร้งดังแรกๆ จะมีคลิปที่พวกผู้ใหญ่ที่โตๆ แล้ว เขาหันมา cover เพลง

ฮาย : ลองนึกภาพ คุณพ่อ คุณแม่ ที่เขาไปทำงาน มีครอบครัวแล้วแต่วันหนึ่ง เพลงเราดังขึ้นอะ เขากลับมาเล่นกีตาร์ มันรู้สึกดีมาก

เซน : มันคือสิ่งที่เขาห่างไปนาน และกลับมาทำในสิ่งที่เขารักมากๆ ครับ

ฮาย : เป็นความธรรมชาติมากๆ เราไม่ได้ต้องการที่จะทำเพลงดัง แต่มันดัง และทุกคนกลับมาด้วยความรัก ทุกอย่างมันธรรมชาติมาก ไม่มีอะไรเจือปน ทุกอย่างมันเป็นโมเมนต์ที่ดีและมันน่าจะอยู่กับเราไปจนตายเลยครับโมเมนต์นี้

ในฐานะศิลปิน มองอุตสาหกรรมเพลงบ้านเราเป็นยังไง

ฮาย : บ้านเรายังต้อง educate ในเรื่องของลิขสิทธิ์ทางปัญญามากขึ้น ยังคงต้องทำอยู่เยอะมาก และในส่วนของเรื่องอื่นๆ ที่ผมคิดว่ายังต้องปรับไปเรื่อยๆ ก็คือ เรื่องของการโชว์ ตอนนี้วงยังเป็นลักษณะของการทัวร์ร้านเหล้าไปเรื่อยๆอยู่ ผมอยากเห็นโชว์ที่เป็นเหมือนกับ Headlined tour เป็นแบบ Festival เยอะๆ อยากให้มีการสนับสนุนวงการเพลงบ้านเรา และส่วนหนึ่งก็พาศิลปินบ้านเราไปต่างประเทศ อาจจะยังไม่ต้องไปถึง Festival ต่างประเทศก็ได้ เอา Festival ในบ้านเราก่อน คือผมยังอยากเห็นภาพศิลปินไทยเล่นใน Festival มากกว่าร้านเหล้า

เซน : มันคือการเพิ่มพื้นที่ของประเทศเราให้มีการแสดงดนตรีมากขึ้น

ฮาย : และที่สำคัญคนที่จะมีโอกาสได้ไปเล่นร้านเหล้าก็เป็นวงที่มี “ร้อยล้านวิว” เท่านั้น แต่จริงๆแล้วถ้ามี Festival คุณจะได้เห็นคนที่อาจจะมียอดวิวแค่หลักล้าน แต่มีแฟนเพลงหลักหมื่น สำหรับผมนะนี่แหละคือของจริง ! ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ในร้านเหล้า เพราะฉะนั้นผมอยากให้ผลักดัน Festival ในไทย ไม่ว่าจะหน่วยงานไหนหรือพวกเราเองก็ตาม หรือค่ายเพลงเองก็ตาม มันคือของจริง ซึ่งทุกคนจะมีโอกาสเท่ากัน

แล้วในแง่ของการฟังเพลง สตรีมมิ่ง แอพต่างๆ สำคัญกับศิลปินมากขนาดไหน

ฮาย : สตรีมมิ่งนี่ของจริงสำหรับผมเลย พอมันหลากหลายมากขึ้น เราได้เห็นว่า บางคนไม่ได้อยู่ในแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งแล้วแบบทะลุร้อยล้านวิว แต่พอเขาอยู่ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ เขาโตอะ มีวงที่โตกว่าวงผมด้วยซ้ำ มันช่วยผลักดันให้คนเห็นเขา และมันช่วยทำให้เขามีคุณค่าในเส้นทางของเขา สตรีมมิ่งสำคัญมาก มันทำให้ตัวตนของศิลปินชัดขึ้น

เซน : ผมรู้สึกว่านั่นคือการสะท้อนให้เห็นถึงการซัพพอร์ตของแฟนเพลงที่ชัดเจนมากๆ

ฮาย : อย่าง Spotify ก็เป็นแอพที่ Worldwide ช่วยในเรื่องของการมองเห็นได้มาก สำหรับผม ผมมองว่า ถ้าเกิดสตรีมมิ่งไม่หลากหลายมากพอ และคนยึดคุณค่าจากสตรีมมิ่งหรือแพลตฟอร์มเดียวมันจะคอขวดมากๆ วงที่ดังอยู่แล้วก็จะดังยิ่งขึ้นอีก ส่วนวงใหม่ก็แทบจะไม่มีโอกาส ซึ่งผมว่า Spotify เสริมตรงนี้ได้ดี ทำให้การมองเห็นศิลปินใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่ผมชอบคืออัลกอริทึมของเขาที่จะ suggested วงที่เราไม่รู้จัก มันเหมือนเป็นการที่เราปิดตาและฟัง ถ้าเราชอบจริงๆมันคือความชอบที่ pure และมีคุณค่ามากๆ แล้วเราค่อยมาเปิดดูว่าเขาคือใคร ดังหรือไม่ดัง ผมกับเซนรู้สึกชอบสิ่งนี้มากๆ มันเป็นเหมือนกับการดันศิลปินใหม่ๆ ให้เขาได้พิสูจน์ตัวเองในแง่ของแฟนเพลงจริงๆ โดยที่ไม่ได้มี Marketing คุมตั้งแต่แรก อย่างการทำ playlist แนะนำแนวเพลงเพลงนี้ วัดจากพฤติกรรมการฟัง มันทำให้เรามีโอกาสได้เจอกับวงใหม่ๆในแบบสไตล์ที่เราชอบ ผมเชื่อว่าวงเพื่อนๆเราก็โตจาก Spotify ใช้คำว่าโตแบบ ร้องตะโกนครับ

เป็นเบื้องหลังทำเพลงให้กับศิลปินมากมาย มีคนไหนอีกไหมที่เป็น Mission ของเรา ที่อยากร่วมงานด้วย

ฮาย : พี่เบิร์ดครับ (หัวเราะ)  คือผมรู้สึกว่าแต่ละช่วงชีวิตของคน จะมีบุคคลสำคัญของช่วงเวลานั้นๆ ใน gen นั้นๆ อย่างพี่เบิร์ดเป็นบุคคลสำคัญในช่วงชีวิตของเราเหมือนกัน เพราะคุณพ่อ คุณแม่เสพติดการฟังเพลงพี่เบิร์มากๆ (หัวเราะ) และผมก็ฟังเพลงพี่เบิร์ดเพราะคุณพ่อคุณแม่เลยครับ เหมือนเป็นโมเมนต์ความทรงจำในช่วงชีวิตของเรา

เซน : ของผมจริงๆก็คล้ายๆ ฮายนะ ผมอยากร่วมงานกับรุ่นพี่ อย่าง พี่เสก ครับ การที่วัยรุ่น NONAME สามารถทำเพลงเองด้วยกันได้ และเวลาเราได้เจอรุ่นพี่ เขาก็สามารถได้ inspiration จากพวกเราเหมือนกัน ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นลูปที่แข็งแรงของวงการเพลงไทยครับ

มีอะไรอยากจะบอกแฟนๆ ทุกรุ่นที่ชื่นชอบ Paper Planes

ฮาย :  ขอบคุณแฟนๆ มากครับ ณ วันนี้ที่พวกเราเป็นวงที่มีแฟนคลับเหมือนกับคนอื่นๆ แล้ว และขอบคุณแฟนเพลงดั้งเดิมที่ยังอยู่และคอยติดตามพวกเรามาตลอด รวมถึงแฟนเพลงใหม่ๆ ที่เข้ามารัก เข้ามาชื่นชอบ ในความเป็นเรา ในแบบพี่ฮาย พี่เซน หรือในความเป็น Paper Planes ก็ตาม ขอบคุณทุกการซัพพอร์ต และสัญญาจะยังคงเป็นเราในแบบของเรา จะทำเพลงแบบตั้งใจจริง ที่ไม่มีอะไรมาเจือปนเลย จะเป็นความชอบของพวกเราล้วนๆ และเราก็จะซัพพอร์ตซึ่งกันและกันไปเรื่อยๆ อยากให้ชอบในความเป็นเราจริงๆ เราที่อยู่ตรงกลาง ไม่ได้เป็นคนดีหรือไม่ดี เราเชื่อว่าทุกคนมีเฉดสีเทาในแบบของตัวเอง และพวกเราจะอยู่ร่วมกันได้แม้เราจะนิสัยต่างกันก็ตาม

Text: AuAi Photo: เนาวพจน์ โพธิเกษม

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เบื้องหลังกว่าจะมาเป็น The Glory และบทสัมภาษณ์พิเศษ นักแสดงเลือกบทบาทในเรื่องที่อยากลองเล่น!

ทำความรู้จัก TEMPEST บอยแบนด์เกาหลีรุ่นใหม่วิชวลปัง ความสามารถเริ่ด เสน่ห์พุ่งกระจายผ่านสัมภาษณ์พิเศษ

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up