สุดฯ แยกพัฒนาการ ไบร์ท นรภัทร วิไลพันธ์ุ อีกหนึ่งนักแสดงดาวรุ่งมาแรงอีกคนของวงการที่ตอนนี้ไม่พูดถึงเขาไม่ได้เลย ทั้งความหล่อที่ดาเมจรุนแรงมากทำเอาสาวๆ ใจละลาย ด้านเรื่องฝีมือไม้ลายมือทางการแสดงของเขาที่หลายคนพูดชื่นชม และยกนิ้วให้จากละครใต้หล้า ซึ่งไบร์ทได้พิสูจน์ฝีมือผ่านความพยายามและตั้งใจจนแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ใบบทของ หิรัญ ตัวร้ายที่ทำเอาคนดูหลงรักกันทั้งประเทศ
รู้มาว่าตอนเด็กๆ ไบร์ทเป็นเด็กที่เรียนดีมากๆ แต่ก็เฟี้ยวไม่เบาเลยใช่มั้ยคะ
ไบร์ทเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อทำงานแล้วแม่อยู่บ้านครับ ก็เลยจะสนิทกับแม่คุยกันได้ทุกอย่าง ไปไหนบอกหมด เวลามีเรื่องอะไรเขาจะได้ตามตัวเราได้ถูก แต่พ่อจะหัวโบราณ เข้มงวด มีกรอบมาก ผมเองก็พยายามค่อยๆ ทลายกรอบออกเบาๆ พยายามบอกพ่อว่าเราโตแล้วนะ มันแบบนี้ๆ นะพ่อ (ยิ้ม)
ชีวิตวัยเรียนผมก็เป็นเด็กนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งครับ ก็มีเรื่องชกต่อย สมัยเรียน ความที่เราเรียนโรงเรียนใหญ่ มีทั้งผู้ชายผู้หญิง ก็จะมีทะเลาะกันบ้าง เรื่องผู้หญิง เรื่องอำนาจในโรงเรียน มีการเขม่นกัน มีเรื่องกันกับเด็กนอกโรงเรียน มีเรื่องกับเด็กจ้อน (เด็กเกเรที่ไม่เรียนหนังสือ) เขามาหาเรื่องเรา ปาระเบิดเข้ามาในโรงเรียน เคยมีเรื่องกับเด็กจ้อน คือรุ่นน้องมีเรื่องแล้วมาขอให้เราช่วย ซึ่งเราเป็นรุ่นพี่ก็รับเรื่อง เราทำเขา เขาทำเรา เอาคืนกันไปมา มีขับมอเตอร์ไซค์มาหน้าบ้านเราก็มี เสี่ยงตายกับเด็กจ้อนก็เคย เคยเกือบโดนแทงในห้าง แต่ไม่โดนเพราะเพื่อนมาช่วยไว้ทัน
พูดให้เห็นภาพคือผมทำผิดจนที่โรงเรียนต้องให้ผมเซ็นใบลาออกรอไว้เลย เรียกว่าถ้าผิดอีกครั้งออกเลย แต่ด้วยความที่เราเรียนดีมาตลอด ทำกิจกรรมให้โรงเรียน ทางโรงเรียนก็พยายามหาทางออกอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ผมเองก็ไปสุดเหมือนกัน
ถึงจะมีเรื่องมีราวแต่ผมเรียนนะ ถึงแม้จะไม่ใช่เด็กหน้าห้อง แต่เราไม่เคยทำเกรดแย่ ผมไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน จะเรียกว่าผมทั้งเกเร ทั้งเรียนก็ได้ ม.ต้น ผมอยู่ห้อง GIFTED ม.ปลาย ผมอยู่ห้อง EP ได้เกรดเฉลี่ยประมาณ 3.9 พอจะขึ้นม.6 ผมเลือกที่จะสอบตรงเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผลสอบออกมาว่าผมสอบติด ดังนั้น ม.6 ทั้งปีผมไม่ต้องเรียนแล้วก็ได้ ผมเลยว่าง ชิลและเกเรได้เต็มที่
เคสก่อนหน้าที่เคยมีเรื่อง พ่อแม่อาจจะห่วงแต่ก็ไม่กังวลมาก จนมาเจอเคสโดนรุมกระทืบที่บางแสน ตอนนั้นผมอายุ 18 ปีเอง ไปงานรับปริญญารุ่นพี่ เราไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเรื่องใคร เรื่องมันมาเอง แล้วพอเรื่องมาเราก็ยอมไม่ได้ ต้องสู้ แล้วผมคนเดียวโดน 10 คนรุม มองย้อนกลับไป เราโง่นะ ดีนะที่ไม่ตาย แทนที่จะขอโทษไป สุดท้ายก็นอนจมกองเลือด เละไปหมด เย็บที่หน้าเป็น 10 เข็ม
แล้วเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงได้อย่างไรคะ
ผมเริ่มเข้าสู่วงการตอนเรียนจบ ม.6 ตอนที่ผมโดนรุมกระทืบที่บางแสน คนก็เห็นจากโซเชียลเยอะ กลายเป็นคนดังบางแสนไปเลย เป็นข่าวด้วย ที่ตลกคือคนบอกว่า หล่อมาก เลือดสาดยังหล่อ มีคลิปจากกล้องวงจรปิดออกมาด้วย คนก็แชร์กัน คนติดตามในไอจีก็เพิ่มมากขึ้น ต้องบอกว่า คลิปจากกล้องวงจรปิด เป็นหลักฐานให้รู้ว่า เขาต่อยเราก่อน แล้วเราถึงต่อยกลับ เราไม่ได้เริ่ม แต่ไบร์ทมีความผิดตรงที่อายุไม่ถึงแล้วเข้าร้านเหล้า
หลังจากเข้ามหาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีเพจต่างๆ อย่าง School Boy , TU Sexy Boy เพจต่างๆ เอารูปเราไปแชร์ ทางช่องเห็นก็เลยชวนเราเข้ามาออดิชั่น จากนั้นก็ผ่านเข้ามาเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงฝึกหัดของช่องวัน31 อยู่หนึ่งปี ต้องบอกว่าไบร์ทเป็นคนไม่มีความฝันอะไรเลย ก่อนหน้านี้เราไม่เคยมีความเครียด เพราะเราเป็นคนช่างแม่งกับทุกอย่างในชีวิต อยากเป็นอะไรก็ไม่รู้ เห็นเปิดสอบตรงก็ไป แต่พ่อไบร์ทจะชอบบอกว่า ถ้าจะสอบตรงให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องเข้าที่นี่ให้ได้ สุดท้ายเราพิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้ ซึ่งพ่อจะพูดติดปากว่า ให้บรรลุนิติภาวะก่อนแล้วจะไม่ยุ่งเลย แล้วเขาก็ไม่ยุ่งจริงๆ ซึ่งที่ผ่านมาผมก็รู้นะว่าท่านเป็นห่วงเรามาตลอด
ถึงก่อนหน้านี้เราจะเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมาย แต่ข้อดีของไบร์ทคือจะไม่ยอมพลาดโอกาสที่เข้ามาในชีวิต อะไรที่เข้ามา เราจะลองดู อย่างโอกาสในวงการบันเทิง เรามองว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย คือถ้าเราได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ไปลองแบบงูๆ ปลาๆ เป็นคนที่อ่อนสุดในรุ่นเลยมั้ง คือเราไปแบบไม่รู้อะไรเลย ตอนเป็นเด็กฝึกหัดปีแรกๆก็เลยยังไม่ได้ทำอะไรมาก
ไบร์ทเรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ รังสิต ส่วนคลาสเรียนแอ็คติ้ง มีตารางเรียนทุกวันศุกร์ 6 โมงเย็น เลิกเรียนที่ธรรมศาสตร์ตอน 4 โมงเย็นต้องรีบมาเรียนแอ็คติ้งที่ตึกแกรมมี่ ซึ่งเย็นวันศุกร์รถติดมาก ความที่มาไกล มาทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่เรามาคลาสทุกครั้ง บางครั้งมาเขาเลิกเรียนกันหมดแล้วครับ แต่เราอยากให้เห็นความตั้งใจว่าเราไม่ได้ขี้เกียจนะ เราตั้งใจมาจริงๆ ทำแบบนี้มาเรื่อยๆ จนเริ่มท้อ คิดว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่มีงาน ไม่มีเงินเลย กระทั่งมีละครดอกแก้วกาหลง ได้เป็นพระเอกคู่กับเพลงขวัญ ตอนนั้นยังไม่เข้าใจการแสดงอยู่นานมาก เล่นไม่ได้ แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เราเป็นที่รู้จักมากขึ้น คนตามไอจีจาก 7-8 หมื่น ขึ้นเป็นหลักแสน แต่ผมโดน complain เยอะมากว่า เล่นแข็ง แล้วโดนวิจารณ์ไปอีก 3-4 เรื่องเลยครับ กว่าจะดีขึ้น
ยอมรับว่าช่วงที่การแสดงยังไม่เข้าที่ไบร์ทท้อนะ เรามีช่วงที่ลังเลว่าจะยังไงต่อดี โพสิชั่นในช่องยังไม่ชัดเจน มันเป็น 3-4 ปีเรามาคิดว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ทุกคนคาดหวังจากเราอยากให้เล่นดี อยากให้เก่ง แต่ฮาวทูเราไม่รู้ว่าจะไปถึงตรงนั้นอย่างไร เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ด้านการเรียนในมหาวิทยาลัยก็เรียนยากและหนักขึ้นเรื่อยๆ ขาดเรียนไม่ได้เลย ส่วนการแสดงถ้าผมทำมันได้ดีขึ้น มันก็จะไปได้อีกไกล ส่วนเรื่องเรียนถ้าผมทำได้ จบมาทำงานวิศวกร เงินเดือนสตาร์ทสูงมาก เรียกว่าอนาคตไกลทั้งสองอาชีพ แต่ผมไม่สามารถเลือกทำทั้งสองอย่างได้ เพราะมันต้องทุ่มเทอย่างหนักทั้งสองอย่าง ผมนั่งคิดเรื่องนี้อยู่เป็นเดือน จนตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทิ้งการเรียนคณะวิศกรรม แล้วย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ในระหว่างที่ผมงมเข็มในมหาสมุทรเรื่องการแสดง เรารู้สึกจับทางไม่ถูก ไบร์ทเรียนการแสดงห้าครู สิบครู คนนี้สอนสไตล์นี้ คนนี้สอนอีกสไตล์ แต่เราก็ไม่เจอที่ใช่สักที ปรึกษานักแสดงรุ่นใหญ่ เขาก็บอกว่า การแสดงมันต้องมีประสบการณ์ด้วย ไม่ใช่เล่นดีอย่างเดียว แล้วควรต้องเข้าใจมนุษย์ให้มากๆ สังเกตคนให้มากๆ เราต้องทำการแสดงที่ไม่ให้ดูเป็นการแสดง ดังนั้นจึงต้องเข้าใจคนนั้นจริงๆ ถ้าเราต้องเล่นเป็นนักธุรกิจ เราต้องเข้าใจนักธุรกิจว่าเขาเป็นยังไง จนผมมาเจอครูบิว มีวิธีการสอนที่แปลก ไม่ใช่ครูคนอื่นไม่ดีนะครับ แต่ไบร์ทเรียนกับครูบิวแล้วเก็ต รู้สึกเหมือนไม่ได้เรียน เหมือนวิ่งเล่น จริงๆ แล้วการถ่ายละครก็เหมือนสนามเด็กเล่นให้เราได้โชว์ศักยภาพตัวเอง
จริงๆ ไบร์ทขี้อายนะ ไม่กล้าแสดงออก คิดเยอะ กลัวผิด เวลาเล่นกับรุ่นใหญ่จะกังวลมาก กลัวว่าเราจะเล่นไม่ได้ แล้วจะเสียเวลาคนอื่น เราแบกอะไรไม่รู้เต็มหมด ศักยภาพไม่เยอะแล้วยังกดตัวเองอีก สุดท้ายผมมาตกตะกอนว่า เราช่างแม่งเถอะ คิดแค่ว่าทำให้เต็มที่ ผมทำแบบนั้นมาเรื่อยๆ ในปีที่ 4 ที่ 5 แล้วเราเริ่มมองเห็นเส้นทางว่าทางไหนจะไปสู่ความฝันของเราได้
วงการบันเทิงสอนผมหลายอย่าง จากที่ไม่เคยมีเป้าหมายในชีวิต จนมาเจอตัวละครต่างๆ ที่เขาจะมีความต้องการในชีวิต มันทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตจากตัวละคร นอกจากเราจะเป็นคนดีขึ้น มายด์เซ็ตดีขึ้น จากไม่เคยสนใจดีเทลรอบนอก เรากลับมาใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้น เรารู้สึกว่าเราเป็นคนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนคนรอบข้างทัก เราลังเลน้อยลงในการทำสิ่งดีๆ แต่ลังเลมากขึ้นในการทำสิ่งไม่ดี ตลอด 3 ปีที่เหนื่อยกับการหลงทาง พยายามค้นหาสิ่งที่ใช่ ผมว่ามันคุ้มค่ามากครับ นอกจากพัฒนาเส้นทางอาชีพของเราแล้ว ยังพัฒนาตัวตนเราด้วย
อะไรคือความสุขของอาชีพนักแสดง
ทุกตัวละครที่ไบร์ทเล่น ไบร์ทสร้างขึ้นจากคนจริงๆ เสมอ ตั้งแต่ละครเรื่องเล่ห์ลวงเป็นต้นมา ไบร์ทพยายามตีโจทย์ให้เป็นคนจริงๆ ที่สุด ไบร์ทรู้จักคนเยอะ เราคอยสังเกตและถามความเป็นไปของเขา พ่อแม่ทำอะไร เลิกเรียนไปไหน สังคมและชีวิตเขาเป็นอย่างไร บทที่ไบร์ทรับเล่นในเรื่องใต้หล้า ซึ่งไกลตัวมาก เพราะเราเล่นเป็นลูกคนรวย ไบร์ทเลยทักไลน์ไปถามพี่กำปั่น-กรวิชญ์ สารสิน ตั้งแต่เขาตื่นนอน ไปโรงเรียน เลิกเรียนไปไหน อยู่บ้านชีวิตเป็นยังไง คุยกับคนรับใช้หรือแม่บ้าน อย่างไร ศึกษาชีวิตประจำวันของเขา กินอยู่อย่างไร เอามุมของคนรวยมาผสมความเป็นตัวเอง มันก็จะเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง
หรือแม้แต่ “โช” พระเอกแสนดีมาก ในเรื่องพิษรักรอยอดีต คนอาจจะคิดว่า คนดีๆ แบบนี้ไม่มีหรอก แต่มีจริงๆ นะ เขาเป็นเพื่อนไบร์ทเองตั้งแต่สมัยอนุบาล เพื่อนเราเป็นแบบนี้เลย เรายังเคยด่าเพื่อนเลยว่า มึงเกินไปป่าว รักตัวเองบ้างนะ รักเขาอะไรนักหนา ไบร์ททำการบ้านจากเพื่อน คุยกับเพื่อนอยู่พักหนึ่งเลย
อย่างเวลาไบร์ทเล่นเป็นตัวร้าย เราจะไม่เล่นร้ายจัดเลย ไบร์ทจะพยายามทำให้เห็นว่า ตัวละครนี้ก็คือพวกคุณนั่นแหละ ความร้ายมันคือสันดานดิบที่ทุกคนมี เขาอาจจะร้ายเพราะมีบางอย่างไปสะกิด ดูแล้วได้แง่คิด พ่อแม่ดูแล้วก็อาจจะได้มุมมองว่า การที่คนๆ หนึ่งเติบโตขึ้นเป็นคนแบบไหน ขึ้นอยู่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วย อย่างนี้เป็นต้น
มิชชั่นก้าวต่อไปในการเป็นนักแสดงเป็นอย่างไรบ้างคะ
ไบร์ท: ไบร์ทไม่เคยเลือกบทอะไรเท่าไร เขาให้อะไรมาก็เล่น พูดตรงๆ เลย เชื่อใจพี่ๆ ผู้บริหาร เขาคิดมาดีแล้ว เราคิดอย่างนั้นนะ เราก็ทำเต็มที่ทุกอัน
ความจริงไบร์ทเป็นคนขี้เกียจมาก แต่ว่าเรื่องนี้ไบร์ทไม่เคยปล่อยเรื่องบท ทุกคนเก่งหมด ไบร์ทไม่อยากเป็นคนที่อ่อนที่สุดในเรื่อง เราเลยค่อนข้างพุชตัวเอง เยอะมาก แต่ว่าในขณะที่เราพุชตัวเอง เราไม่ได้พุชไปพร้อมความเครียดเราพุชไปพร้อมความสุข กลายเป็นว่ามันสนุก พอเราสนุกคนดูก็น่าจะสนุก และหลังจากนี้ก็คง ยึดคอนเซปต์เดิม ทำไปสนุกไป มีความสุขไปด้วยในการทำงาน งานก็น่าจะออกมาดี
มีอะไรอยากจะบอกแฟนคลับของไบร์ทบ้างคะ
แฟนคลับเป็นกลุ่มคนสำคัญของไบร์ทจริงๆ อย่างที่เคยบอกว่า เรื่องแรกโดนติเยอะมาก แต่สิ่งที่ทำให้เราใจฟู และมีกำลังใจสู้ต่อคือแฟนคลับ เขาคอยซัพพอร์ตลอดไม่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าเราไม่มีคนให้กำลังใจ ใจเราอาจจะไม่แข็งพอจะสู้ต่อ เมื่อก่อนไบร์ทไม่เคยเข้าใจแฟนคลับเลยว่าทำไมต้องมาคอยตามไปนู่นมานี่ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว รู้สึกว่าเขาดีจัง สละเวลามาหาเรา มาให้เราเห็นหน้า ให้เรารู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ เวลาไปงานเราจะได้ไม่เหงา เราไม่รู้จะตอบแทนพวกเขายังไง ก็พยายามทำงานดีๆ ออกมา บางทีไบร์ทก็ทำตัวไม่ถูก แต่ว่าเจอกันไบร์ทจะพยายามพูดคุยกันให้มากขึ้นครับ ขอบคุณทุกคนมากครับที่คอยเป็นกำลังใจให้ไบร์ทเสมอ
Text: AuAi Photo: เนาวจพจน์
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ