สัมภาษณ์พิเศษแบบ Meow! Meow! Meow! “น่ารักไม่ไหว” เชื่อว่าใครได้ดูซีรีส์วายแนวโรแมนติกแฟนตาซี “Meow Ears up น้องเหมียวในห้องผม” ที่ออนแอร์ทาง AIS Play เป็นต้องคิดแบบนี้เหมือนกันทุกคน เพราะนอกจากจะเสิร์ฟความจิ้นชวนฟิน ยังจัดความแบ๊ว ความใส ดีต่อใจ มาให้ยิ้มตามตลอด แต่เห็นเบื้องหน้าสนุกสนานอารมณ์มังงะอะนิเมะแบบนั้น เบื้องหลังไม่ใช่ง่ายๆ แต่ละคนต้องทำการบ้านกันหนักเอาการ เพื่อให้แฟนๆ ได้เพลินแบบเต็มพิกัด ถ้าอยากรู้ว่ากว่าจะออกมาเป็นซีนน่ารักๆ ในซีรีส์ พวกเขาต้องผ่านอะไรบ้าง มาล้อมวงฟังเรื่องเล่าจากเติมเต็ม เหมียว ไฟเย็น และอีวาน กันเลยจ้ะ
ถือว่าเป็นการ์ตูนดังข้ามชาติที่มีแฟน ๆ ติดตามอย่างเหนียวแน่นและสร้างชื่อจนได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จากหนังสือการ์ตูนชื่อดังของประเทศจีน จนถูกพัฒนามาเป็นอนิเมชันที่ประเทศญี่ปุ่น สำหรับ “Meow Ears up” น้องเหมียวในห้องผม ล่าสุด บริษัท อาร์ท้อป โปรดักชั่น จำกัด บริษัทผู้นำผลงานทั้งละครไทย ภาพยนตร์ไทย ออกสู่ต่างประเทศทั่วโลกไปสิบกว่าประเทศ และล่าสุดยังได้เป็นผู้ผลิตซีรีส์ไทยที่ส่งออกสู่สายตาชาวต่างชาติ อาทิ กาลครั้งหนึ่งรักของเรา (Fleet of time) , ถึงห้ามใจก็จะรัก (In time with you) และรักวุ่นวายเจ้าชายกบ
โดยในปี 2022 อาร์ท้อป โปรดักชั่น พร้อมสร้างสรรค์ผลงานครั้งใหม่ ให้แฟน ๆ ได้ประทับใจกันอีกครั้ง ในซีรีส์เรื่อง “Meow Ears up” น้องเหมียวในห้องผม ซีรีส์ โรแมนติก แฟนตาซี กำกับโดย ลิท ผดุง สมาจาร ผู้กำกับฝีมือดีที่เคยสร้างผลงานจากซีรีส์เรื่อง SOTUS จนโด่งดังมาแล้ว โดยเรื่องราวความสนุกในครั้งนี้นำทีมโดย แก๊ป กิตติชัช เตชาหัวสิงห์, เจมส์ประพัฒน์ธรณ์ จักขุจันทร์ พร้อมด้วย ไบรท์ ธนพล อภิสุทธิไมตรี, โบโด้ โบโด เชเฟอร์, คริส เซณเธอลิณณ์ แทนวิธู และ ปอ วิชาดา อติเวศย์อังกูร
โดยความแฟนตาซีสุดเซอร์ไพรส์ใน “น้องเหมียวในห้องผม Meow Ears UP” เกิดขึ้นเมื่อ เติมเต็ม (แก๊ป) ชายหนุ่มที่เติบโตในสถานสงเคราะห์ จนวันหนึ่งได้เป็นนักเขียนการ์ตูนที่อยู่ภายใต้บรรณาธิการ จิน (คริส) เด็กที่โตมาจากที่เดียวกัน ด้วยความที่ เติมเต็ม เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย วันหนึ่งระหว่างทาง เติมเต็ม ก็ได้เจอกับแมวตัวหนึ่งจึงเก็บกลับบ้านไปเลี้ยง และได้ตั้งชื่อว่า เหมียว (เจมส์) แต่แล้วจู่ ๆ เหมียวก็ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ จากนั้น เติมเต็ม จึงได้รู้ว่าเหมียวเป็น “ชนเผ่าหู” การมาเยือนและความน่ารักของเหมียว ทำให้ชีวิตของ เติมเต็ม ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่า เหมียว จะชอบสร้างปัญหาและนำความยุ่งยากมาให้ แต่ก็ทำให้ เติมเต็ม ได้สัมผัสถึง “ชีวิตที่แท้จริง” และรู้จักคําว่า “ความอบอุ่น” และ “ความสุข” ที่เขาไม่เคยได้รับ การปรากฏตัวของชนเผ่าหู ไม่เพียงจะสร้างสีสันในชีวิตของ เติมเต็ม แต่พี่ชายที่เป็นชนเผ่าเดียวกับ เหมียว ที่มีชื่อว่า ไฟเย็น (ไบร์ท) ก็ได้ทำให้ชีวิตที่ไร้ชีวิตชีวาของ อีวาน (โบโด้) ที่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษในมหาลัย กลับมีสีสันได้อีกครั้ง และบรรณาธิการอย่าง จิน ก็ได้พบกับ มันนี่ (ปอ) ผู้ช่วยขี้อายที่เข้ามาป่วนจนทำให้ชีวิตของเธออบอุ่นและตลกขำขันขึ้นมา
สัมภาษณ์พิเศษแบบ Meow! Meow! Meow! เรื่องวุ่นๆ หลังกองของน้องเหมียวในห้องผม
Termtem & Meow
เมื่อนักเขียนการ์ตูนจอมซึนอย่างเติมเต็มมาเจอกับน้องเหมียวขนฟูที่จู่ๆ ก็กลายเป็นคน จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์แบบน่ารักๆ จึงเกิดขึ้น งานนี้แก๊ป–กิตติชัช เตชาหัวสิงห์ บอกว่าบทเติมเต็มคล้ายกับตัวตนจริงจึงแทบไม่ต้องปรับตัว ต่างกับเจมส์–ประพัฒน์ธรณ์ จักขุจันทร์ ที่ก่อนหน้านี้กลัวแมวอยู่เป็นทุน พอต้องมารับบทเป็นน้องเหมียวขี้อ้อนในเรื่อง เลยต้องปลุกความกล้าศึกษาพฤติกรรมแมวขนานใหญ่ จนไปๆ มาๆ นั่งคุยกับแมวได้ทั้งวัน
ก่อนจะมาเป็นเติมเต็มและน้องเหมียว
เจมส์ : เจมส์อายุ 23 ปีครับ เรียนจบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มเล่นซีรีส์เรื่องแรกตั้งแต่เรียนอยู่ปี 1 เพราะเป็นคนชอบดูหนังและคิดว่าถ้ามีโอกาสได้เป็นนักแสดงคงดี เลยลองไปแคสต์ดู จนได้มีโอกาสเล่นซีรีส์เรื่องแรก แล้วรู้สึกชอบ เวลาได้รับบทใหม่ๆ เหมือนได้รู้จักเพื่อนใหม่ เลยรับงานแสดงมาเรื่อยๆ จนมาถึง Meow Ears Up น้องเหมียวในห้องผมนี่ละครับ
แก๊ป : ส่วนผมตอนนี้อายุ 26 ปี เรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวอุตสาหการ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ ตอนเรียนอยู่ปี 3 ปี 4 ได้เป็นคนถือธงในงานฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์ เลยเริ่มเป็นที่รู้จัก และถูกทาบทามให้ไปเดินแบบบ้าง เล่นเอ็มวีบ้าง จนสุดท้ายก็ได้มาเล่นซีรีส์ครับ
คาแรกเตอร์ใน Meow Ears Up น้องเหมียวในห้องผม ของทั้งสองคน
แก๊ป : เติมเต็มเป็นนักเขียนการ์ตูน เพิ่งเรียนจบแล้วไปอยู่ต่างจังหวัด นิสัยชอบสันโดษ วันๆ จะนั่งเขียนการ์ตูนอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหนเลย มีเพื่อนสนิทคนเดียวคือจิม (คริส – เซณเธอลิณณ์ แทนวิธู) ที่จะคอยมารับงานเรา นอกจากจะเก็บตัว เติมเต็มยังเก็บความรู้สึกเก่ง โลกส่วนตัวสูง แต่ข้างในลึกๆ เป็นคนอบอุ่น ซึ่งจริงๆ แล้วนิสัยเขาเหมือนผมมาก เพราะผมก็เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยแสดงออก เลยรู้สึกว่าเติมเต็มเหมือนเราเกือบ 90% เลย เพียงแต่เติมเต็มจะเล่นใหญ่ Over Acting เหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนหรืออะนิเมะ อย่างเวลาโกรธจะโกรธเหมือนคนทั่วไปไม่ได้ ต้องโกรธหน้าสั่น โกรธให้รู้ว่าโกรธ ซึ่งชีวิตจริงเราคงไม่เป็นแบบนั้น
เจมส์ : จริงครับ เวลาโกรธหน้าเขาจะต้องสั่น (หัวเราะ) ส่วนเจมส์เล่นเป็นเหมียวครับ เป็นชนเผ่าหู ที่วิวัฒนาการมาจากสัตว์ แต่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ซึ่งสมาชิกชนเผ่านี้แปลงกายเป็นมนุษย์ได้ทุกคน แต่เหมียวมีปัญหา ไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ 100% จะเหลืออวัยวะที่เป็นแมวบางส่วน ไม่เหลือหูก็เหลือหาง เลยเป็นความสนุกของเรื่องที่จะต้องคอยซ่อนส่วนที่เป็นแมวไม่ให้คนเห็น ซึ่งจุดนี้เป็นปมใหญ่ของเรื่องที่คนดูต้องคอยเอาใจช่วยให้เหมียวแปลงร่างเป็นคนได้ 100% จะได้ใช้ชีวิตข้างนอกได้ การมาสวมบทแมว ถ้าดูจากภายนอกหลายคนอาจจะคิดว่าเจมส์กับตัวละครเหมียวเหมือนกัน เพราะมีความซน ล้นๆ พลังงานเยอะไม่ต่างกัน แต่จุดที่เราต่างกันมากคือ เหมียวเป็นเด็ก 14-15 ใสๆ คิดอะไรแค่ชั้นเดียว พูดทุกอย่างที่คิดออกมาแบบไม่คิดมาก อยู่กับปัจจุบัน พร้อมที่จะสนุกไปกับทุกอย่าง ส่วนตัวเจมส์ก็เป็นคนทั่วไปที่คิดมาก ชอบเก็บเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคิด เลยต่างกันครับ
สวมบทบาทที่แทบจะเหมือนตัวจริงแบบนี้ ยังมีอะไรต้องปรับตัวไหม
แก๊ป : ของแก๊ปเรื่องคาแรกเตอร์ไม่ค่อยได้ปรับอะไรเท่าไร อย่างที่บอกว่าค่อนข้างเหมือนกัน แต่ที่ต้องเพิ่มเติมคือทักษะการวาดการ์ตูน เลยไปฝึกวาดรูปก่อนจะเริ่มถ่ายทำ แล้วทุกอาทิตย์ผู้กำกับก็จะให้วาดรูปส่งให้ดู เพื่อที่ว่าเวลาวาดจริงในเรื่องจะได้เนียน ไม่ตะกุกตะกัก ส่วนเรื่องการแสดงก็มีเรียนรู้จังหวะคอเมดี้และการเล่นใหญ่บ้างจากการดูซิตคอมต่างๆ ครับ
เจมส์ : ส่วนเจมส์หนักเลยครับ เพราะเป็นคนกลัวแมว แล้วต้องมาเล่นเป็นแมวเลยรู้สึกยาก คือเจมส์เป็นคนรักหมามาก ซึ่งหมากับแมวจะตรงข้ามกัน น้องหมาจะเล่นกับเรา คอยเห่าต้อนรับเวลากลับถึงบ้าน แต่แมวจะมีภาพลักษณ์หยิ่งๆ เดาอารมณ์ไม่ได้ แล้วเคยเห็นบ่อยว่าคนเลี้ยงแมวมักจะมีบาดแผลจากการโดนข่วนประจำ ก็เลยรู้สึกกลัว คืออยู่ใกล้ได้นะครับ แต่ไม่เล่นด้วย ก่อนถ่ายทำเลยต้องทำการบ้านด้วยการเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแมว ทั้งหาหนังสือมาอ่าน ค้นข้อมูลในอิเทอร์เน็ต เวิร์กช็อป เพื่อให้รู้ว่าเวลาแมวทำท่าทางแบบนี้ เขารู้สึกยังไง ทำแบบนั้นเขารู้สึกอะไร คืออ่าน ดู ฟัง เกี่ยวกับแมวเยอะมาก แล้วก็ได้พี่แก๊ปคอยช่วย เพราะเขาเลี้ยงแมวอยู่แล้ว เวลาผู้กำกับบอกให้ทำแบบนั้นแบบนี้ก็จะหันไปถามพี่แก๊ปว่าปกติแมวทำยังไง และความโชคดีคือ ถ้าฉากนั้นมีแมวจะไม่มีเจมส์ เพราะในเรื่องเจมส์ก็คือแมว นั่นแปลว่าเราจะไม่ได้เข้าซีนด้วยกัน แต่ตอนนี้คุยกับแมวได้แล้วนะครับ เล่นได้ ลูบได้ นั่งคุยกับแมวได้ แต่ก็ยังรักหมามากกว่าอยู่ดี (ยิ้ม)
ได้ข่าวว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ร่วมงานกัน ทำยังไงให้สนิทกันได้เร็ว
เจมส์ : เอาจริงๆ ปกติเจมส์เข้ากับคนง่ายนะครับ แต่สารภาพเลยว่าช่วงแรกๆ ที่เจอพี่แก๊ป รู้สึกว่านี่คือโจทย์ที่ยากมาก เพราะเขานิ่งจริงๆ นิ่งมาก และด้วยความที่เจมส์กับพี่แก๊ปอายุต่างกันประมาณ 4-5 ปี เลยทำให้เราไม่กล้าเล่นกับเขา เพราะเกรงใจว่าจะเล่นได้ไหมนะ หรือไม่ได้ ดีที่ได้เวิร์กช็อปมาช่วยและได้ไปเที่ยวนอกรอบกันบ้าง พอได้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ ก็ทำให้รู้ว่า จริงๆ เราเล่นกับเขาได้นะ เขาแค่นิ่งแหละ แต่ไม่มีอะไร
แก๊ป : เรียกว่ามีภาวะของความเป็นพี่ครับ เพราะในเรื่องผมก็เหมือนเป็นพี่ของเขาด้วย จะคอยดูแล สั่งโน่นสั่งนี่ ก็เลยนิ่งๆ แต่ที่วันแรกไม่ได้คุยกันเท่าไร เพราะคนเยอะ ผมเกรงใจผู้กำกับด้วย เลยไม่ค่อยกล้าเล่นอะไร พอเราเงียบเขาก็อาจจะกลัวไปเอง แต่ตอนนี้เล่นกันได้แล้ว แค่ต้องให้เขาไปคุยคนเดียวก่อนสักสองรอบแล้วค่อยมาคุยกับผม เพราะเขาเอเนอจี้เยอะกว่ามาก เหมือนใส่ถ่าย 3 ก้อน ส่วนผมมีแค่ครึ่งก้อน เลยต้องให้เขาเล่น 2 ก้อนแรกให้หมดก่อน แล้วค่อยมาเล่นกัน
เจมส์ : คือที่เงียบเพราะเซฟแบตอยู่ อยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน ว่างั้น (หันไปยิ้มให้คนเป็นพี่)
เดี๋ยวนี้ซีรีส์วายมีให้ดูเยอะมาก ทีเด็ดของเรื่องนี้คืออะไร
แก๊ป : เพราะว่านายเอกคือแมวครับ
เจมส์ : ใช่ครับ ส่วนหนึ่งคืออย่างที่พี่แก๊ปบอกเลย เพราะนายเอกคือแมว และอีกอย่างคือเรื่องนี้เป็นซีรีส์แฟนตาซี คนดูจะได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ในซีรีส์วายเรื่องอื่นไม่มี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความป่วน รวมถึงแอคชั่นบางอย่างที่จะทำให้เซอร์ไพรส์ คือบอกได้แค่ว่าเหมือนนั่งดูการ์ตูนที่เป็นคนเล่นมากกว่า
แก๊ป : อีกอย่างความรักในเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีด้านเดียว ยังมีความรักแบบพี่น้อง แบบคนกับสัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่ความรักระหว่างคนสองคน คือมีหลายรสชาติให้เลือก
เจมส์ : ฉากชวนจิ้นในเรื่องก็น่ารักมาก มาแบบพอดีๆ ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน ดูแล้วจะยิ้มตามครับ
ฉากจิ้นเน้นน่ารัก แล้วฉากไหนที่คิดว่า “รัก” ที่สุดสำหรับเรา
แก๊ป : ฉากร้องไห้ฟูมฟายครับ เป็นซีนเศร้าที่ต้องร้องไห้หนักมาก แต่ในชีวิตผมหลังจากขึ้นชั้นมัธยมก็ไม่เคยร้องไห้อีกเลย ก่อนจะเข้าฉากนี้เลยต้องไปเวิร์กช็อปครั้งใหญ่ คือเริ่มตั้งแต่ 6 โมงจนถึง 4 ทุ่ม น้ำตาก็ยังไม่ไหลสักที จนต้องลากยาวถึงตี 1 เพื่อให้ร้องไห้ให้ได้ หลังจากการเคี่ยวกรำในวันนั้น มาถึงวันจริงเทคเดียวผ่านเลยครับ
เจมส์ : เจมส์ชอบซีนที่ทะเล ที่เหมียวขอบคุณเติมเต็ม ซึ่งเป็นคิวท้ายๆ ที่ถ่ายทำหลังจากเราร่วมงานกันมาประมาณ 5-6 เดือนแล้ว ทำให้เรารู้สึกเหมือนโตมากับตัวละครเหมียว เพื่อนๆ ในเรื่อง และพี่ทีมงานทุกคน พอวันถ่ายทำยิ่งอยู่ในบรรยากาศแบบนั้น แสงแบบนั้น ยิ่งทำให้เราจูนกับตัวละครง่ายจนสามารถพูดออกไปตามความรู้สึกจริงๆ ได้ คือ…โอ้โห…รู้สึกเลยว่ามันจริงมาก ทุกคำเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากเหมียวจริงๆ ทั้งที่ไม่ใช้ซีนใหญ่เลย เป็นซีนเล็กๆ แต่ประทับใจมาก
หลังปิดกล้อง ได้เห็นซีรีส์ออนแอร์แล้ว รู้สึกอย่างไรกับการทำงานครั้งนี้บ้าง
แก๊ป : รู้สึกดีใจที่ได้เจอกับน้องๆ ที่น่ารักทุกคนทั้ง 5 คนในเรื่องครับ และดีใจที่ได้รับโอกาสในการแสดงซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เพราะเป็นบทที่เราชอบ รู้สึกว่าคาแรกเตอร์เป็นเรามากๆ เหมือนเขียนเพื่อเราเลย
เจมส์ : ภูมิใจที่ตัวเองสามารถถ่ายทำจนเสร็จได้ครับ เพราะตอนแรกที่อ่านบทรู้สึกว่า โห ยากจัง เราต้องลดอายุลงมาเยอะเลย เป็นเด็ก 14-15 แถมยังเป็นแมวด้วย เลยรู้สึกยากไปหมด คิดตลอดว่าจะทำได้ไหม ทั้งยังรู้สึกกดดัน เพราะเป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนและแอนิเมชั่นที่มีแฟนคลับอยู่เยอะ กลัวว่าถ้าเราเล่นไม่ดีแฟนคลับจะไม่ชอบหรือเปล่า แต่พอถึงเวลาถ่ายทำจริง เจมส์รู้สึกว่าเราทำเต็มที่แล้ว ณ เวลานั้น และรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากๆ ที่สามารถถ่ายทำจนจบได้ ก็หวังว่าทุกคนจะชอบครับ
หลังจากนี้มีบทบาทแบบไหนที่ฝันไว้ว่าอยากลองเล่นสักครั้งไหม
แก๊ป : อยากสวมบทบาทเท่ๆ คูลๆ บ้างครับ (ยิ้ม) เพราะถึงแม้ว่าคาแรกเตอร์เติมเต็มในเรื่องนี้จะเก็บความรู้สึกเก่ง เป็นพี่ที่แสนดี แต่การแสดงแบบอะนิเมะมาก มีเขิน โวยวาย โกรธหน้าสั่น เน้นฮาประสาคอมเมดี้ เลยอยากลองเล่นอะไรที่คูลๆ เท่ๆ บ้างครับ
เจมส์ : ที่ใฝ่ฝันมานานคือบททหาร ไม่ก็ตัวละครโรคจิต หรือบทที่มีซีนบู๊ ถืออาวุธ อยากลองอะไรแบบนั้นครับ แต่ไม่เคยมีโอกาสเลย อาจจะด้วยลุคเรา ทำให้ไม่เคยได้เข้าไปใกล้อะไรพวกนั้น ดังนั้นขอฝากถึงผู้จัด ผู้กำกับทุกท่านครับ ถ้าอยากมอบฝันที่เป็นจริงให้ผมได้มีโอกาสเล่นบทเหล่านี้สักครั้ง ติดต่อมาได้เลยครับผม (ยิ้มกว้าง)
Faiyen & Ewan
นอกจากคู่เติมเต็มกับน้องเหมียวที่เสิร์ฟความจิ้นแบบคิ้วท์ๆ อีกคู่ที่ชวนฟินไปกับความคิมิโนะโตะ คือคู่พี่ชายกับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอย่าง ไฟเย็นกับอีวาน งานนี้ไบรท์–ธนพล อภิสุทธิไมตรี ที่ต้องมารับบทพี่ชายน้องเหมียว กระซิบบอกว่าแอบเครียดไม่น้อยกับการต้องสวมบทขี้อ้อนแบบเจ้าแมวน้อย ส่วนโบโด้–โบโด เชเฟอร์ ในบทของอาจารย์มาดนิ่งแฝงความลึกลับ กลับมีปัญหาหนักเรื่องภาษา แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่มีเกินอัตรา อุปสรรคที่ว่าก็แค่เรื่องจิ๊บๆ สำหรับพวกเขา
ก่อนจะมาเป็นอีวานและไฟเย็น
โบโด้ : ผมเป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมันครับ ตอนนี้อายุ 21 ปี เรียนอยู่ปี 3 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ภาคอินเตอร์ ้ดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไบรท์ : ผมอายุ 22 ปีครับ กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก่อนหน้านี้เป็นดาวเดือนของคณะ แล้วรู้จักกับพี่ผู้จัดการซึ่งเป็นคนดูแลเกี่ยวกับงานดาวเดือนในมหาวิทยาลัย ประกอบกับตอนนั้นมีคนเห็นรูปเราแล้วเรียกไปแคสต์งาน เลยได้มีโอกาสเล่นเอ็มวีของพี่มิว ศุภศิษฏ์ พี่โบกี้ไลอ้อน ฯลฯ
โบโด้ : ส่วนผมเริ่มจากงานถ่ายแบบครับ เพราะตอนเรียนอยู่ ม.4 ผมอยากเป็นนายแบบมาก เลยเข้ากูเกิ้ลหาข้อมูลดูว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เป็นนายแบบ มีโพสต์หนึ่งแนะนำว่าให้ลงรูปในอินสตาแกรมแล้วใส่ #scoutme ผมเลยลองทำตาม ปรากฏว่าไม่ถึง 5 นาทีมีคนติดต่อมาจริงๆ ซึ่งก็คือพี่แบล็คที่กลายมาเป็นผู้จัดการ (คนก่อน) ของผม และงานแรกที่ได้ทำคือเป็นแบบให้กับเซ็นทรัลออนไลน์ จากนั้นก็ทำงานสายนายแบบเรื่อยมา จนได้มาแสดงซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกครับ
เรียกว่าเป็นการเปิดซิงซีรีส์เรื่องแรกของทั้งคู่ กว่าจะได้มาเป็นหนึ่งในนักแสดงผ่านอะไรมาบ้าง
โบโด้ : ก่อนมาแคสต์เรื่องนี้ผมดูซีรีส์เรื่อง “เพราะเราคู่กัน” ที่ไบร์ท (วชิรวิชญ์ ชีวอารี) วิน (เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร) แสดงนำแล้วชอบมาก เลยอยากเล่นซีรีส์แบบนี้บ้าง พอผู้จัดการส่งเรื่องแคสติ้งมาให้ ผมก็ถ่ายคลิปแนะนำตัวส่งไปเลย แล้วรอไปแคสติ้งหน้ากล้อง ตอนนั้นมีคนมาแคสต์เกือบ 500 คน พอประกาศผลออกมาว่าเราได้รับเลือก ผมดีใจมาก เพราะอยากเป็นนักแสดงมานาน
ไบรท์ : ผมก็เหมือนกันครับ อัดคลิปส่งไปก่อน จนเขาเรียกไปแคสต์ให้ดูหน้ากล้อง ก็อ่านบทแล้วแสดงต่อหน้ากล้องเลย เขาคงเห็นว่าเราเหมาะกับคาแรกเตอร์ไฟเย็น ก็เลยได้รับเลือกครับ
คาแรกเตอร์ใน Meow Ears Up ของทั้งสองคนเป็นยังไง
ไบรท์ : บทไฟเย็นเป็นชนเผ่าหู พี่ชายของเหมียว และเป็นนักศึกษา นิสัยก็จะอารมณ์ดี ร่าเริง ซนหน่อยๆ ซึ่งเหมือนกับตัวผมเลย เพราะถ้าอยู่กับเพื่อนหรือคนที่สนิทผมจะอะเลิร์ตมาก แต่ถ้าเจอคนแปลกหน้าก็จะเรียบร้อยนิดหนึ่ง ส่วนที่ไม่เหมือนกันคือไฟเย็นเขามีเซ้นส์ในการรับรู้ความรู้สึกคนและค่อนข้างขี้กลัว อีกอย่างคือผมชอบเตะบอล แต่ไฟเย็นชอบเล่นบาสครับ
โบโด้ : ผมเล่นเป็นอีวาน ซึ่งเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยไฟเย็นครับ เป็นคนนิ่งๆ หน้านิ่ง ดูลึกลับ มีพลังบางอย่าง และชอบเล่นบาสกับไฟเย็น ซึ่งตัวอีวานก็มีทั้งจุดที่เหมือนและต่างจากตัวผม ที่เหมือนกันคือหน้านิ่งเหมือนกันครับ คือเอาจริงๆ ผมเป็นคนหน้านิ่งจนเพื่อนชอบบอกว่าหยิ่ง “โบโด้ทำไมหยิ่งจัง” แต่อีวานจะหน้านิ่งแบบสุดโด่งกว่า ผมอาจจะนิ่งไม่ได้ขนาดเขาครับ (ยิ้ม)
พอเป็นซีรีส์เรื่องแรก แถมยังสร้างมาจากการ์ตูนดัง กดดันกับการทำงานบ้างไหม
ไบรท์ : สารภาพว่าผมแอบกังวลนิดหนึ่ง เพราะก่อนถ่ายทำไปเปิดดูอะนิเมะมา โอ้โห แบ๊วมาก เป็นแมวแบ๊วๆ เลย ความรู้สึกแวบแรกคือ จะไหวไหมเนี่ย ไหนจะการอ้อน การแสดงออกแบบแบ๊วๆ แมวๆ ถือว่าท้าทายมากครับ ทำเอาตื่นเต้นว่าจะเล่นได้ไหม
โบโด้ : เหมือนกันครับ ตอนแรกก็คิดว่าจะเล่นได้ไหม แถมผมยังพูดไทยไม่ค่อยแข็งแรง เพราะผมเป็นลูกครึ่ง ที่บ้านพูดภาษาเยอรมัน ที่โรงเรียนพูดภาษาอังกฤษ ภาษาไทยเลยไม่ค่อยดี แต่ผมก็พยายามปรับเปลี่ยน พัฒนาตัวเอง เรียนออนไลน์ทุกวัน ฝึกพูดเองด้วยการดูยูทูบ ซื้อหนังสือภาษาไทยมาฝึก และพยายามคุยกับเพื่อนเยอะๆ เพื่อให้การออกเสียงภาษาไทยของเราดีขึ้น ซึ่งตอนถ่ายทำก็มีปัญหากับบทเพราะพูดไม่ชัด อย่างมีอยู่คำหนึ่งต้องถ่ายหลายเทคมาก คือคำว่า “ซน” จนทีมงานต้องเปลี่ยนคำเป็น “ดื้อ” ซึ่งความหมายคลายกันแทน
ไบรท์ : โบโด้จะออกเป็น “ซ้น” ไม่ “ซน”
โบโด้ : ตอนนี้พูดได้แล้วนะครับ แต่ตอนนั้นไม่ได้เลย เครียดมาก
ร่วมงานกันครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง จูนกันยังไง
ไบรท์ : ผมว่าเราทำงานด้วยกันโอเคนะครับ อาจจะด้วยเพราะวัยใกล้กัน อายุห่างกันแค่ปีเดียว แล้วยังเล่นกีฬาเหมือนกัน ก็เลยคลิกกันง่าย เรื่องเกร็งอาจจะเป็นแค่ช่วงแรก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วเขาเป็นฝรั่งด้วย พูดไทยไม่ค่อยชัด ก็กลัวว่าจะคุยรู้เรื่องไหม แต่คุยได้ครับ ยิ่งตอนนี้สื่อสารรู้เรื่องกว่าเดิมเยอะมาก จนสนิทกันแล้ว
โบโด้ : เราแลกเปลี่ยนกัน ไบรท์สอนภาษาไทยให้ผม ผมก็สอนเขาเล่นบาส เพราะว่ามีซีนเล่นบาสแต่ตอนนั้นเขาเล่นไม่ค่อยเป็น จนตอนนี้เก่งขึ้นแล้ว
ไบรท์ : ส่วนเรื่องการแสดงที่เราต้องเล่นคู่กัน ก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว คอยบอกคอยเตือนกัน เลยทำให้สนิทกันครับ
พอได้ชิมลางการแสดงแล้วรู้สึกว่ายากไหม
ไบรท์ : ที่ยากคือผู้กำกับให้เล่นแบบการ์ตูน มีจังหวะโบ๊ะบ๊ะ จังหวะฮา และต้องเล่นใหญ่กว่าปกติ พี่เขาจะคอยบอกให้เติมตลอด แล้วคาแรกเตอร์ไฟเย็นคือจะอารมณ์ขึ้นง่ายมาก อยู่ดีๆ ก็ขึ้นแล้วก็ลงมาดาวน์เลย มีช่วงหนึ่งต้องเล่นจังหวะแบบนี้บ่อยมากจนทำเอาปวดหัว คือเดี๋ยวขึ้น แล้วมาเศร้า แล้วขึ้นอีก ก็แอบเหนื่อยครับ แต่ก็ผ่านมาได้
โบโด้ : การสวมบทอีวานจริงๆ ก็ยากนะครับ โชคดีที่เขาหน้านิ่ง ไม่ต้องใช้พลังเยอะ แต่ความนิ่งนี่แหละที่ยาก เพราะมีซีนที่ต้องใช้ความรู้สึก ซึ่งเราต้องไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่บางทีหน้ามันก็ไปเอง ยากเลยครับ
แล้วซีนไหนที่คิดว่ายากที่สุดสำหรับเรา
ไบรท์ : ของผมเป็นซีนกลัว เพราะไฟเย็นเป็นคนที่กลัวเสียงฟ้าร้องมาก ซึ่งซีนนั้นเป็นซีนฟ้าร้องฟ้าผ่าซึ่งต้องแสดงออกมาว่ากลัวแบบสุดๆ ซึ่งตอนถ่ายทำในกองไม่เปิดแอร์ เราต้องขดตัวอยู่บนเตียง ทั้งร้อน ทั้งกลัว แล้วต้องถ่ายหลายรอบตามกล้อง ถือว่าเป็นซีนที่หนักที่สุดสำหรับผมแล้วครับ
โบโด้ : ผมว่าตอนเล่นบาสหนักสุด จะเป็นลมเลยครับ คิวนั้นเราไปถ่ายทำกันที่โรงเรียนตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงคืน ผมกับไบรท์ต้องเล่นบาสในสนามกลางแจ้งที่เดี๋ยวก็อากาศร้อน เดี๋ยวก็ฝน พอฝนตกเราก็เปลี่ยนไปถ่ายซีนอื่นก่อน ฝนหยุดปุ๊บก็กลับไปถ่ายที่สนามบาส วนไปมาแบบนั้น 3 รอบ
ไบรท์ : เหมือนเป็นซีนอาถรรพ์ที่ไม่อยากให้เรากลับบ้าน
โบโด้ : แล้วตอนเล่นบาสคือเหนื่อยมาก เพราะเราต้องถ่ายหลายเทค หลายมุม เล่นซ้ำหลายรอบ สุดท้ายก็หมดแรง ปวดหัว ปวดท้อง จะเป็นลม
ไบรท์ : อาจจะเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนด้วย
โบโด้ : หนักสุดๆ แล้วครับวันนั้น
ถ้าเลือกได้มีบทบาทที่อยากลองเล่นดูสักครั้งไหม และอยากเล่นกับใคร
ไบรท์ : ผมอยากเล่นแอคชั่น รู้สึกว่าน่าสนุก หรือจะเป็นหนังดรามาใช้อารมณ์เยอะๆ ก็ดีครับ เพราะผมยังอ่อนเรื่องการแสดงอารมณ์ ถ้าได้เล่นอะไรแบบนั้นคงจะช่วยพัฒนาได้ ยิ่งถ้าได้เล่นกับพี่ต่อ (ธนภพ ลีรัตนขจร) น่าจะดีมากๆ เพราะพี่เขาเก่ง อยากร่วมงานกับพี่ต่อครับ
โบโด้ : ผมก็อยากเล่นแอคชั่น อยากเท่เหมือนบรูซ วิลลิส ที่ผมโตมากับหนังของเขา ส่วนคนที่อยากจะร่วมงานด้วยสักครั้งคือไบรท์-วินครับ เพราะอย่างที่บอกว่าผมดูซีรีส์เขาแล้วชอบมาก อีกคนที่อยากเล่นด้วยกันคือเฟิร์ส (คณพันธ์ ปุ้ยตระกูล) เพราะเคยเจอกันตอนแคสติ้ง ก่อนที่เขาจะดัง เฟิร์สเป็นคนใจดีมาก เฟรนด์ลี่มาก เลยอยากร่วมงานกับเขาครับ
Text: ASK Photo: เนาวพจน์ โพธิเกษม
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted กับการเปิดใจ 5 พระเอกดาวรุ่งของช่องวัน31
BNK48 รุ่น 3 ปาเอญ่า-อีฟ-โยเกิร์ต-ข้าวฟ่าง-พีค-แพนเค้ก ฝูงกระต่ายสุดคิวต์ที่อาสามอบความสุขให้ทุกคน