ไม่คิดยอมแพ้! เจ๋ง Big Ass กับการขึ้นสังเวียนนักสู้มาทั้งชีวิต

account_circle
event

นักร้องนำของวงร็อกระดับตำนาน “เดชา โคนาโล” หรือ เจ๋ง Big Ass (บิ๊กแอส) คนนี้เรียกว่าขึ้นสังเวียนนักสู้เพื่อเอาตัวรอดมาทั้งชีวิต เขาทำงานหาเลี้ยงตัวเองเพื่อความอยู่รอดมาตั้งแต่เด็กๆ กระทั่งชีวิตหักเหจนมาเป็นนักร้องให้กับวง Big Ass แต่ใช่ว่าเส้นทางนี้จะราบรื่นและสวยงาม เพราะเขาก็ยังต้องสู้ต่อไป ต้องเจอบททดสอบความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจอีกมากมาย ด้วยความตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จในเส้นทางสายดนตรีให้ได้ในสักวัน

 

ไม่คิดยอมแพ้! เจ๋ง Big Ass กับการขึ้นสังเวียนนักสู้มาทั้งชีวิต

 

ปกติเราจะเจอบิ๊กแอสได้ตลอด เพราะมีงานคอนเสิร์ตต่อเนื่องตลอดทั้งดี แต่ด้วยโควิดอะไรก็ไม่เหมือนเดิม วงปรับตัวอย่างไรบ้างคะ

สถานการณ์โควิด อาชีพนักร้อง นักดนตรีคือต้องหยุดเลย ก็สะเทือนเยอะครับ ช่วงแรกที่พยายามเล่นดนตรีแบบ Work From Home ได้อาจจะงานสองงานแรก แต่พอหลังๆ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ วงเราค่อนข้างเป็นวงที่ Low Tech เราเกิดมาจากยุคแมนนวลมาตลอด แล้วอะไรที่ทันสมัย จะไม่ถนัดจริงๆ เนเจอร์เราต้องออกไปแสดงสด ก็พยายามทำวีคแรกนะ รู้สึกมันได้เท่านั้นจริงๆ พอวีคสองวีคสามเราก็รู้สึกฟีลมันก็ไม่ได้ครับ”

วงได้รับผลกระทบต่อตัวเรา และวงเรายังไงบ้าง

ผมว่าเยอะครับ ด้วยความที่หนึ่งเราไม่ได้ตั้งตัว สองคือพูดง่ายๆว่าในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ โลกทุกวันนี้นักดนตรีของประเทศไทย อยู่ได้ด้วยการออกไปเล่นคอนเสิร์ตเท่านั้น แล้วพอโดนล็อกดาวน์ พูดตรงๆว่า รายได้เราหายหมด ผมเชื่อว่ามันไม่เป็นแค่วงเราหรอก ผมว่าโดยทั่วไปก็ได้รับผลกระทบกันหมด ทุกคนคือมีรายจ่ายทุกวัน แต่รายรับเราไม่มี”

เราจะมีเงินกองกลาง เป็นเงินสำรองยามฉุกเฉิน แต่ไม่คิดว่ามันจะมีฉุกเฉินอย่างนี้ ฉุกเฉินแบบนี้เราก็ไม่ได้เตรียมการเหมือนกันนะ เป็นการหยุดเล่นดนตรีนานที่สุดตั้งแต่เล่นดนตรีกันมาเลย มันก็สอนให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทเหมือนกันนะ

 

ขอคุยเรื่องชีวิตส่วนตัวของเจ๋ง เพื่อแฟนเพลงรุ่นใหม่ๆ จะได้รู้จักกันมากขึ้น เจ๋งเติบโตมาในครอบครัวที่เลี้ยงดูลูกสไตล์ไห

“คุณแม่ของผมเป็นซิงเกิ้ลมัม  ผมเป็นลูกคนโต มีน้องชาย 2 คน  แม่เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานรับจ้างทั่วไปในกรุงเทพฯ สิ่งที่ผมจำความได้ก็คือใช้ชีวิตอยู่ตามห้องเช่า แม่ต้องเช่าห้องเช่าในระแวกที่ต้องทำงาน จำความได้ครั้งแรกผมอยู่ในเพิงสังกะสีสลัมคลองเตย แม่จะขังเราไว้ในห้องๆหนึ่ง คล้องกุญแจล็อกไว้ เพราะตอนนั้นยังเล็กมาก ประมาณอนุบาล คือแม่จะฝากเข้าอนุบาล แต่ก็ไม่ได้เข้า เพราะไม่มีตังค์พอให้เข้าโรงเรียนได้ ส่วนน้องแม่ฝากไว้ที่บ้านต่างจังหวัด

จากนั้นแม่ก็ไปฝากผมกับน้องคนกลาง กับญาติทางพ่อ ชื่อป้าแดง อยู่แถวๆ พระประแดง  ซึ่งป้าก็สอนให้เราหัดทำงานตั้งแต่ช่วง ป.3 ส่วนน้องคนเล็กสุด ฝากกับญาติทางแม่ที่ต่างจังหวัด ผมกับน้องคือเป็นเด็กฝากครับ แม่ฝากไว้เพื่อที่จะได้ไปทำงานแล้วส่งเงินมา คือนานๆ แม่ถึงจะมาหาสักที

เจ๋ง Big Ass

ในวัยเด็กตอนนั้นเรารู้สึกยังไง

“ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรนะ ไม่ได้คิดอะไรเยอะ ตอนโดนขัง ก็แค่อยากออกไปเล่นข้างนอกบ้าง เพราะเด็กข้างห้อง มีของเล่นมานั่งเล่นหน้าห้อง  บางทีก็แอบปีนออกหน้าต่างลงไป เพราะว่าใต้ถุนสลัม มันจะเป็นกองขยะทั้งนั้น ก็เหยียบลงไปได้ ปีนออกไปนั่งริมถนน ไปนั่งเล่นกับพี่ๆ นั่งเล่นตัวต่อเซนต์เซย์ย่ากับพี่ข้างห้อง เขาก็แบ่งให้เราเล่น พอรู้ว่าแม่จะกลับ ก็ปีนกลับเข้ามา”

พอไปอยู่บ้านสวนกับป้าแดง ผมก็ได้เข้าเรียนป.1 เลย ไม่ได้เรียนอนุบาล บ้านป้ามีสวน ก็จะให้เราเข้าสวนเก็บผลไม้ ดายหญ้าทำนู้นทำนี่ มีเพื่อนเป็นหมาแมวอยู่ที่นั่น

ข้อดีของการได้อยู่กับป้า เขาสอนให้เราทำหลายๆ อย่างเป็น ซักผ้า ทำกับ หุงข้าว สอนให้เรียนรู้ชีวิต สู้ชีวิต สอนให้ผมเอาตัวรอดได้ ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ ป.3 ที่บ้านป้านี่แหละ งานหลักก็คือตัดใบไม้ในสวน เพื่อเอาไปส่งกับร้านที่ประดับดอกไม้แจกันขาย ตอนเย็นกลับจากโรงเรียนก็เข้าสวนไปตัด แล้วมานับทำเป็นกองๆ ใส่กระสออบไว้ ไปโรงเรียนตอนเช้าก็แบกไปด้วย จะมีคนมารอรับ ตอนนั้นอยากออกไปเล่นกับเพื่อน อยากดูการ์ตูน ก็ไม่ได้ดู อยากดูทีวี ป้าก็ไม่ให้ดู เขาอยากให้เราทำงาน ทำการบ้าน อ่านหนังสือ พูดง่ายๆ คือสร้างระเบียบให้เรา”

 

ได้เงินก้อนแรก ผมตกใจเลยนะ ตลอดเวลาที่ทำงานกับป้า ป้าจะคอยเอาเงินฝากบัญชีให้ แล้วพอสิ้นเอาบัญชีมาให้เราดูมีเงิน 3000 บาท สำหรับเด็กป.3 เยอะมากครับ สิ่งที่ที่ขอป้าซื้อจากเงินเก็บคือ เกมบอย ในเมื่อไม่ได้ออกไปดีดลูกแก้วกับเพื่อน ดูทีวี ขอซื้อเกมแล้วกัน แต่ว่าป้าก็จะให้เล่นเป็นเวลา ถึงเวลาก็ต้องทำการบ้าน อ่านหนังสือ เข้านอนตามเวลาเหมือนเดิม

 

แล้วทำไม ไม่ได้อยู่กับป้าแดง 

ก็เกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีใครตั้งใจครับ ช่วงเข้าป.4 มีวันหนึ่ง ผมขนกระสอบใบไม้ไปส่ง ต้องเดินข้ามสะพานข้ามคลองเล็กๆ มันเป็นสะพานแคบ นี่เป็นกิจวัตรประจำวันที่ผมทำทุกวัน แต่วันนั้นมีหมานอนขวางสะพาน ผมเกรงใจหมา ไม่ปลุกมัน ก็เลยเดินข้ามตัวมันเงียบๆ จังหวะมันตื่น มันคงตกใจ มันก็ลุกขึ้น ดันตัวผมตกสะพาน ก็เลยแขนหัก

ป้าก็รีบพาไปโรงพยาบาล พอแม่รู้ เขาเลยไม่ค่อยโอเค แม่โทษทุกอย่าง พาลไปหมด ไม่ให้ผมอยู่กับป้า กลับไปอยู่บ้านนอกกับน้องคนเล็กที่ร้อยเอ็ดเลย  ซึ่งป้าเขาไม่ให้ผมไปนะครับ เขารักผมมาก ป้าบอกว่าถ้าไปป้าจะยึดของทุกอย่าง ยึดเกมบอย แต่แม่ก็บอกว่าไม่สน แล้วก็พาผมไปบ้านนอก

แล้วตอนนั้นอยากอยู่กับป้าหรือแม่คะ

ตอนนั้นอยากอยู่กับป้า เพราะเรารู้สึกว่ามันอุบัติเหตุ ใจหนึ่งประสาเด็กเราก็ห่วงเกมบอย (หัวเราะ) ใจลึกๆ แล้วผมผูกพันกับป้า่เหมือนกัน คือน้องชายคนกลางก็ยังอยู่กับป้าเหมือนเดิม แม่พาผมกลับบ้านนอกคนเดียว ต้องบอกว่าสำหรับแม่ แขนหักเป็นเรื่องใหญ่มาก น่าแปลกครับ ตอนเด็กๆ แม่ตกควายแขนหักข้างเดียวกับผมเลย แต่เขาไม่ได้ผ่าตัดเพราะไม่มีเงิน แขนแม่เลยไม่สามารถยืดตรงได้ แม่เขาบอก “มึงไม่เห็นแขนกูเหรอ กูไม่อยากให้มึงมาเป็นแบบนี้อีก ไปอยู่บ้านนอก”

เจ๋ง Big Ass

 

จากนั้นก็ไปเป็นเด็กฝากที่ร้อยเอ็ดต่อ…

ป. 5 ก็ไปอยู่ที่นั่นอยู่กับน้องชายคนเล็ก  เป็นเด็กใหม่ของถิ่นนั้ ดูผิดแปลก เพราะเราหน้าออกแขกๆ ก็เลยโดนแกล้ง โดนเอารองเท้าไปซ่อน ขโมยของที่เอามาจากกรุงเทพ ทุกอย่างหายหมดเลยนะ สมุด หนังสือ กางเกง รองเท้า อะไรดีๆ หายหมด   เลิกเรียนเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน ไปบอกป้า ป้าเขาก็ทำอะไรไม่ได้ มันเป็นเรื่องของเด็ก ผมเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียนเป็นอาทิตย์  รอแม่ส่งเงินมาให้ ป้าเองก็ไม่มีเงิน ะ ได้เงินมาก็ซื้อรองเท้าแตะ รองเท้านักเรียนแพง เงินไม่พอ

 

ก็เรียนถึงแค่ ม.3 ครับ แม่ก็มารับกลับไปอยู่กรุงเทพ เพราะป้าดูแลต่อไม่ไหว เพราะลูกตัวเองก็ต้องดูแล  แล้วก็ไปฝากกับอาที่รู้จัก แล้วแม่ก็หายไปไปทำงานหา เพื่อที่จะหาเงินมาให้เราเรียนต่อ โชคดีที่อาก็เอ็นดู ถามว่าเรียนกศน.ไหม หรือถ้าไม่เรียนกศน. จะฝากงานให้ ผมบอกทำงานดีกว่า อาฝากงานที่โรงแรมแถวสะพานควายให้ เป็นเด็กยกกระเป๋าที่โรงแรม

ช่วงก่อนที่จะไปอาจะฝากงานให้ ผมก็มีเพื่อนเล่นแถวบ้าน เป็นกลุ่มเล่นบาส จากนั้นก็ไปเจอเพื่อนกลุ่มใหม่ที่เขาตั้งวงดนตรี แต่จำได้เลยว่า เพื่อนๆ เรียนอยู่ฤทธิยะวรรณาลัยเป็นโรงเรียนของทอ.  เพื่อนก็เริ่มมาชวนเรามาร้องเพลง ก็ลองซ้อมๆ กับวง ซึ่งผมก็ไมร้องเพลงเป็นนะ แต่อาศัยฟังเพลงเยอะสมัยอยู่กับป้า ส่วนใหญ่เป็นเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง  การฝึกส่วนตัวก็คือเปิดเทปเพลงแล้วก็ฝึกร้องตาม

 

แล้วเดินทางสายนักดนตรีกลางคืนได้อย่างไรคะ

พอเริ่มทำงานปั๊บ เราก็ได้เริ่มเล่นดนตรีไปพร้อมๆ กัน เพื่อนๆ เริ่มไปออดิชั่นกันตามร้าน ได้คนละ 300 บาท ตอนนั้นถือว่าเยอะนะ พอได้เล่นหลายร้าน เริ่มเหิมเกริม แอบออกจากงานที่อาฝากไว้ให้ โดยไม่ได้ลาออก คือไม่ไปทำงานเลย มาเล่นดนตรีแทน กระทั่งทางโรงแรมมาบอกอาว่า เราไม่ไปทำงานนานแล้วนะ พอความแตกอาก็ไล่เราออกจากบ้าน ถ้าฝากงานดีๆ ให้แล้วไม่ทำ ถ้าคิดว่างานเต้นกินรำกินงานดนตรีดีกว่า งั้นก็ออกจากบ้านไปซะ เราก็เลยไปเช่าห้องอยู่เอง สักพักก็เจอปัญหาแยกวง ต้องหาคนใหม่ แต่ร้านอยากได้ทีมเดิม ก็ให้วงเราออกเลย เจอภาวะรายได้ไม่มี มีแต่รายจ่าย

ระหว่างหาสมาชิกใหม่ ผมไปสมัครเป็นทำงานในอู่ซ่อมรถ หาเงินเลี้ยงชีพ พอวงคนครบ ก็ไปเล่นดนตรี พอวงมีปัญหา ก็หางานใหม่ทำ ไปเป็นพนักงาน 7-11 พอวงได้ก็ออกจาก 7-11 พอวงไม่ได้ไปต่อ ก็ไปเป็นพนักงานขายมอเตอร์ไซค์ สลับไปมา ชีวิตมันต้องสู้เพื่อความอยู่รอดครับ

ผมเคยเหลือเงินไม่ถึงร้อย ซื้อมาม่าตุนไว้ 1 ห่อต้องกินให้ได้ 2 มื้อ ต้องแช่น้ำให้อืดๆ ช่วงที่นั่งกินมาม่าก็คิดนะว่า จะทำงานจริงจัง หรืออกไปเล่นดนตรี เพราะเป็นแบบนี้หลายรอบแล้ว พอได้ทบทวนดีๆ ผมรู้สึกว่าอยากเล่นดนตรี

ถือว่าโชคดีมาก ที่ช่วงนั้นยังมีคนโทรมาให้ไปร้องแทน วงอื่นๆ บ้าง ได้เงินมา 500 บาท ตอนนั้นเหมือนได้ต่อชีวิต ทุกครั้งที่ได้ไปร้องแทน จะได้ 500 อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง ก็อยู่รอด จากนั้นสถานการณ์ดีขึ้น ผมฟอร์มวงได้ เลยไปออดิชั่นเล่นที่โคราช แล้วที่นั่นก็ทำให้ผมได้เจอวงบิ๊กแอส ซึ่งพักอยู่ที่โรงแรมนั้น ใต้โรงแรมมีผับที่ผมออดิชั่นอยู่ พี่ๆ เขาก็เหมือนลงมานั่งชิล แล้วก็เจอวงผมเล่น

เจ๋ง Big Ass

แล้วมาเป็นเจ๋ง บิ๊กแอสได้ยังไง 

ครั้งแรกที่เจอ เขาไม่ได้ชวนเรามาอยู่วงนะ เขาแค่บอกว่ามีโปรเจ็กต์พิเศษจะทำ ก็แลกเบอร์กันไว้ เช้ามาก็โทรนัดลองไปซ้อมกับวง เขาอยากเห็นเราร้องว่าเป็นยังไง  ก็เริ่มมาซ้อมเรื่อยๆ จนเริ่มมานั่งคุยกันว่า กำลังจะหานักร้องนะ จะลองเทสต์หน่อย อยากให้ผมออกจากวงกลางคืน เพื่อมาใช้ชีวิตเต็มตัวไปพร้อมกับทุกคนในวงบิ๊กแอส ได้ใช้ชีวิตด้วย กินข้าวด้วยกัน

 เขาไม่ได้มองว่าเราร้องเพลงดี เก่ง มีความสามารถ แต่เขามองมวลรวมทุกอย่างว่ามันโอเคมั้ย แต่การออกจากวงเดิมของตัวเอง ก็ไม่ได้การันตีว่าจะได้เป็นนักร้องชัวร์ๆ นะ พอมาอยู่ด้วยกันอาจจะไม่โอเคก็ได้ นับว่าเป็นความเสี่ยงมากเลย เพราะตอนนั้นวงใหม่ของผม งานเยอะ มีเล่นทุกวัน รายได้ก็หลักสองหมื่นต่อเดือน พี่ๆ เขาก็บอกว่าถ้าหยุดเล่นกลางคืน ผมได้รายได้เท่าไร วง บิ๊กแอสจะช่วยกันหารออกเป็นเงินเดือนให้เรา

ผมคิดหนักนะ เหมือนผมทิ้งวงทิ้งเพื่อน แต่เพื่อนๆ ในวงน่ารักมาก ทุกคนบอกว่าครั้งหนึ่งให้ชีวิต ให้ลองเถอ ถ้ามันไม่โอเคค่อยกลับมาได้ ระหว่างนี้ จะหาคนมาร้องแทนไปก่อน จากนั้นผมก็ไปใช้ชีวิตอยุ่กับพี่ๆ บิ๊กแอส กินข้าวบ้านพี่อ๊อฟ  ทำนู้นทำนี่ด้วยกัน ไปดูหนัง ไปดูคอนเสิร์ต กระทั่งวันหนึ่ง ขณะนั่งกินปิ้งย่างตรงระเบียงบ้านพี่อ๊อฟ พี่เขาก็บอกว่า มึงก็อยู่กับกูไปเลยแล้วกัน แล้วเช้ามาก็เริ่มมาซ้อม แล้วก็เริ่มทำเพลงทำเดโม่จนกลายมาเป็นอัลบั้มแดนเนรมิตร

 

จำเวทีแรกที่เล่น ในฐานะนักร้องนำวงบิ๊กแอสได้มั้ยคะ

“มันส์ไก่มาก 2 ซึ่งเป็นงานใหญ่เลยครับ ก่อนหน้านี้เราซ้อมกันหนักมาก เพื่อเตรียมตัวไปเล่นที่เล็กๆ ก่อน เช่น ตามผับ ตามร้าน แต่โชคดีป๋าเต็ดชวนวงบิ๊กแอสไปเล่นในงานนี้เลย พอถึงวันที่ต้องเล่น ผมตื่นเต้นมาก ตื่นตระหนกทุกอย่าง ลนลานไปหมด คือทุกวงที่ไปเล่นงานนั้น  รอดูวงบิ๊กแอสที่จะเล่นโชว์กับนักร้องคนใหม่ครั้งแรก จำได้ว่าโชว์วันนั้นมีความเละเทะ อันนี้ไม่ติด นี่ก็ไม่ติด เล่นหลุด ร้องหลุด มั่วไปหมด จนจบโชว์ พอลงมาจากเวที เลยร้องไห้แล้วก็มากอดพี่กบ เหมือนเก็บกดครับ แต่แล้วมันก็ผ่านไป จากนั้นก็มานั่งคุยกัน แล้ก็ขำไปด้วย โห… วันนั้นแม่งยากจริงๆ แต่สนุกนะ หลังจากงานนั้น เราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากขึ้นกว่านี้

เจ๋ง Big Ass

ย้อนกลับไปถามเรื่องป้าแดง ทุกวันนี้เจ๋งได้เจอป้าอีกมั้ย

“ก่อนโควิดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมกลับไปหาที่บ้าน แถวนั้นเปลี่ยนไปเยอะ ผมไปยืนเรียกป้าแดงหน้าบ้านนานมาก หลายชั่วโมง ป้าแดงเข้าไปอยู่ในสวน หูก็ไม่ค่อยดีแล้ว จนป้าเดินออกมา ถามว่ามาหาใคร ผมบอกว่า “มาหาป้าแดงครับ” “ป้าบอกไม่รู้จักๆ” แล้วก็ไล่ผมไป จนผมบอกว่า “ผมเจ๋งเอง” ป้าทั้งตกใจ ทั้งดีใจ ป้าหลานกอดกันร้องไห้  เขาบอกทำไมปล่อยให้หนวดเครารุงรังอย่างนี้ ดีนะป้าไม่แจ้งตำรวจจับ (หัวเราะ) ก็เข้าบ้านมานั่งคุยกัน แล้วเขาถามเรื่องตั้งแต่ตอนแขนหัก ว่าเป็นยังไงบ้าง เขาถามเรื่องนี้ก่อนเลย นั่งถามสารทุกข์สุขดิบ จนถามว่าเราทำอะไร เขาไม่รู้หรอกว่าวงบิ๊กแอสเป็นยังไง จนเราบอกว่าเป็นเล่นดนตรี ก็เสิร์ตรูปให้ป้าดู เขาก็ดีใจมากที่เห็นแล้วประสบความสำเร็จ”

 

ตลอดร่วม 10 ปีในการเป็นหนึ่งในสมาชิกวงบิ๊กแอส สอนอะไรและเปลี่ยนอะไรในตัวเจ๋งบ้าง

“เปลี่ยนเยอะมาก เหมือนเราไม่ได้ขึ้นบันได เหมือนเราขึ้นลิฟท์เลย ผมได้ประสบการณ์ชีวิต ได้ทั้งในเรื่องของดนตรี เรื่องรายได้ ทุกอย่างมันพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด มันเป็นเรื่องเกินฝันสำหรับผมมาก เราไม่เคยคิดว่าจะได้มาอยู่จุดนี้ ชีวิตเปลี่ยนไปในทิศทางดีหมดเลย  แต่มันแลกกับความกดดันครับ เหมือนเราต้องแบกความหวังของหลายๆ อย่างไว้ ด้วยตัววงบิ๊กแอส ที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นวงในตำนาน เป็นวงระดับต้นๆ ของประเทศ ตอนเข้ามาใหม่ๆ ผมโดนกระแสลบมากว่าบวกครับ ผมเข้าโรงพยาบาล มีแต่คอมเมนต์ด่า ไม่มีให้กำลังใจเลย ร้ายแรงถึงขั้นแช่งให้ผมตาย มันหนักมากจนผมคิดว่า เราควรมาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า เราอยู่ผิดที่มั้ย หรือเราคิดผิด

ตอนนั้นเรายังแข็งแรงไม่พอที่จะมารับคอมเมนท์ ก็เลยไม่เข้าไปอ่านอะไรในโซเชียลมา แล้วก็คิดว่าอะไรปล่อยวางได้ก็ปล่อย เราไม่สามารถทำให้ทุกคนรักเรา แต่ผมจะพยายามทำให้คนยอมรับในตัวผมให้ได้ พี่ๆ ในวงก็ช่วยสอน คอยแนะนำให้เราโตมากขึ้น เราเองต่างหากที่สำคัญ ต้องพัฒนา ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ และวันนี้ผมก็ผ่านมาได้ ทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้นครับ

มีเรื่องราวประทับใจอะไรกับแฟนเพลงบ้างคะ

ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไปตามต่างจังหวัด ออกนอกเขตอำเภอเมือง ไปเล่นพื้นที่ไกลปืนเที่ยงมาก ในใจเราคิดจะมีคนมาดูมั้ยนะ แต่พอตกกลางคืน คนมาดูเราเต็มเลยครับ แล้วทุกคนสนุกไปกับเรา

ทุกจังหวัดจะมีแฟนเพลง มีฐานของวงบิ๊กแอสอยู่แล้วในแต่ละที่ มีฐานแฟนคลับเดิมที่เป็นผู้ใหญ่ แต่พอถึงรุ่นผมมาเป็นนักร้องใหม่ ก็ได้แฟนเพลงใหม่ๆ ที่เด็กลงเรื่อยๆ บางทีเด็กมากจนน่าตกใจ เป็นเด็กประถมก็ยังมี อนุบาลจะเข้า ป.1  คือเล็กที่สุดตั้งแต่เคยเจอมา (หัวเราะ) เป็นลูกเป็นหลานเราได้เลยนะ คือพ่อแม่ฟังเพลงบิ๊กแอส ลูกก็เลยร้องเพลงเราได้โดยอัตโนมัติ พูดยังไม่ชัด ร้องเพลงยังไม่ชัดเลยครับ แต่พอมาเจอเรา เขาบอกว่า ผมชอบพี่เจ๋ง ผมฟังเพลงแดนเนรมิตร โห… น่ารักมาก ดีใจมาก รู้สึกชื่นใจจัง

 

ความภูมิใจในการเป็นนักดนตรีอาชีพ 

การเป็นนักดนตรี เป็นศิลปินต้องสร้างสรรค์ผลงาน สร้างความคิด สร้างต้นแบบ เหมือนเราเป็นไอดอลนะ แค่เราได้เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้ใครสักคนในการใช้ชีวิต หรือทำอะไรสักอย่าง หรือเวลาไปเลยคอนเสิร์ต แล้วทำให้คนดูมีความสุข สนุกไปกับเรา แค่นี้ผมก็ภูมิใจแล้ว

 

ล่าสุดเจ๋งลองมาทำอะไรใหม่ๆ ด้วยการขึ้น 10 Fight 10 ด้วย จากนักร้องบนเวทีคอนเสิร์ต ทำไมถึงอยากลองเป็นนักมวย

ตอนอยู่บ้านนอก เพื่อนเป็นนักมวย เคยมาชวนผมไปเป็นนักมวย เพราะผมโดนแกล้ง แล้วไอ้นี่แหละก็คอยมาช่วย มันบอกผมว่าถ้าไม่อยากโดนแกล้ง มาเรียนมวยกับกู  แต่ผมก็ไม่ไป ไม่อยากเจ็บตัว

ผมชอบดูกีฬามวยเป็นทุนอยู่แล้ว พอมีรายการ 10 Fight 10 เราก็แอบสงสัย ต่อยกันจริงมั้ย พอมารู้ทีหลัง คนในบอกว่าต่อยกันจริงๆ ตามกฏเลย พอได้รับการติดต่อให้ร่วมรายการ ผมรู้สึกเออ… สนใจ มันเป็นกีฬาที่ผมรู้สึกว่าคาใจตั้งแต่ตอนเด็ก ที่เพื่อนเคยชวนแล้วเราไม่ตอบรับ คือเราชอบดูมวยนะ แต่ไม่ชอบความรุนแรง

ตอนนี้เราก็ 37 แล้ว นี่คือครั้งหนึ่งในชีวิต ลองสักตั้งแล้วกัน  คู่ชกเราคือลีซอ ซึ่งเป็นอะไรที่ท้าทาย และเป็นเกียรติมากที่ได้ชกกับนักกีฬาอาชีพ ตอนชกบนสังเวียนจริง แป๊บเดียวจบ ไม่เจ็บเท่ากับตอนฝึกซ้อมนะ วันซ้อมเนี่ย…. เจ็บที่สุดกว่าชกจริง ลีซอเขาเป็นนักฟุตบอล เราเริ่มมวย โดยนับ 1 เหมือนกับเรา แต่ตอนซ้อม ผมต้องซ้อมชกกับนักมวยจริง แล้วนักมวยจริงเขาต่อยมาแต่เด็ก เขาชกมาไม่รู้กี่ร้อยไฟล์ท สรุปคือตอนซ้อม เจ็บกว่า หนักกว่าตอนขึ้นชกจริงกับลีซอ (ยิ้ม) แต่ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตอีกด้านที่มีค่าสำหรับผมมากๆ ผมจะจดจำไปตลอดทั้งชีวิตแน่นอน”

เร็วๆ นี้จะมีอะไรให้ติดตามเพราะว่าแฟนๆ คิดถึงวงบิ๊กแอสมาก

“ปี 2020 กับ ปี 2021 เกิดเหตุการณ์โควิด ทำให้เราไม่เจอกันนาน แต่ปีนี้บิ๊กแอสจะเริ่มทำอัลบั้ม มีเพลงใหม่เป็นอัลบั้มอย่างจริงจังครับ หลังจากที่เราไม่ได้ทำเพลงเป็นอัลบั้มมานานมากแล้ว ฝากติดตามข่าวสารในเพจเฟซบุ๊คของวงครับ BIG ASS Rockband จะอัพเดทรายการ หรือแม้กระทั่งคอนเสิร์ต เรื่องคิวโชว์ เรื่องเพลง เราก็จะบอกในนั้นหมด”

 

สุดท้ายเจ๋งมีอะไรจะพูดถึงแฟนๆ วงบิ๊กแอสบ้างที่คอยซัพพอร์ตมาตลอด 

“ไมมีอะไรจะบอกนอกจากคำว่า “ขอบคุณ” มันอาจจะดูพร่ำเพรื่อ แต่คือคำที่ควรพูดและเหมาะที่สุด  ขอบคุณมากจริงๆ ขอบพระคุณเลยดีกว่าครับ ขอบคุณที่ซัพพอร์ตพวกเรา ตามเชียร์ ตามดูคอนเสิร์ตและคอยซัพพอร์ตเราในทุกๆเรื่อง แล้วก็รอเพลงใหม่ คอยถามไถ่กันตลอด สำหรับอัลบั้มใหม่ของพวกเรา เราจะตั้งใจให้มันคุ้มค่ากับที่ไม่ได้ทำเพลงมาสักพักใหญ่แล้ว ฝากติดตามพวกเรา และอยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆนะครับ”

Text:  AuAi

Photo: Sudsapda

 

 

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up