นนกุล กับเส้นทางโกอินเตอร์ที่เมืองจีน “ตายเอาดาบหน้า ดีกว่าไร้เป้าหมาย”
ห่างหายจากวงการบันเทิงไทยไปพักใหญ่ สำหรับนักแสดงฝีมือดี ช่วงนี้เขาอยู่เมืองไทย สุดสัปดาห์เลยชวนมาพูดคุยกันหน่อยว่า นนกุล กับเส้นทางโกอินเตอร์ที่จีน เป็นอย่างไรบ้าง พร้อมอัพเดตผลงานเพลง Won’t Tell You ที่ได้ลงมือทำเองทุกขั้นตอน
เรื่องนี้หลายคนอยากรู้มากทำไม นนกุล ถึงตัดสินใจไปทำงานที่เมืองจีน ทั้งที่ตอนนั้นงานในเมืองไทยก็กำลังไปได้สวย
“เริ่มต้นมาจากที่ฉลาดแกมโกงประสบความสำเร็จในประเทศจีนครับ หลังจากนั้นเลยมีงานที่จีนติดต่อมา ผมตัดสินใจไม่ยากเลยครับ เพราะความฝันของผมคือ อยากเป็นนักแสดงระดับโลก ผมมองว่าการที่เราได้ไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนซึ่งเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ถือเป็นก้าวแรกที่จะทำให้ความฝันของเราสำเร็จได้”
การไปทำงานที่เมืองจีนแบบไม่มีสังกัด เหมือนไปตายเอาดาบหน้าหรือเปล่า
“ผมแค่รู้สึกว่าไม่รับตอนนี้แล้วจะรับตอนไหน เราควรจะขยายขีดความสามารถตัวเอง และขยายช่องทางที่จะได้รับโอกาสเข้ามาให้มากขึ้นครับ ตอนแรกผมคิดเอาไว้แล้วว่า ถ้าเกิดเราไม่ได้งานที่จีน ผมตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วก็จะลองไปออดิชั่นที่โน่นดู ก็เหมือนไปตายเอาดาบหน้านั่นแหละครับ แต่ก็ดีกว่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไป แต่โชคดีที่ได้รับโอกาสในการทำงานที่เมืองจีน ผมไม่รู้เลยว่าไปแล้วต้องเจออะไรบ้าง ใจคิดอย่างเดียวยังไงก็ต้อง ต้องทำให้สุดความสามารถ”
การทำงานที่เมืองจีนต้องปรับตัวอะไรบ้าง
“ผมโชคดีที่เจอกองถ่ายที่ดี การทำงานทุกอย่างเป็นระบบ และโปรเฟสชั่นนัลมากๆ เขาจะให้บทเรามาล่วงหน้า เพื่อให้เรามีเวลาทำการบ้าน หน้างานอาจจะมีผิดพลาดบ้างนิดหน่อย แต่รวมๆ แล้วทุกอย่างค่อนข้างสมูธมาก
“สิ่งที่อาจจะดูหนักสำหรับหลายคน อาจจะเป็นเรื่องของการทำงาน 7 วัน ที่นั่นคือมีระบบชัดเจน อย่าง ในพาร์ตของนักแสดงทำงาน 12 ชั่วโมง เช่น ผมทำงาน 8 โมงเช้า ไม่เกิน 2 ทุ่มก็ต้องเลิกงานแล้ว ถ้าเกินจากนี้ก็ต้องจ่ายเป็น OT ครับ ซึ่งการทำแบบนี้คือแผนงานเขาต้องชัดมากๆ รู้ว่าต้องถ่ายอะไรบ้าง ซึ่งตัวผมไม่ติดขัดอะไรเลย เพราะเรารักในสิ่งที่ทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทำงาน 7 วันสำหรับผมชิลมากครับ
“ส่วนของการร่วมงานกับนักแสดงด้วยกัน ทุกคนน่ารักมากๆ ก่อนไปผมเกร็งนะว่า เขาจะมีกำแพงกับเรามั้ย แต่พอถึงเวลาที่ต้องทำงานด้วยกัน ทุกคนเฟรนด์ลี่มากๆ ต่อให้เขารู้ว่า คุยกับเราไม่รู้เรื่อง เขาก็ยังหาเรื่องคุย (ยิ้ม) ความเป็นธรรมชาติเหล่านี้ คือเสน่ห์ของเพื่อนนักแสดงที่ผมได้เจอ”
ในเรื่องของภาษาจีนล่ะคะ
“ภาษาจีนต้องเรียนเพิ่ม เรียนรู้เรื่อยๆ เลยครับ บทเป็นภาษาจีน มีประมาณ 30 ตอน ใช้เวลาถ่าย 3-4 เดือน ซึ่งเราไม่สามารถเรียนรู้ได้หมด ตอนที่ไปมีเวลาให้พักก่อนถ่ายจริงแค่ 3-4 วัน เพราะฉะนั้นการที่เรียนเพิ่มจากที่ไทย แทบไม่ได้ช่วยเลย เราไปเจอหน้างาน สิ่งที่เราทำได้อย่างเดียวคือ ท่องบทเป็นคาราโอเกะ ท่องไปซ้ำๆ จนมันเป็น muscle memory
“ในเรื่องฟีลลิ่งของไดอะล็อก เราก็ต้องทำการบ้านไปประมาณนึงครับ เช่น ใช้ google translate แปลประโยคในบทแล้วก็จับเอาเองว่า ฟีลน่าจะประมาณนี้ แล้วก็ปรึกษาเหล่าซืออีกทีว่า บทที่เราแปลมามันถูกมั้ย จากนั้นให้ล่ามช่วยอีกทีว่า การแบ่งคำประมาณนี้หรือเปล่า สิ่งเหล่านี้มันจะเหนื่อยช่วงแรกๆ แต่พอเราเล่นไปประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ จะเริ่มเก็ตขึ้นเรื่อยๆ ครับ
“ไปถึงหน้ากอง ก็ยังตื่นเต้นอยู่ (ยิ้ม) แต่การท่องจำบ่อยๆ แม้เราจะเกร็งตอนทำงานแค่ไหน ก็ยังจำได้ พูดได้ครับ ตอนออนแอร์จะเป็นพากย์เสียงใส่ครับ เพราะว่าสำเนียงเรายังไม่ใช่จีนแท้ เขาค่อนข้างจะเคร่งเรื่องสำเนียงมากๆ”
นนกุล กับเส้นทางโกอินเตอร์ที่เมืองจีน ต้องไปให้สุด!
นนกุลวางแผนในการทำงานที่จีนไว้ยังไงบ้าง
“ตั้งใจไปให้สุดทางครับ แต่ตอนนี้เราไม่ได้มีเอเจนซี่ดูแลที่โน่น ผมควรจะต้องมีเอเจนซี่ดูแล เพราะเราไม่มีความรู้ ไม่มีคอนเนคชั่น นักแสดงที่เมืองจีนมีเยอะมาก การที่ผมไปแบบเดี่ยวๆ อาจจะจมหายไปเลย ตอนนี้ก็มีการคุยๆ กันอยู่เรื่องเอเจนซี่ครับ ใช้เวลาตัดสินใจนานพอสมควร เพราะว่าเซ็นทีนึงก็อยู่กันยาวๆ ต้องดูดีๆ ครับ”
คิดว่าฝันของตัวเองที่อยากเป็นนักแสดงโกอินเตอร์ ตอนนี้ก้าวไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วคะ
“ตียากเหมือนกัน ตอนนี้ฝันในการโกอินเตอร์ของผมก้าวไปได้แค่ 10% มั้งครับ ด้วยสิ่งที่เราคำนวณจากความสามารถตัวเองด้วย อย่างเช่นภาษาอังกฤษ สำเนียงเราก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น เหมือนกับว่าวันนี้เราได้ opportunity มาเลย เราก็รับนะ แต่เราก็คิดว่าต่อให้ผลงานเรื่องนั้นดัง เราจะ maintain ไว้ได้สักแค่ไหน ถ้าควอลิตี้เรายังไม่พร้อม ผมไม่รู้หรอกว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่ไหนจะเป็นจุดสูงสุดผม ฮอลลีวู้ดหรือจีน”
เล่าถึงการทำงานซีรีส์เรื่องแรกที่จีนหน่อยค่ะ
“เรื่อง Blowing In The Wind เป็นเรื่องแรกของผมที่โน่น เลยตื่นเต้นมาก ซีนง่ายๆ บทก็ไม่ได้ยาว อย่างซีนคีบตะเกียบให้คู่ผม คือเราก็ท่องมาดีนะ แต่ด้วยความที่ตื่นเต้น พูดไปสั่นไป ผมคีบหมูให้เขา…มือสั่นหมูสั่นเลย (หัวเราะ) ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องสั่น แค่คีบให้เฉยๆ พอผ่านไป 3-4 เทค ก็โอเคครับ โชคดีที่ท่องบทมาดีประมาณหนึ่ง เลยไม่ได้เทคจนน่าเกลียด
“เรื่องนี้ผมรับบทเป็นนักปีนเขา ทีมงานเช่าสตูดิโอที่ทำภูเขามาใหม่หมดเลย แล้วเราได้ไปยืนอยู่บนภูเขาอันนั้นครับ เป็นครั้งแรกเลยที่เราได้เห็นอะไรแบบนี้ เหมือนฮอลลีวู้ดเลย เครื่องไม้เครื่องมือเหมือนนักปีนเขาเป๊ะๆ ชอบมาก ก่อนเล่นผมต้องไปฝึกปีนผาจำลองด้วยครับ”
แล้วเรื่องที่ 2 ของนนกุลเป็นอย่างไรบ้าง
“เรื่องที่สองคือ Dive ผมรับบทเป็นเหวยเท่อ ตัวละครนี้จะเป็นคนไทยที่พูดภาษาจีนได้ครับ ชื่อไทยว่า วิษณุ แต่พอไปอยู่จีน คนเรียกว่าเหวยเท่อ
“เรื่องนี้สิ่งที่ยากคือภาษาจีนเหมือนเดิม ต่อให้มันเป็นเรื่องที่สอง เรามีประสบการณ์มาแล้ว แต่เรื่องนี้บทจะไม่ได้เป็นคนที่นิ่งๆ เหมือนบทแรก เป็นบทที่ค่อนข้างจะยืดหยุ่น เพราะฉะนั้นการอิมโพรไวซ์ก็สำคัญ ทุกๆ ครั้งที่ท่องบท เราก็ต้องคิดอยู่เสมอว่า มีอะไรที่ตัวละครสามารถพูดตามนธรรมชาติของเขาได้อีก แต่ก็ต้องเป็นภาษาจีน ยากตรงนี้แหละ
“ในบทเหวยเท่อเป็นตัวละครที่ตลก สนุก เฮฮากับเพื่อนด้วย เพราะฉะนั้นเวลาจะเล่นมุกอะไรก็ต้องคุยกับเพื่อนก่อน โอเคไหมเราจะเล่นอันนี้ ส่วนกระแสตอบรับ เรื่องนี้เห็นจากตัวเลขได้ชัดเจน บางอาทิตย์ติดอันดับ 6 ใน youku ถือว่าโอเคเลยครับ”
เรื่องแรกต้องไปฝึกปีนผา เรื่อง Dive ต้องเข้าคอร์สนักกีฬากระโดดน้ำด้วยมั้ยคะ
“ฝึกครับ ผมฝึกที่ไทยก่อนประมาณแค่ 2 อาทิตย์ แล้วก็ไปฝึกพร้อมกับนักแสดงคนอื่นๆ ที่จีน ตอนถ่ายเราจะกระโดดในความสูงที่ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายกับตัวเอง กระโดดแฟลตฟอร์ม 3 เมตร ส่วนความสูงที่ 10 เมตรเราไม่สามารถกระโดดได้ อันตรายเกินไป ต้องฝึกมาดีมาก เพราะถ้าเกิดว่าพลาด คอหักได้เลย เซฟไว้ดีกว่า”
ในเรื่องจะเห็นว่านนกุลหุ่นเฟิร์มมาก ดูแลตัวเองอย่างไร
“อยู่ที่โน่นอาจจะไม่ได้เข้ายิม ผมใช้วิธีวิดพื้น 30 ครั้งต่อวัน อยู่หน้ากองก็ต้องทำอีก ส่วนอาหารการกิน โชคดีที่ผมเป็นพวกระบบเผาผลาญเร็ว แต่โชคร้ายคือกว่าจะได้กล้ามให้ได้อยู่นานจริงๆ ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 6 เดือน”
ไปทำงาน ใช้ชีวิตที่โน่นโฮมซิกแค่ไหน
“ผมเป็นลูกที่ไม่ค่อยดีครับ ผมไม่คิดถึงบ้าน (หัวเราะ) ตอนที่ผมเคยไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา 1 ปี มีคนบอกว่าระวังโฮมซิกนะ พอผมไป…โฮมซิกคืออะไร? ที่บ้านโทรมา “เป็นไงบ้าง ทำไมไม่โทรกลับมาเลย!” คือผมรู้สึกว่า Freedom! พอไปทำงานที่จีนเลยชิลๆ ครับ คงเพราะไป 3-4 เดือนก็กลับบ้าน ไปๆ กลับๆ
“ช่วงนี้กลับมาอยู่ไทยแล้วนะครับผม อยากจะสลับช่วงมาลุยงานในเมืองไทยบ้าง ก็หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอทุกคนนะครับ และฝากติดตามผลงานการแสดงและงานเพลงของผมด้วยครับ”