นิชคุณ เล่าความรู้สึกการเป็นหนึ่งในความภูมิใจของคนไทย และความท้าทายใหม่ในวัย 31 ปี

Alternative Textaccount_circle
event

พูดถึงชื่อ นิชคุณ 2PM เราต่างรู้ดีว่า เขาเป็นไอดอลเกาหลีที่ดังไปทั่วโลก และอยู่ในระดับแถวหน้าของเอเชีย ยิ่งสำหรับคนไทยแล้ว เขาคือความภูมิใจของประเทศ ที่ได้ไปโชว์ศักยภาพบนเส้นทางบันเทิงเกาหลี ในฐานะไอดอลสายเลือดไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง

กว่า 10 ปีบนเส้นทางไอดอลเกาหลี ผู้ชายคนนี้ยังคงพัฒนาตัวเองเพื่อพิสูจน์ความสามารถอยู่เสมอ เขาเติบโตขึ้นทั้งความสามารถรอบด้าน รวมถึงทัศนคติในการใช้ชีวิต ซึ่งตอนนี้อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะอายุ 31 แล้ว

นิชคุณ หนึ่งในความภูมิใจของคนไทย

ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี เราเห็นความสามารถของคุณเติบโตขึ้นรอบด้าน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อัพเลเวลเลยคือ ความหน้าหน้าเด็ก ช่วยบอกเคล็ดลับหน้าเด็กนิดนึงค่ะ

“ปีนี้คุณอายุ 30 ย่าง 31 แล้วครับ (เกิด 24 มิ.ย. 2531) ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแก่นะครับ รู้สึกว่าตัวยังเด็ก ยังอยากที่เรียนรู้สิ่งใหม่ เพราะมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้อีกมาก คือถ้าไม่คิดถึงตัวเลข ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร จะมีบ้างครั้งที่ตกใจเรื่องวัย เวลาเจอน้องๆ ไอดอลรุ่นใหม่ แล้วเราถามเขาว่าอายุเท่าไร น้องๆ ตอบว่า 18 เออ… เราก็แก่เหมือนกันนะ (หัวเราะ)

“ด้านร่างกายก็อาจจะมีบ้าง ที่เหนื่อยเร็วกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย (หัวเราะ) แต่ผมก็ฟิตร่างกายตลอด มีกินวิตามินเสริมบางนิดหน่อยแต่ไม่มาก ผมจะเน้นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เข้ายิม ตีกอล์ฟ ตีแบด และมักจะบอกกับแฟนคลับตลอดว่าออกกำลังกายด้วยนะ อย่าอ้วนนะอะไรประมาณนี้แฟนๆ เขาก็ตอบกลับมาว่า รอให้นิชคุณอ้วนก่อน” (ยิ้ม)

“เรื่องการดูแลผิว ผมใช้ Dr.Jill ดูแลผิวหน้าครับ (หัวเราะเอิ๊กอ๊าก) ขายของ… แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การนอนให้เต็มที่ ดื่มน้ำเยอะๆ และออกกำลังกาย 3 อย่างนี้ต้องทำควบคู่กับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะใช้สกินแคร์ราคาแพงก็ไม่ช่วยอะไร ต้องดูแลตัวเอง มีวินัยมากๆ เพราะเราเองไม่ค่อยมีเวลา กิน นอนก็ไม่ตรงเวลา บางทีก็รีบต้องกินฟาสต์ฟู้ด แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายซึ่งกินมากก็ไม่ดีอีก”

นิชคุณ

โตขึ้น วัยเปลี่ยน อายุเข้าสู่หลัก 3 แล้ว มองโลกเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง 

“ผมมองโลกและเข้าใจมันแบบโตตามวัยนะ ผมปล่อยวางมากขึ้นในเรื่องระบบการทำงาน เมื่อก่อนผมจะเข้มงวดกับตัวเองและคนรอบข้างมากเกินไป ทุกอย่างต้องเพอร์เฟค ยูจะออกนอกทางไม่ได้ เมื่อก่อนจะค่อนข้างเครียดกับเรื่องงานมากครับ แต่ตอนนี้เราได้เรียนรู้ว่า แต่ละคนมีความสามารถที่ต่างกันไป นิสัยต่างกัน เขาเป็นแบบนั้น เราเป็นคนแบบนี้ ไม่มีใครถูกใครผิด เราไม่จำเป็นต้องปรับให้คนรอบตัวเหมือนเรา ทางที่ดีคือหาจุดตรงกลาง ประนีประนอมดีที่สุด

“ทุกวันนี้พยายามทำให้ตัวเองไม่เครียด ผมว่านี้เป็นจุดหนึ่งที่เราให้รู้สึกว่าผมเด็ก สนุกกับทุกอย่างรอบตัว สนุกไปเรื่อยๆ อย่างที่บอกว่าร่างกายสำคัญต้องดูแล แต่สำคัญที่สุดคือ ความคิด และจิตใจ วัยเราเปลี่ยนแต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ ความพยายามที่พัฒนาให้ตัวเองเก่งขึ้น พยายามที่จะเป็นคนที่ดีกว่านี้ พยายามอยู่ตลอดเวลา

“ช่วงที่ผมอายุ 20 ปี เราเหมือนเด็กที่เพิ่งเคยไปดิสนีย์แลนด์ครั้งแรก ทุกอย่างดูสนุกและน่าตื่นเต้นไปหมด จำไม่ได้สักอย่างเลยว่าเราทำอะไรไปบ้างตอนนั้น เพราะวันหนึ่งเจอคนใหม่ๆ งานใหม่ๆ เยอะมาก จนเราไม่สามารถโฟกัสได้ว่า เราต้องทำสิ่งนี้เพราะอยากทำ หรือต้องทำ

“ส่วนช่วง 25 ปี เริ่มจัดการตัวเองได้มากขึ้น เริ่มรู้แล้วว่าเราเป็นนักร้อง เป็นดารา ต้องวางตัวแบบนี้นะ เป็นช่วงที่ยุ่งมาก และเครียด อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนเข้มงวดกับทุกสิ่งทุกอย่างมากเกินไป ไม่ปล่อยวางสักอย่าง ทุกอย่างต้องเพอร์เฟค พอถึงเข้าสู่วัย 30 ปีก็คือช่วงนี้ (ยิ้ม) อะไรๆ ดูเบาขึ้นครับ รู้จักปล่อยวาง เรารู้ว่าเวลาทำงาน ควรพูดกับคนนี้ๆ อย่างไร ปฏิบัติตนต่อกันอย่างไร ผมว่าตัวเองเติบโตขึ้นไปตามวัยครับ”

 11 ปีบนเดินทางไอดอลเกาหลี การเดินทางนี้เจออะไรบ้าง 

 “ย้อนไปเมื่อ 12-13 ปีที่แล้ว ผมย้ายไปเกาหลี เพื่อไปเป็นเด็กฝึกหัดของค่าย JYP เริ่มเข้าคอร์สเรียนร้องเพลงเรียนแร็พ เรียนเต้น เรียนการแสดง เรียนภาษาเกาหลี ช่วงนั้นเหมือนเข้าโรงเรียนประจำเลยครับ หอพักจะอยู่ข้างบริษัท เช้ามาก็เข้าบริษัทเพื่อฝึก เที่ยงกินข้าวกลับเข้ามาซ้อมต่อ เย็น-ค่ำกลับหอ ช่วงนั้นเรายังไม่รู้เลยว่าอนาคตจะไปไหน เพราะยังไม่ได้เดบิวต์ แต่พอเดบิวต์ก็มีงานให้ทำต่อเนื่อง ยุ่งมากๆ ได้มาทำงานที่เมืองไทยด้วย เรียกว่าแสงสีเสียงอยู่รอบตัวเต็มไปหมด

“ตอนแรกแม่ก็ห่วงมากว่าเราจะหลงตัวเองหรือเปล่า โชคดีที่เราเป็นคนไทย คุณพ่อคุณแม่สอนให้รู้จักกาลเทศะ รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ไปลามาไหว้ ต้องยกมือไหว้ตลอด ความเป็นคนไทยไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน เราก็จะเป็นคนนอบน้อม มีสัมมาคาราวะ ผมโชคดีที่ได้ตรงนี้ติดตัวมา แต่เอาจริงผมไม่มีเวลาได้หลงได้เหลิงหรอกครับ (ยิ้ม) งานหนักมาก ยุ่งจนไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่ เขาให้ทำอะไรก็ทำ ช่วงนั้นก็มีเบลอๆ บ้าง

“ผมนับถือวิธีการทำงานของคนเกาหลีนะครับ เขาจะมีระบบ ระเบียบ คุมทุกอย่างชัดเจน อะไรได้ไม่ได้เขาจะบอกเลย ขนาดที่หอพัก ก็มีเมเนเจอร์มาอยู่ด้วย จะออกไปเจอเพื่อนก็ต้องถามเมเนเจอร์ก่อน ถ้าเมเนเจอร์โอเคก็ต้องกลับตามเวลา ทีมเกาหลีเข้มงวดก็จริงแต่เขามีเหตุผล เพราะคิดดีๆ เราเองก็ถือเป็นสินค้าอย่างหนึ่ง ถ้าเราเป็นอะไร ก็เหมือนสินค้าเสียหาย เขาก็เสียเงินในการผลิต

 รู้ตัวว่าตัวเองดัง เป็นศิลปินแล้ว ตอนไหนคะ

“ตอนที่ออกไปข้างนอกแล้วคนอยากเข้ามาถ่ายรูปด้วย เดินตาม วิ่งตาม ก็แปลกๆ นิดนึงครับ แต่พอเวลาผ่านไปเราก็เข้าใจแล้วว่านี้คือชีวิตเรานะ ต่อไปเราต้องเจออะไรประมาณนี้ เราต้องยอมรับและปรับตัวให้ได้

“11 ปีในการเป็นนิชคุณ 2PM เราสู้ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจจะเดินเส้นทางนี้ ทุกวันมันคือการต่อสู้ ต่อสู้กับตัวเองคือมากและยากที่สุดเลย ทุกสิ่งรอบตัวเราแทบไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้อะไรกับมัน เพราะเราไม่สามารถบังคับได้ สิ่งที่เราบังคับได้คือการกระทำ ใจ ความคิดของตัวเอง และการพูดจาของตัวเองครับ เหล่านี้สามารถกระทบกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา ผมว่าการต่อสู้กับตัวเองนี่แหละยากที่สุดแล้ว

“ผมมักบอกกับตัวเองตลอดว่า ถ้าคนเราอยู่สบายๆ ง่ายๆ ไม่มีวันที่เราจะเติบโต คนเราต้องผ่านทั้งดีและร้าย เราถึงจะเป็นคนที่ดีกว่าผ่านมา รู้มากกว่าที่เคยเป็น คิดได้กว้างกว่าที่เคยคิดได้ ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสได้ไปทำงานและใช้ชีวิตอยู่หลายประเทศ ซึ่งทำให้เราเรียนรู้ความคิดคนในแต่ละประเทศที่ได้ไป เราสามารถนำความคิดที่แตกต่างนั้นมาเรียนรู้ ปรับใช้กับตัวเอง ทำให้เราเป็นคนที่มีความคิดกว้างขึ้น เข้าอกเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น”

พูดถึงชื่อ นิชคุณ ทุกจะคิดถึงถึงความเป็น “ไอดอลสายเลือดไทย” “ความภูมิใจของคนไทย” รู้สึกอย่างไรกับประโยคเหล่านี้คะ

“ต้องบอกว่าผมโชคดีที่ช่วงเริ่มร้องเพลงตอนนั้น K-POP กำลังเริ่มบูมมาก แล้วผมเป็นคนต่างชาติเกือบจะคนแรกๆ ที่ประสบความสำเร็จในเกาหลี คือจังหวะมันดีมาก ผมโชคดีมากที่ได้เจอคนดี ทำงานกับคนดีๆ รวมถึงจังหวะและโอกาสเข้ามาแบบเป๊ะๆ เลย

“สำหรับผม คำว่า ‘ไอดอล’ เป็นคำที่เบิกทางให้ผมมาอยู่ที่จุดนี้ เรียกว่าปูทางให้เรา แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นไอดอลนะ เพราะคนส่วนมาก มักจะคิดว่าไอดอลจับต้องไม่ได้เลย แต่ผมเชื่อว่าตัวเองเป็นคนหนึ่ง ที่กำลังทำงาน มีอาชีพเป็นนักแสดง นักร้อง ศิลปิน มากกว่าครับ

“ผมมักได้ยินประโยคว่า ‘นิชคุณเป็นคนไทยคนแรกที่ประสบความสำเร็จในวงการเพลงเกาหลี เป็นความภูมิใจของคนไทย’ ความรู้สึกที่ได้ประโยคนี้ช่วงแรกๆ กับตอนนี้ต่างกันนะครับ ตอนแรกเราไม่รู้ว่าดังแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จขนาดไหน ได้ยินแล้วรู้สึกว่านี่คือ “ความคาดหวังที่ต้องแบกรับ” รู้สึกว่าทำไมต้องเทียบเราว่าเป็นความภูมิใจของประเทศ ซึ่งตอนนั้นเราก็แค่พยายามทำหน้าที่ให้ประสบความสำเร็จ

แต่พอผ่านไปสักพัก ผมก็เข้าใจแล้วว่า ที่ได้ฉายาแบบนั้น เพราะนิชคุณ คือคนไทยนะ เขาชื่นชมที่เราสามารถไปอยู่จุดนั้นได้ ซึ่งถ้าอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากทำให้เสียชื่อ เลยต้องพยายามคิดดี พูดดี ทำดี จริงๆ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งมีผิดพลาดได้ แต่ผมจะมีกรอบไม่ให้ตัวเองหลุด ทุกวันนี้ผมรู้สึกอยู่เสมอว่า แฟนคลับไทย แฟนคลับทุกๆ ประเทศ คือความภูมิใจของผม คือกำลังใจให้ผมเดินทางมาถึงวันนี้ ดังนั้นการที่มีคนรู้สึกว่าผมเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ ถือเป็นเกียรติในชีวิตของผมเช่นกันครับ

 

อ่านบทสัมภาษณ์ของนิชคุณต่อได้ที่หน้าถัดไป 

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up