แอบส่อง 6 หนุ่มหล่อในเครื่องแบบ #หนุ่มในเครื่องแบบหล่อบอกต่อด้วย

Alternative Textaccount_circle
event

หลังจากสุดฯ พาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับนักกีฬาหล่อ หมอหล่อกันมาแล้ว ถึงคราวอยากให้มาทำความรู้จัก หนุ่มหล่อในเครื่องแบบ  กันบ้างซึ่งขอบอกว่าไม่ได้มีดีแค่หน้าตาเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถ และความคิดความอ่านก็น่าชื่นชมไปคนละแบบ

ร้อยตำรวจโท กฤตย์ โอสถานุเคราะห์  (ท็อฟฟี่) IG: toffeeo

รองสารวัตร ฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค

ตำรวจรุ่นใหม่ไฟแรง ที่มีแรงบันดาลใจและมีความฝันอยากเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตั้งแต่เด็ก และเมื่อโอกาสลงตัว เขาก็ไม่รอช้าที่จะมุ่งมั่นทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ และรับใช้ประชาชน

“ผมเรียนจบด้านบริหารธุรกิจ จากเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังเรียนจบก็ได้กลับมาช่วยงานกับบริษัทของตระกูลเป็นเวลาประมาณ 2 ปี จากนั้นจึงตัดสินใจสมัครสอบเพื่อบรรจุและเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจ เพราะเป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งการตัดสินใจนี้ อาจจะขัดใจคุณพ่อคุณแม่อยู่บ้าง เพราะตอนนั้นก็ยังมีงานของครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบอยู่ด้วย แต่ที่มุ่งมั่นอยากเป็นตำรวจ เพราะคิดว่าทุกคนต่างมีความฝัน เมื่อยังมีเรี่ยวแรงและยังมีโอกาส ผมจึงไม่รอที่จะเดินตามความฝันครับ

“คุณพ่อคุณแม่เป็นนักธุรกิจ ท่านก็จะมีมุมมองที่แตกต่าง ส่วนผมก็มีมุมมองและความคิดในแบบของผมเอง  ตั้งแต่วันแรกที่ได้บรรจุเข้ารับราชการ ผมพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ท่านได้เห็นว่า เราสามารถทำงานในอาชีพนี้ได้จริงๆ หลังจากที่ได้ตั้งใจปฏิบัติงาน ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตลอดปีแรก ผู้บังคับบัญชาเห็นถึงผลงาน จึงมอบรางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่น ประจำกองกำกับการ และปีที่สอง ก็ได้รับประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติ ตำรวจสีขาวดาวคุณธรรม ซึ่งมอบให้ตำรวจที่มีจริยธรรม และประพฤติดีตามแบบอย่างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

“ปัจจุบันผมอยู่สังกัด กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมที่มีการกระทำความผิด ที่เอาเปรียบผู้บริโภค เช่น เงินกู้นอกระบบ คลินิกเถื่อน ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น ส่วนผมรับผิดชอบงานด้านอำนวยการ มีหน้าที่อำนวยความสะดวก และประสานงานให้กับผู้บังคับบัญชา รับผิดชอบด้านงานกำลังพล และอยู่ในคณะทำงานโฆษก และประชาสัมพันธ์ของหน่วย รับผิดชอบงานด้านการให้ประชาสัมพันธ์ และงานอื่นๆ ที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายด้วยครับ

“นิสัยผม เป็นคนลุยๆ บู๊ๆ หน่อย รักการฝึกยิงปืน และชอบการฝึกในหลักสูตรยุทธวิธีต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้ และประสบการณ์การทำงาน ผมสนใจงานสืบสวนและปราบปราม ล่าสุดเพิ่งสำเร็จการอบรมหลักสูตรสืบสวนคดีอาญารุ่น 99 ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ดีที่สุดหลักสูตรหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการเรียนรู้เทคนิคด้านการสืบสวน ในการสืบเสาะหาผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ช่วงใกล้จะจบหลักสูตร ผู้เข้าอบรมจะต้องไปฝึกงานที่กองบังคับการสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งจะแบ่งการทำงานเป็นทีม เข้าจับตามหมายจับจริง ตามเป้าที่ทางครูฝึกได้วางไว้ ถือเป็นงานท้าทายมากครับ เพราะเราต้องแข่งกับเวลา และในการเข้าจับแต่ละครั้ง ผู้ต้องหาแต่ละคนก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน การทำงานทุกขั้นตอนจำเป็นต้องมีการวางแผนให้รัดกุม เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

“ในอนาคตถ้าผมมีโอกาส ผมอยากจะย้ายไปทำงานด้านสืบสวน เมื่อทำงานครบ ผมอยากใช้ความสามารถที่ตัวเองถนัดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและองค์กรครับ จริงๆ แล้วทุกหน่วยทุกหน้าที่สำคัญเท่ากันหมด เพราะต่างก็เป็นฟันเฟืองสนับสนุนให้การทำงานสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น  ณ วันนี้ผมภูมิใจมากที่ได้รับราชการตำรวจ ได้บริการรับใช้ประชาชน การอุทิศตนทำประโยชน์เพื่อชาติบ้านเมือง ถือเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตครับ”

 

 นศ.พ. กษิดิ์เดช เสือสกุล (กัส) IG: sugus_ksd

นักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ชั้นปีที่ 4

นักเรียนแพทย์ทหาร มาดนิ่ง พูดน้อย ที่มาพร้อมความมุ่งมั่น และใจที่เกินร้อยทั้งในการเป็นคุณหมอ และเป็นรั้วของชาติ มันก็จะน่าปลื้มอยู่หน่อยๆ ที่อนาคตอันใกล้นี้ เราจะมีแพทย์ทหารที่เก่งและหน้าตาดีเพิ่มอีกหนึ่งคน ​​​

“ช่วงเรียนม.ปลาย ผมอยากเป็นวิศวกรครับ วางแผนไว้แล้วว่าจะสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพราะเป็นคนชอบเรียนเลข กับฟิสิกส์ จนสอบติดวิศวะฯ จุฬาฯแล้ว แต่สุดท้ายก็มาเปลี่ยนใจทีหลัง เพราะกลัวเรียนไปแล้วจะเบื่อ เลยตั้งใจสอบหมอ ผลสอบออกมาคือ ติดที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า การเรียนแพทย์ที่นี่ คือ เราต้องเป็นทั้งแพทย์และทหาร ด้านวิชาชีพแพทย์ต้องเรียนจบให้ได้ตามหลักเกณฑ์แพทย์สภา ส่วนวิชาการทหารก็ต้องให้ได้ตามหลักนักเรียน จปร. นอกจากจะเรียนวิชาการแพทย์แล้ว ยังต้องเรียนวิชาการทหารด้วย โดยจะเริ่มเรียนวิชาทหารตั้งแต่ช่วงปิดเทอมปี 1 จะขึ้นปี 2 ประมาณ  2-3 เดือน ช่วงนั้นจะฝึกทหารอย่างเดียวทุกวัน ฝึกหนักมากๆครับ ไม่ต่างจากนักเรียนนายร้อย มีฝึกเข้าแถว จับอาวุธถือปืน เข้าไปอยู่ในสถานการณ์คล้ายกับสนามรบจริง เข้าป่ากันจริงๆ แบกสัมภาระทั้งของใช้ส่วนตัว อุปกรณ์เกี่ยวกับทหาร และอุปกรณ์แพทย์

“พอขึ้นปี 2 นักเรียนแพทย์ทหารทุกคนก็ต้องอยู่ในระเบียบวินัยของทหารตลอด เช้าตื่นขึ้นมาวิ่ง ตั้งแถวเคารพธงชาติ เดินแถวไปเรียน เดินแถวไปกินข้าว เย็นวิ่งรวมแถว ถ้าทำผิดก็มีซ่อมตอนกลางคืน สำหรับนักเรียนแพทย์ทหารแล้ว เราไม่ได้เป็นหมอ 50% เป็นทหาร 50 % นะครับ แต่เรามีหน้าที่เป็นหมอเต็ม 100 % และเป็นทหารเต็ม 100 %

ทั้งนี้ทั้งนั้น จะมีการแบ่งเวลาที่ชัดเจนครับ ช่วงแรกต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว และปรับสภาพจิตใจ พอผ่านช่วงฝึกหนักไปได้ หลังจากนี้จะน้อยลง เพราะเราต้องเรียนหมอต่อ แต่วิชาทหารยังคงเรียนทุกปีอยู่ครับนะครับ สิ่งสำคัญที่จะอยู่ติดตัวเราไปตลอดคือ ระเบียบวินัย และความอดทนตามแบบฉบับของทหาร หลายคนอาจจะสงสัยว่า จบแพทย์พระมงกุฎต่างจากที่อื่นอย่างไร ในเชิงวิชาการแพทย์เรียนเหมือนกันครับ จบไปก็เป็นหมอเหมือนกัน  แตกต่างตรงที่เราเป็นทหารที่รักษาคนได้ และยังเป็นหมอที่ออกสนามรบไปกับทหารได้ด้วยเช่นกัน

“ตอนนี้ผมอยู่ปี 4 เป็นชั้นคลินิกแล้ว ต้องเข้าวอร์ดในโรงพยาบาล ซึ่งผมอยู่วอร์ดอายุรกรรม ได้เห็นการเจ็บป่วยของคนไข้หลากหลายเคส ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีความมุ่งมั่นที่อยากจะรักษาเขาให้หายจริงๆ หมอไม่ได้รักษาแค่ร่างกายครับแต่เราต้องคำนึงถึงจิตใจคนไข้ไปพร้อมกันด้วย ช่วงแรกๆ ที่เข้าวอร์ดด้วยความเป็นนักเรียนแพทย์ เราอาจจะยังดูไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไร ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกครับ ถ้าคนไข้จะกังวลเวลามีนักเรียนแพทย์มาตรวจ แต่คนไข้ที่ผมเจอน่ารักมากครับ ให้ความร่วมมืออย่างดี

“เป้าหมายของผมในขณะนี้คือ ตั้งใจเรียนทั้งในภาควิชาการแพทย์ และทหารให้ดีที่สุด เพราะผมอยากเป็นหมอที่ดี ในการทำหน้าที่รักษาพยาบาลผู้ป่วย อีกทั้งเรายังต้องพร้อมเสมอ ในการปฏิบัติราชการสนาม ในยามประเทศชาติเกิดภัยคุกคาม เพราะนี่คือหน้าที่สำคัญของแพทย์ทหารครับ”

ว่าที่ ร้อยตรี ธนกฤต ชูเชิด (เบลล์) IG: b.bell_thanakit

นายทหารสัญญาบัตรนอกประจำการ (กองกำลังสำรอง) หน่วยบัญชาการรักษาดินแดง กองทัพบก

หนุ่มในเครื่องแบบหน้าไทย คมเข้มคนนี้ อาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง เพราะนอกเวลาที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบ เขาคือผู้สื่อข่าวรุ่นใหม่ จากช่องเวิร์คพอยท์ ที่พร้อมลุยทุกพื้นที่ ทุกสถานการณ์

“ผมเรียบจบคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ ระหว่างที่เรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ผมก็เรียนวิชาทหารควบคู่ไปด้วย ที่ค่ายพระปิ่นเกล้า จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงเรียนภาคสนามก็จะมาเรียนที่กองพลทหาร 9 จังหวัดกาญจนบุรี ยอมรับว่าการเรียนสองที่หนักมากจริงๆ เหตุผลคือ ผมตั้งใจว่าพอจบปริญญาแล้ว อยากจะทำงานสื่อมวลชน สังกัดสถานีวิทยุกองทัพบก ช่อง 5 เพื่อที่จะได้รับราชการทหารไปพร้อมกับทำงานด้านสื่อที่จบมา แต่จับพลัดจับผลูได้มาเป็นผู้สื่อข่าวการเมืองที่เวิร์คพอยท์

ตอนนี้ผมจะออกภาคสนามประจำอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลเสียส่วนใหญ่ แต่ก่อนหน้านี้เป็นผู้สื่อข่าว ทำสกู๊ปต่างๆ ลงพื้นที่ตามชุมชน และช่วงปีที่แล้วผมรับหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวพระราชสำนัก รายงานข่าวพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตที่มีโอกาสได้ถวายงานพระองค์ท่าน สำหรับงานด้านข่าว ถือเป็นโอกาสการทำงานที่มีค่ามาก ผมตั้งใจจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนี้ให้มากที่สุด เพราะในอนาคตผมตั้งใจว่า เตรียมตัวเข้าบรรจุรับราชการทหารเต็มตัวครับ เพื่อนำความรู้และประสบการณ์ ไปปรับใช้ในส่วนของงานทหาร เช่น ด้านโฆษก งานกิจการพลเรือน เป็นต้น

 

“ผมยังจำช่วงเวลาตอนเรียนได้ดี เรียนที่มหาวิยาลัย ต่างกับตอนเรียนทหารสิ้นเชิง นักศึกษาภาคปกติ เข้าห้องเลคเชอร์ วันไหนที่ขาดเรียนเพื่อไปเรียนคลาสทหาร ก็ตามเลคเชอร์กับเพื่อน ขยับคลาสเรียนเพื่อไม่ให้ชน แต่พอเป็นนักเรียนทหาร ฟีลจะต่างกันมาก ก็จะเรียนระเบียบทหารทั้งหมด ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ นั่งกลางแดดกับปืนใหญ่ ต้องประกอบปืนใหญ่พร้อมกับยิงด้วยมือเปล่า การเป็นนักเรียนทหารสอนเราหลายอย่าง เช่น การที่เราต้องไปนอนในป่าสามวันสามคืน โดยที่สะสมความเหนื่อย ความหิว ความกดดัน ผมว่ามันทำให้เรามีสกลความอดทนต่อภาวะความกดดันต่างๆ สูงมาก ในชีวิตจริงเวลาเราเจอความลำบาก เราจะรู้สึกว่า เราสู้กับมันได้ มันไม่ตายหรอก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

“คนในครอบครัวผมไม่มีใครรับราชการทหารเลยครับ มีแต่คุณตาเป็นตำรวจ ทหารเป็นความฝันในวัยเด็กที่ผมอยากทำให้สำเร็จ อีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมอยากทำเพื่อครอบครัว อยากให้พ่อกับแม่ได้ชื่นใจว่าลูกรับข้าราชการทหาร เป็นฟันเฟืองหนึ่งที่ได้ทำเพื่อประเทศ และผมภูมิใจที่ได้เป็นทหารของประชาชน ทุกความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติใดๆ  ทหารพร้อมเสมอที่จะอุทิศตัวเพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนครับ”

สิบโท กฤษตฌาพนธ์ ธนะนารา

นายทหาร แผนกธุรการ สำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการ กองทัพไทย

แม้จะผิดหวังกับการสอบเข้ารับราชการทหารอยู่หลายครั้ง แต่ผู้ชายคนนี้ไม่เคยถอย กลับมุ่งมั่นด้วยใจอันแรงกล้า ที่อยากจะสานฝันการเป็นทหารของตัวเอง ด้วยความพยายามยามวันนี้เขาทำสำเร็จแล้ว

“ครอบครัวผมรับราชการทหารกันหมด ทั้งคุณพ่อและพี่สาว ส่วนคุณแม่รับราชการพลเรือน ก่อนหน้านี้ ผมทำงานเอกชน ผ่านการทำงานวงการบันเทิงมาบ้าง ทั้งละคร ภาพยนตร์ ล่าสุดที่เพิ่งจบไปไม่นาน คือละครเรื่องยุทธการสลัดนอ ช่องเวิร์คพอยท์ แต่ทำแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่ตอบโจทย์เป้าหมายในชีวิต ส่วนหนึ่งคงเพราะผมเติบโตมาในครอบครัวทหาร แถวบ้านเราก็เป็นครอบครัวทหาร เพื่อนก็เป็นลูกทหาร  เราเห็นคุณพ่อเป็นไอดอล เลยอยากที่จะเป็นทำงานรับใช้ประชาชน และประเทศชาติ ถ้าความสามารถของผมเหมาะสม ผมยินดีที่จะทำอย่างสุดความสามารถ

ผมจบปริญญาตรี ด้านนิเทศศาสตร์มา จึงยื่นเข้าสมัครสอบเข้ารับราชการเป็นนายทหารสัญญาบัตร สอบอยู่ 3 ปีแต่ไม่ติด อาจจะด้วยจำนวนคนที่เข้าสอบเยอะ หรือผมอาจจะเตรียมตัวได้ไม่ตรงจุดหนัก แต่ผมก็ไม่ถอยนะครับ พอดีมีเปิดสมัครสอบนายทหารการเงิน ผมจึงลองเขาวุฒิปวช. ยื่นสมัคร ซึ่งหน่วยกิจบัญชีผมได้ เมื่อยื่นสมัครสอบผ่าน จากนั้นก็ต้องสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์ เทสต์ร่างกาย ผลคือสอบผ่าน

หลังจากนั้นก็ต้องเข้าไปฝึกในโรงเรียนอยู่ประมาณ 2 เดือน กินนอนอยู่ที่นั่น  ผ่านการฝึกหลากหลายรูปแบบเลยครับ ฝึกความอดทน ฝึกระเบียบวินัยทหาร ทำผิดก็โดนลงโทษ ค่อนข้างหนัก แต่ผมถือว่าได้ประสบการณ์ในชีวิตที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ แถมยังได้มิตรภาพระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องด้วย

ปีแรกผมได้ไปบรรจุที่กองทัพภาคที่ 3 จังหวัดพิษณุโลก แต่ตอนนี้ได้ย้ายกลับมาประจำที่ สำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการ กองทัพไทย ได้รับราชการทหารอย่างเต็มตัวรู้สึกเหมือนตอบโจทย์ตัวเองที่รอมานาน แม้ตอนนี้จะเพิ่งเป็นก้าวเล็กๆ แต่ผมก็พร้อมที่จะเติบโตไปกับอายุงานที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะไม่สวนทางกับงานในวงการ เพราะงานในวงการ วันหนึ่งยิ่งเราโต ก็ยิ่งมีเด็กรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาแทนเรื่อยๆ เราต้องหาจุดยืนให้แข็งแรง ต้องมีจุดขาย

ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว รู้สึกว่าเหนื่อยมาก ไม่เป็นตัวเองเลย เพราะส่วนตัวผมเป็นคนรักสันโดษ เลิกงานแล้วอยากกลับบ้านเลย ชอบงานที่เป็นระบบ แต่งานวงการบันเทิง บางทีก็ไม่รู้จะเลิกกองเมื่อไร ต้องไปเจอกับคนใหม่ๆตลอด ค้างคืนที่นั่นที่นี่ หรือบางทีงานเลทอาจจะกระทบกับงานคิวสองของเรา เราก็ต้องคอยแก้ปัญหาว่า และกังวลว่าจะไปทันมั้ย ถามว่าเงินดีมั้ยดี? ก็โอเคนะครับ แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนั้น มันขัดใจตัวเองลึกๆ ผมชอบงานที่มีเวลาแน่นอน ยืดหยุ่นได้บ้าง ในวันนี้ผมได้เป็นทหารอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ผมจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด พร้อมปกป้องประเทศชาติและประชาชนครับ

พลทหารสิทธิโชค เผือกพูลผล (ทอมมี่) IG: tommysittichok

 ทหารdv’ประจำการ ร.2 พัน3 รอ. ค่ายจักรพงศ์ จ.ปราจีนบุรี

ผ่านงานในวงการบันเทิงมากมาย ทั้ง โฆษณา เอ็มวี ภาพยนตร์ ซีรี่ส์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคองค์ประกันหงสา” และมีงานจ่อคิวเข้ามาหานักแสดงรุ่นใหม่คนนี้อีกเพียบ แต่ตอนนี้ทอมมี่ขอหยุดงานทุกอย่างไว้ เดินหน้าเข้ากรม เพื่อทำหน้าที่เป็นทหารรับใช้ชาติ

“หลังจากถ่ายทำซีรี่ส์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรจบ ทอมก็ตัดผมเลย เพราะถึงกำหนดต้องเข้ากรม ซึ่งการเข้ามาเป็นทหารครั้งนี้ ทอมเลือกจับใบดำใบแดง คืออยากลองดู ทอมพร้อมจะเป็นทหารอยู่แล้ว ฉะนั้นพอจับขึ้นมาเป็นใบแดง ก็ไม่ได้ตกใจอะไร

“วันแรกที่เข้ากรม รู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ ตามมาด้วยอาการตกใจ คิดว่าตัวเองตัดผมมาสั้นแล้วนะ มาถึงโดนไถออกไปอีกจนโกร๋นเลย (หัวเราะ) จากนั้นครูก็สั่งให้ทุกคนแก้ผ้าอาบน้ำ ผมได้แต่นึกในใจ หา! จริงเหรอ? แต่ก็ต้องทำทุกคน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็น ‘ชุดเป็ดน้อย’  เป็นชุดฝึกขาสั้นของทหารเกณฑ์

“3 เดือนแรกของทหารใหม่ ฝึกหนักมาก ทรมานมาก จะมีการฝึกความอดทนหลากหลายรูปแบบ เช่น  ฝึกไม่ให้นอน เพราะเวลาออกรบจริงทหารต้องอดหลับอดนอน  ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะความรู้เบื้องต้นในการเป็นกาทหาร เรียนรู้ระเบียบวินัย การเข้าแถว การทำความเคารพ ซ้ายหันขวาหัน เรียนการใช้อาวุธซึ่งจะมีสถานีให้เรียน 6 สถานี เช่น สถานีปาระเบิด สถานีสืบข่าว สถานีวิทยุ สถานียิงปืน เป็นต้น

ถ้าจุดไหนทำไม่ผ่าน ก็จะโดนซ่อม อย่างเช่น วิดพื้น พุ่งหลัง ก่อนหน้าที่จะมาเป็นทหาร ผมวิดพื้นมากสุดได้แค่ 20-30 ครั้ง แต่พอเป็นทหาร พอร่างกายฟิตทำได้ถึง 70 ครั้ง ร่างกายเราแข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อก่อนทอมรูปร่างจะบางกว่านี้ ตอนนี้มีความบึกมากขึ้น นอกจากฝึกตามสถานี ก็ต้องฝึกออกภาคสนามรบจริง มีทั้งรบกลางวัน และกลางคืน ซึ่งจะเป็นการเรียนที่ไม่เหมือนกัน ต้องเรียนสัญญาณมือสำหรับเดินเข้าป่าด้วย

“หลังจากฝึกเสร็จ ก็จะเป็นการขึ้นกองร้อย แยกกันไปทำงาน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะได้ไปอยู่หน่วยไหน ตอนนี้ผมอยู่ชมรมยิงปืนเขาอีโต้ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของค่าย ถ้ามีการฝึกรบ ทหารจะมาทบทวนวิชาเรียนกันที่นี่ ผมเองก็ได้ฝึกฝนการยิงปืนสั้นที่นี่ด้วย ผมชอบยิงปืนอยู่แล้ว เลยเป็นหน้าที่ที่เราทำแล้วสนุก  หลายคนคิดว่าที่นี่สอนเฉพาะทหาร หรือค่าเรียนแพง ต้องบอกว่า บุคคลภายนอกเรียนฟรี เพียงแต่ต้องซื้อค่ากระสุนเอง มีครูผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงปืนคอยสอน ส่วนผมมีหน้าที่ คอยช่วยดูแลความเรียบร้อยในชมรม บางทีก็คอยช่วยแนะนำคนที่มาเรียนเท่าที่จะทำได้ครับ

หนุ่มหล่อในเครื่องแบบ

“ยอมรับว่าช่วงแรกของการเป็นทหาร เหนี่อยมาก เหนื่อยจนท้อ คิดว่าทำไมเราต้องมาอยู่ตรงนี้ มาเจออะไรแบบนี้ เพราะโดยนิสัยส่วนตัวทอมเป็นคนไม่ค่อยฟังใคร มักจะเชื่อตัวเองมากกว่า ดังนั้นเวลามีใครมาสั่งจะไม่ค่อยอยากทำ แต่มาอยู่ตรงนี้ ทุกอย่างตรงข้ามกับสิ่งที่เราเป็นเลย เราเป็นทหาร กฎระเบียบ วินัยต่างๆ มีไว้ให้ปฏิบัติตาม การเป็นทหารเปลี่ยนชีวิตทอมไปในทางดีขึ้นหลายอย่าง ซึ่งก่อนหน้านี้ทอมจะเป็นคนชิลๆ ง่ายๆ ชีวิตอาจอะไรก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว 1 ปีในการเป็นทหาร ทอมโตขึ้นทั้งร่างกาย ความคิด และจิตใจ รู้สึกว่าตัวเองมีระบบระเบียบในชีวิตมากขึ้น ความคิดความอ่านโตขึ้น เข้าใจคนรอบตัวมากขึ้น เข้าใจคุณค่าของใช้ชีวิตให้มีประโยชน์เพื่อผู้อื่น

“สิ่งที่ผมบอกตัวเองเสมอ และฝากบอกทหารใหม่ทุกคนที่จะได้เข้ากรมในอนาคตอันใกล้ว่า ถ้าคุณได้เป็นทหารจริงๆ อย่ากลัวและกังวลเกินไป ไม่ว่าจะยากแค่ไหนเราก็จะผ่านไป  เมื่อถึงวันนั้น แล้วมองย้อนกลับไป มันจะเป็นเรื่องภูมิใจในชีวิตของเราครับ”

ศรัณย์ บำรุงชาติ (หว้า)

Pilot Trainee บริษัท THAI AIRWAYS

หนุ่มเท่จากพิษณุโลก ที่ระหว่างทางอาจจะเบนเส้นทางที่แตกต่างจากความฝันในไว้เด็ก แต่สุดท้ายเขาก็สามารถทำพิชิตฝันที่อยากเป็นนักบินได้สมความตั้งใจ

ผมเป็นเด็กพิษณุโลกครับ สมัยตอนเรียนประถมโรงเรียนอยู่ใกล้สนามบิน ใกล้กองบินที่ 46  เราเลยได้เห็นเครื่องบินอยู่ในระยะใกล้ๆ ตลอด เลยเป็นความฝันตั้งแต่ในวัยเด็กด้วยส่วนหนึ่งว่า อยากจะเป็นนักบิน อยากขับเครื่องบินได้ พอโตมาด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด เลยไม่ค่อยได้รับข่าวสารเท่าไร แต่เดี๋ยวนี้คนให้ความสนใจอาชีพนักบินเยอะ รับรู้ข่าวสารการเปิดรับสมัครมากขึ้น รู้ว่าจริงๆ แล้วยังต้องการนักบินอีกมาก

“หลังจบวิศวะฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนั้นยังไม่รู้สึกว่าอยากจะเป็นนักบิน จนกระทั่งช่วงที่เรียนต่อโท ผมเห็นเพื่อนที่เคยเรียนคณะเดียวกันสมัยปริญญาตรีในเฟซบุ๊กเป็นนักบิน ก็เลยทักเฟซบุ๊คไปถามว่า เป็นนักบินได้ยังไง เพื่อนก็แนะนำมาว่ามีเปิดรับสมัครสอบที่ไหน ช่วงไหนบ้าง แล้วผมก็หาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งทำให้รีมายด์ความฝันในวัยเด็กอีกครั้งว่า เราเคยอยากเป็นนักบิน ผมเลยตัดสินใจสอบเข้าเป็นนักเรียนทุนของการบินไทย

“เมื่อผ่านขั้นตอนการสอบตามมาตรฐานของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แล้วก็ถูกส่งไปเรียนการบินที่สถาบันการบินพลเรือน ที่หัวหิน ประมาณปีกว่าครับ ซึ่งการเรียนที่นั่นจะเป็นเรียนระบบเครื่องบินเล็ก และก็จะมีเริ่มบินเครื่องบินเล็กกับครู 13 ไฟลท์ ในไฟลท์ที่ 13 จะเป็นการบินเดี่ยวโดยไม่มีครูไปด้วย แต่ก่อนที่ครูจะปล่อยให้เราบินเดี่ยว ครูจะอยู่ด้วยก่อน โดยให้เราบินวนขึ้นลง กระทั่งครูรู้สึกว่าลูกศิษย์มั่นใจ เราก็จะส่งครูลง แล้วจากนั้นเราก็บินเดี่ยว ตอนนั้นตื่นเต้นมากครับ นอนไม่หลับตั้งแต่คืนก่อนบินแล้ว ยังคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่า บินไป 12 ไฟลท์ แล้วเราจะไปคนเดียวได้เหรอ

ด้านครูก็ให้กำลังใจตลอดว่า เราทำได้ๆ ทุกอย่าง “มาตามชั่วโมง” ซึ่งมันก็จริงนะครับ ยิ่งครูเชื่อมั่นว่าลูกศิษย์ทำได้ ก็เหมือนได้กำลังใจ และรู้สึกว่าครูไว้ใจ พอใจเรานิ่ง ขึ้นบินเดี่ยวเองจริงๆ ความตี่นเต้นหายไปหมด กลายเป็นความภูมิใจเข้าแทนที่ว่า เฮ้ย…  เราทำได้แล้ว เราทำสำเร็จไปจุดหนึ่งแล้ว พอชั่วโมงบินมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มนิ่งมากขึ้น ไม่รู้สึกตื่นเต้นแล้วครับ

“ภาพที่ประทับอยู่ในใจผมคือ ด้วยความที่สนามบินอยู่สนามบินหัวหินอยู่ติดทะเล ตอนบินเราจึงบินอยู่เหนือทะเล วิวสวยมากครับ ช่วงที่จะแลนดิ้ง เครื่องบินค่อยๆ แลนด์ลงต่ำ ผ่านชายหาด นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะเห็นเครื่องบินใกล้มาก เขาก็โบกมือทักทายนักบินกันใหญ่ และเมื่อจบหลักสูตรที่สถาบันการบินพลเรือน หัวหินแล้ว จะต้องกลับมาเป็น นักบินฝึกหัดของบริษัทฯ โดยต้องเรียนวิชาขั้นพื้นฐานของการบินสากลเป็นขั้นต่อไป

“ชีวิตการเป็นเรียนการบิน ต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองมาก เราต้องขยัน มีวินัยในการอ่านหนังสือ แม้จะต้องผ่านความยากในเรียน แต่ผมมีความสุขมาก เพราะผมได้ทำตามความฝัน เหมือนในแต่ละวัน เราค่อยๆ ก้าวสู่เป้าหมาย ความภูมิใจในอาชีพนักบินของผม อย่างแรก คือภูมิใจที่ได้เป็นนักบินของสายการบินไทย เนื่องจากเป็นสายการบินแห่งชาติ เวลาบินไปประเทศไหนก็เหมือนเรานำธงชาติไทยไปปักกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ทำให้นานาประเทศได้รู้ว่าเมืองไทยมีศักยภาพทางด้านธุรกิจบินไม่แพ้ชาติอื่นๆ

“ความภูมิใจที่สองคือ อาชีพนักบินเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีเกียรติ และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่สูง เนื่องจากความรับผิดชอบชีวิตผู้โดยสาร คือหน้าที่สำคัญ ผู้โดยสาร 100 คนในไฟลท์ มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน แต่จุดประสงค์ในการไปที่นั้นๆ ต่างกัน บางคนเดินทางไปเรียน บางคนไปหาพ่อแม่ บางคนไปเยี่ยมญาติที่กำลังป่วย เมื่อเราพาผู้โดยสารทุกคนเดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ฉะนั้นเป็นความภูมิใจที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เราเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ผู้โดยสารสมหวังตามจุดประสงค์ เขามีความสุขที่ได้ไปเจอญาติพี่น้อง มีความสุขในการเดินทางท่องเที่ยว นักบินก็มีความสุขเช่นกันครับ

“สำหรับน้องๆ ที่สนใจอยากเป็นนักบิน สิ่งที่ผมอยากแนะนำคือ คุณต้องชอบบินจริงๆ เมื่อมีความฝันแล้ว เดินหน้าให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะจบปริญญาตรี สาขาใด ก็สามารถเป็นนักบินได้หมด ถ้าเป็นสายวิทย์ อาจจะได้เปรียบกว่าสายศิลป์นิดนึง แต่ไม่ได้หมายความว่า สายศิลป์จะไม่มีโอกาส มีครับ แต่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม หาจุดอ่อนให้เจอและแก้ไข รู้ว่าอ่อนเลขก็เสริมทักษะให้แข็งแรง อ่อนภาษาอังกฤษก็เรียนเสริม ถ้ามีความมุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ก็ตั้งใจเรียน ไม่ใช่เรียนอย่างเดียวนะครับ แต่ต้องรู้จักทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ด้วย

“นักบินไม่ได้ต้องการคนจีเนียส แต่นักบินต้องการคนที่เหมาะสมทั้งอีคิว และไอคิว ที่สำคัญ อย่าเบรคตัวเอง เพียงเพราะว่า “เราทำไม่ได้หรอก” ลองพยายามให้ถึงที่สุดก่อน อย่าท้อ อย่ากลัวที่จะสู้ มีประโยคหนึ่งผมเคยถามกัปตันว่า “พี่ครับทำอย่างไรผมถึงจะสอบติด” พี่เขาบอกว่า “Be Yourself” วันนั้นเราก็ยังไม่เข้าใจ เพราะฟังดูง่ายไป แต่พอถึงวันนี้มัน Be Yourself จริงๆ หลายอย่างถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่การเรียน ครอบครัว การทำกิจกรรม หลอหล่อมให้เราเป็นเราทุกวันนี้ สร้างให้ผมพร้อมที่จะเป็นนักบินที่ดีของประเทศไทยครับ”

Text: AuAi Photo: Pannawat , sudsapda

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

#หมอหล่อบอกต่อด้วย เจอหมอแบบนี้แล้วอยากป่วยเลยทีเดียว

6 นักร้อง หล่อ เลิศ โปรไฟล์ดี รู้แล้วจะว้าว!!

 

 

 

 

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up